Tron Legacy

เพิ่งออกจากโรงหนังหมาดๆ เลย กับเรื่องที่หลายคนรอมานาน และผมกะว่าจะดัดนิสัยตัวเอง ให้กลับมาเป็น “พอดูหนังจบ ก็ blog ทันที” อีกครั้ง เหมือนที่เคยเป็นมาในอดีต ก็เลยเขียนซะหน่อย

เรื่อง Tron ภาคแรก เป็นหนังที่ผมชอบมากที่สุดเรื่องหนึ่ง ซึ่งผมดูเรื่องนี้มานานพอดูแล้ว (ประมาณ 10 ปี) แต่ว่าผมไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายนักกับภาคนี้ ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง เช่น

  1. ผมยังไม่เคยชอบหนังแนว Remake หรือว่าภาคต่อ ที่ขาดหายไปจากภาคก่อนๆ นานสักเรื่อง (Star Wars ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ผมเคยเขียน Review EP1 ไว้แบบเสียหายมากมาย แต่ว่า EP2, EP3 นี่ผมถือว่ามันเป็นภาคต่อจาก EP1 นะ)
  2. Plot เรื่อง ที่ต่อให้วางต่อจากภาคเก่ายังไง ก็เดากันได้หมด ยิ่งดู Trailer ด้วยแล้ว ยิ่งเดาได้ไม่ยากเลย ไม่พ้นพวก Artificial Life แหงๆ … ยิ่งถ้าเคยดู The Matrix, 13th Floor ด้วยแล้วนี่ ยิ่งเดาโคตรไม่ยาก ว่ามันไม่มีอะไรแหวกแนวไปจากนี้แน่นอน
  3. จุดขายอย่างหนึ่งของภาคเก่า คือ Visual ทั้งหลายแหล่ แต่ว่าภาคนี้จะทำให้มัน Revolution ขนาดภาคเก่า เทียบกับหนังเรื่องอื่นๆ ในตลาดหรืออุตสาหกรรมตอนนี้ บอกได้เลยว่า “ยากส์”
  4. เพืิ่อนสนิทมิตรสหาย คอเดียวกันทั้งหลาย ไม่ค่อยจะชอบเท่าไหร่

แต่ว่าผมกลับเดินออกจากโรงหนังด้วยความรู้สึก “ผมชอบมันว่ะ” ทำไมน่ะเหรอ

อาจจะเป็นเพราะผมโตขึ้น (แก่ขึ้น) มั้ง เลยเห็นอะไรต่างๆ ไปเยอะ ยิ่งมีความคาดหวังแบบ 4 ข้อด้านบนด้วยแล้ว ยิ่งไม่ได้คิดจะดูเพื่ออรรถรสแบบดูหนัง คือ ดู Visual ดูเนื้อเรื่องให้สนุกตื่นเต้น/อินไปกับเนื้อเรื่อง/รอเซอร์ไพรส์แบบหักหลังคนดู/ฯลฯ ดูการแสดง อะไรพวกนี้ แต่ว่าผมเข้าไปดูเพื่อหา “Hidden Message” หรือว่าข้อความซ่อนเร้นต่างๆ ที่ผมสามารถตีความได้ (โดยผู้สร้างหนังจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม) จะสังเกตว่าพักหลังๆ ผมรีวิวหนังออกแนวตีความเยอะมาก ตั้งแต่ Spider Man, X-Men แล้ว (ที่ยังไม่ได้เขียน แต่เล่าให้น้องๆ ที่ทำงานด้วยฟัง มีอีกเยอะ) ที่ไปออก MCOT.NET เรื่อง Avatar ก็เช่นกัน

แล้วเรื่องนี้มันเป็นยังไง? … เอาเป็นข้อๆ เลยละกันนะ อ่านง่ายดี มีไม่เยอะหรอก แต่ “แรง” … และสำหรับคนที่ยังไม่ได้ดู อาจจะมี Spoiler นะ แต่ไม่ตั้งใจจะ Spoil หรอก ถ้ากลัวก็หยุดอ่านมันซะตรงนี้ละกัน

  • ในภาพใหญ่ที่สุด นี่เป็นเรื่องของ Digital World และ Physical World โดยสิ่งที่อยู่ในโลก Digital นั้น เป็น “โปรแกรม” ทั้งหมด
  • เราต้อง “โหลด” ตัวเองเข้าสู่โลก Digital … แล้วเราโหลดอะไร? เราโหลด Data ของเรา ความทรงจำของเรา เรื่องราวต่างๆ ของเรา เข้าไปในโลก Digital เรื่องนี้สังเกตได้จาก Symbol หลักของเรื่องเลย ว่าเมื่อพระเอก (Sam) เข้าไปในโลก Digital แล้ว สิ่งแรกที่โดนทำก็คือ สวมชุดที่เป็น Data Suit และมี Disk เก็บความทรงจำอยู่ นั่นคือ ตัวตนของเราในโลก Digital ก็คือ Data และความทรงจำของเรา ที่เราโหลดมันขึ้นไปน่ะแหละ (นึกถึงพวก Facebook, Hi5 อะไรพวกนี้แล้วจะนึกออก)
  • พวกเราหลายต่อหลายคน ยินดี “หันหลัง” ให้กับชีวิตของพวกเราเอง และเลือกที่จะ “หมกมุ่น” อยู่กับโลก Digital ที่เราสร้างมันขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็น Social Network หรือว่ากลุ่มเพื่อน หรือว่าอะไรก็แล้วแต่ เราคิดเราฝัน ว่านี่คือโลกที่เราฝันใฝ่ และจะสร้างมันให้เป็นแบบนั้นแบบนี้
  • แต่ว่าหลายครั้งเราก็ลืมไปว่า ชีวิตของเราจริงๆ มันอยู่ข้างนอก เราอาจกลายเป็นคนอื่นสำหรับคนใกล้ตัวเรา
  • และนั่นคือสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ เมื่อ “ตัวตน Digital” (ในเรื่องคือ Clu) มีอิทธิพลเหนือชีวิตเรา กลายมาเป็นตัวเราแทนเรา และทำให้เราไม่สามารถกลับออกมาได้อีก .. สิ่งที่เราสร้างขึ้นมา กลายเป็นศัตรูกับชีวิตจริงของเราไปซะงั้น
  • น่าคิด ว่าการที่ Clu เป็นตัวการในการดึง Sam (หรือคนอื่นที่ได้รับเพจ) ให้เข้ามาในโลก Digital ก็เหมือนกับเวลาที่ตัวตนในโลก Digital ของเรา มีอิทธิพลเหนือเราเมื่อไหร่ เราก็มักจะชวนเพื่อนคนโน้นคนนี้ เข้ามาในโลกเดียวกับเราด้วย … เช่น ติด Twitter ก็ชวนคนอื่นมามี Twitter ด้วยกันหมด .. ไปๆ มาๆ ขนาดนั่งอยู่ใกล้ๆ กันแท้ๆ แทนที่จะคุยกัน ดัน Tweet, WhatsApp, อะไรก็ช่าง คุยกัน
  • น่าสนใจ ที่กุญแจที่ใช้ในการออกจากโลก Digital ก็คือ Disk ที่เก็บความจำนั่นเอง … ใช่สิ ลองนึกถึงว่า มันมีอะไรบ้าง ที่เราใส่เข้าไปในโลกออนไลน์ไม่ได้ เรามีความทรงจำ มีสังคม มีอะไรนอกโลกออนไลน์บ้างมั้ย …. สิ่งเหล่านี้แหละ คือสิ่งที่จะทำให้เราออกมาจากโลก Digital ที่เราสร้างขึ้นได้(บ้าง)
  • แล้วทำไม Clu ต้องการออกมาข้างนอก? บางคนตัวตนในโลก Digital ดีจัดมั้ง ก็เลยอยากจะให้ตัวตนแบบนั้นของตัวเอง พร้อมทั้ง “กองทัพ” (ถ้าภาษา Twitter คงเรียกว่า “Followers” หรือว่าภาษาแขวะกัน ก็ “สาวก”) ที่ตัวเองสร้างขึ้น ออกมาในโลกความเป็นจริงด้วย
  • หลายคนนะ ที่เป็นเซเลปในโลก Digital แต่ว่าเป็น Looser ในโลกความเป็นจริงนอกสังคมออนไลน์ ลองดูสิว่า Kevin Flynn และ Clu คือใคร รอบๆ ตัวเรา ซึ่งถ้า Clu พร้อมกองทัพของเขาออกมาได้ นี่จาก Looser จะกลายเป็นเซเลปจริงๆ ได้เลยนะ
  • วิธีสร้างกองทัพก็ไม่ยาก แค่ Re-program ใหม่เท่านั้นเอง ซึ่งถ้าเราทำอะไรกับตัวตนในโลก Digital ได้ มันจะส่งผลถึงตัวตนในโลกความเป็นจริงด้วยน่ะสิ (ดูสิ ถ้าเราก่อดราม่าสร้างเรื่องด่าใครที่แรงพอจะเป็นกระแส ตัวจริงเค้ากระเทือนมั้ย หรือว่าถ้าเราสร้างภาพในโลกออนไลน์พอ พวกสาวกก็มองเราดี โดยไม่สนใจตัวจริงเรา ใช่มั้ย)
  • (ขำๆ นะ) แต่ว่าตัวตนในโลก Digital ของเรานี่ เราจะหยุดอายุเอาไว้ที่เมื่อไหร่ก็ได้นะ (เช่น คน 35 จะบอกว่า 18 ก็ย่อมได้) ฮ่าๆ
  • (ขำๆ ต่อ) เรื่องดีๆ จากเรื่องนี้ก็มีเหมือนกันนะ คือ พระเอก (Sam) พบรักในโลก Digital นะ แถมลากออกมาเป็นคู่ในชีวิตจริงได้ซะด้วย .. จริงๆ ก็มีหลายคู่นะ ที่พบรักกันในโลกออนไลน์ แต่ว่าคีย์มันคือ “ต้องออกมาสู่โลกจริง”
  • เรื่องนี้เอาไป Mix กับข้อความแรงๆ จาก Avatar และ Inception แล้วสยองพิลึก เพราะว่าสองเรื่องนั้นข้อความแรงๆ ของมันคือ “เราจะเลือกโลกจริงจากสิ่งที่เราคิดว่าจริง” ซึ่งไอ้ความ “จริง” นั้นนิยามง่ายๆ คือ มันให้เราได้อย่างที่เราต้องการ .. ถ้าในโลก Digital นั้น เราได้เป็นสิ่งที่เราอยากจะเป็นมากกว่า (เช่นเป็นจุดสนใจ) เราก็จะเลือกว่ามัน “จริง” ไปโดยปริยาย .. นั่นคือ Clu ของเราก็จะแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยปริยาย
  • (ต่อ) ดังนั้น อย่าทำร้ายคนในโลกความเป็นจริง จนเค้าต้องหนีไปพึ่งโลกออนไลน์หรือโลก Digital มากขึ้นๆ จะดีที่สุด
  • ฉากจบ เป็นอะไรที่สะเทือนใจผมมากเอาเรื่อง (ทั้งๆ ที่หลายคนอาจจะคิดว่ามันไม่มีอะไรเลย) เมื่อ Sam ได้ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนโลกความเป็นจริงด้วยกำลังที่เขาทำได้ (ขึ้นมาจัดการ ENCOM) ไม่ใช่แค่ใช้ความสามารถป่วน ด่า แขวะ ชาวบ้านชาวช่องไปเรื่อยๆ (ป่วนการออก OS ใหม่ พร้อมข้อความเสียดสี ฯลฯ) ทั้งๆ ที่ตัวเองก็มีกำลัง (เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่) …. นี่แหละคือสิ่งที่ผมอยากเห็นในบ้านเมืองเรา คือ การลุกขึ้นมาเปลี่ยนโลกความเป็นจริง แค่ในขอบเขตที่เราเปลี่ยนมันได้ และไม่ต้องไปป่วนสิ่งที่คนอื่นทำ “ถ้าเราไม่ชอบมัน ก็เข้ามาทำเอง ไม่ใช่ด่าและหวังว่าคนอื่นจะทำอย่างใจเรา”
  • (นอกเรื่อง) อีกอย่าง หนังเรื่องนี้ทำให้ผมคิดถึงสมัยทำวิจัยเรื่อง Artificilal Life (Cellular Automata, Artificial Evolution, AVIDA ฯลฯ) สมัยเรียนที่ญี่ปุ่นมากๆ …..

ผมดูเรื่องนี้จบ แล้วรู้สึกอยากจะเลิกเล่น Social Network ทุกอย่างที่เล่นอยู่ตอนนี้ไปเลยทีเดียว หรืออย่างน้อยๆ ก็ต้องไม่อยู่ในอิทธิพลของมันขนาดนี้ จากที่เราคิดตอนแรกๆ แค่ “เอาไว้เป็นช่องทางในการติดต่อ” แต่ว่าไปๆ มาๆ มันกลับกลายเป็นตัวตนของเรามากขึ้นๆ เรื่อยๆ

มองรอบๆ ตัว เวลาไปไหนมาไหน ผมเห็นแต่คนหยิบมือถือขึ้นมาแชท ขึ้นมาทวีต ขึ้นมาเฟสบุ๊ค … ราวกับถูกโหลดเข้าไปอยู่ในโลก Digital แล้ว ไม่สนใจคนรอบๆ ตัว ในโลก Physical เท่าไหร่ (นึกถึงโฆษณาของ Dtac ขึ้นมาตะหงิดๆ) …….

ผมคงต้อง “ถอยจากตรงนี้สักก้าวหนึ่ง” เสียที

โดยรวมแล้ว ถ้าดูเป็นหนังก็คงไม่มีอะไรมาก เดาเรื่องทั้งหมดได้ตั้งแต่ต้นจนจบ การแสดงงั้นๆ กราฟิกส์ก็ไม่ได้อลังการขนาดจะ Revolution อะไร ที่ดีหน่อยคงจะเป็น OST (กดซื้อจาก iTunes Store ไปเรียบร้อย) ที่ชอบอยู่บ้างก็ไอ้พวก Visual ที่มัน Nostalgia ทั้งหลาย เช่นเพลง 8-bit ภาพโบราณๆ ฯลฯ แต่ว่าถ้าเอาสิ่งที่คิดได้จากการได้ดูเข้ามาประกอบด้วย ผมต้องบอกว่า

“ผมชอบเรื่องนี้ว่ะ”

หมายเหตุ ระหว่างเขียนเหมือนๆ จะมีอะไรอีกสักอย่างในหัว … แต่ว่านึกไม่ออกแล้ว ถ้านึกออกจะอัพเดทมันอีกที

อัพเดท #1: นึกออกล่ะ …ฉากที่ Sam พยายามอธิบายเรื่องพระอาทิตย์ขึ้น….

มันมีหลายเรื่องแค่ไหนนะ ที่เรา take for a grant มากๆ จากความเคยชินทั้งหลายที่เรามีอยู่ ทั้งที่มันเป็นเรื่องสุดวิเศษและน่ามหัศจรรย์ กะอีแค่สิ่งที่เราเห็นอยู่ทุกวี่ทุกวัน จนเหมือนไม่มีอะไรพิเศษ เช่น พระอาทิตย์ขึ้น แสงตอนพลบค่ำ ดาวตก ทะเลหมอก ฯลฯ …. เราจะอธิบายพวกนี้ให้ “คอมพิวเตอร์โปรแกรม” ที่ต้องการเหตุต้องการผล ทำอะไรตามกฏตามเกณฑ์ เถรตรง รู้เรื่องได้อย่างไร

ถอยออกมาสักนิด อย่าพยายาม “สร้าง” อะไรมากมายจนเกินไป จนลืมที่จะเรียนรู้ที่จะเห็น ที่จะยินดี ชื่นชม และมีความสุขกับสิ่งต่างๆ ที่เป็นอยู่รอบๆ ตัวเรา

ผมเชื่อว่าโดยพื้นฐานแล้ว จักรวาลและธรรมชาติมันเป็นคอมพิวเตอร์นะ (ลองศึกษาพวก quantum computation ก็ได้นะ) ดังนั้นโลก Digital ก็เหมือนกับเรากำลังทำตัวเป็นพระเจ้า สร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาเองอีกที (computation theory อนุญาตให้มี universal turing machine (UTM) ใน UTM ได้) …. อย่าหมกมุ่น หลงไหลกับสิ่งเหล่านี้มากไป จนลืมดูสิ่งที่พระเจ้าได้ให้กับเราไว้แล้วซะล่ะ

Nikon P7000 Review

และแล้ว ก็ถึงเวลาซื้อกล้องคอมแพคใหม่ หลังจากที่ใช้ Panasonic LX3 มา 2 ปี ซึ่งถึงจะเป็นกล้องที่รักมาก และคิดว่าภาพที่ได้ถือว่าสุดยอดจากคอมแพคยุคเดียวกันก็เถอะ ตัว LX3 เองก็มีข้อเสียหลายอย่างพอควร ที่ทำให้ไม่เหมาะกับการถือเดินเที่ยว เช่น ฝาครอบเลนส์ (แก้ได้ไม่ยาก) ระยะซูมที่จำกัด (เทียบเท่า 24-60mm เอง ซึ่งอันนี้แก้ไม่ได้) และภาพ JPEG ที่ “ไม่สวย” กับความชอบของผม

สำหรับการซื้อในครั้งนี้ ตัวเลือกก็ยังคงเดิมๆ คือ Panasonic LX5, Canon G12, Nikon P7000 ซึ่งแต่ละตัวก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันไปทั้งนั้น แต่ว่าสุดท้ายหวยก็ไปออกที่ Nikon P7000 ด้วยเหตุผลดังนี้

  • ช่วงซูม 28-200mm ซึ่งมากที่สุดใน 3 ตัว (แต่ว่ามาเสียตรง Wide ที่แคบกว่า 24mm ของ LX5)
  • ผมคุ้นเคยกับ “สี” ของ JPEG จากกล้อง Nikon (และยังทำใจให้ชอบสี JPEG ของ Panasonic ไม่ได้)
  • ผมคุ้นเคยกับ UI ของ Nikon ถึงว่าเจ้า P7000 มันจะทำออกมาโคตรจะ Canon ก็เถอะ (อีปุ่ม Av/Tv นี่ … เอ่อ…)
  • ชอบรูปทรงมันอ่ะ เหมือนกับ Epson R-D1 ดี
  • พอจะ “ทำใจ” กับความอืด หนืด ของมันได้ (Nikon นี่ Performance ด้านนี้ห่วยที่สุดแล้วในบรรดา 3 ตัวนี้)
  • ไปลองเล่นที่ร้านแล้วค่อนข้าง OK กับมัน อันนี้สำคัญกว่าที่หลายคนคิดนะ เลือกบนกระดาษ อ่านบนเน็ต สู้ไปลองเล่นเองที่ร้านไม่ได้หรอก

เป็นธรรมเนียม ก็ขอรีวิวสั้นๆ พร้อมด้วยรูปไม่กี่รูปก็แล้วกันนะครับ เอาแบบว่า ถ่ายทั่วๆ ไปกับชีวิตประจำวันนี่แหละ ก่อนที่จะไป “รีวิวออนทริป” ว่าเป็นไงมั่ง :-)

เทียบกับ Nikon P6000 รุ่นก่อนหน้ามันแล้ว ต้องบอกว่าทุกอย่างทำได้ดีขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประสิทธิภาพ ความเร็วในการตอบสนอง และเรื่องเทคนิคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นช่วงซูม รูรับแสงที่กว้างขึ้น (นิดหน่อย)


DSCN0235.jpg

บันไดเลื่อน Central World

เรื่อง Handling ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากอีกเรื่องหนึ่ง ถือว่าทำได้ดีขึ้นจาก P6000 และดีกว่า LX3 อย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าทั้งนี้ผมยังไม่ได้ลองจับ LX5 นะ ว่าเป็นไง Grip ของ P7000 จับถนัดมือมาก ทั้งวัสดุและขนาด เรียกได้ว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้ตัดสินใจได้อย่างหนึ่งเลย ไม่เอาสายคล้องคอก็ไม่เป็นไร คิดว่าถือเดินไปเดินมาได้ค่อนข้างสะดวก


DSCN0275.jpg

ไฟท้ายรถ

พูดถึงสายคล้องคอ P7000 ให้สายคล้องคอที่ “ใหญ่” เอาเรื่องสำหรับกล้องคอมแพค น่าจะเอาไปคล้องพวก m4/3 แบบ GF1, EP1 มากกว่า แต่ว่าคิดไปคิดมา เออ ขนาดของ P7000 ก็ใหญ่อยู่นี่หว่า ไม่ได้เล็กกว่าพวกนั้นเท่าไหร่ แต่ว่ามันก็ทำให้ยัดกระเป๋าลำบากขึ้น และการออกแบบตำแหน่งคล้องสาย จะไปกวนการเข้าถึงช่องโน่นช่องนี่นิดหน่อย ทำให้จับลำบากขึ้นนิดๆ ยังคิดอยู่ว่า มันจะมีใครทำสายคล้องกับที่คล้องสายได้เจ๋งแบบ Leica มั้ย ชอบสายคล้องและที่คล้องสายของ Leica M8 มาก เจ๋ง มั่นคง ใส่ง่าย และเหมาะสม


DSCN0347.jpg

เคยเป็นดังดวงตา ที่หมดค่าเมื่อเวลาผ่านไป

เรื่องคุณภาพของภาพ เป็นจุดสำคัญที่สุดที่ทำให้ผมตัดสินใจเลือก P7000 มากกว่า LX5 และ G12 ครับ ไม่ใช่ว่าเพราะมัน “ดีกว่า” นะครับ แต่เพราะว่ามัน “ไม่แพ้กัน” ครับ ในขณะที่รุ่นก่อนหน้ามัน P6000, G11, LX3 นี่ ถือว่า P6000 แย่กว่าตัวอื่นๆ แบบเห็นได้ สัมผัสได้ พอมารุ่นนี้ คุณภาพเชิงเทคนิคมันไม่แพ้กว่า (คือ ไม่มี Noise แบบเห็นได้ชัดตั้งแต่ base ISO และความคม ชัด ของภาพ อะไรทำนองนั้น) ก็เลยตัดสินใจได้แบบไม่คิดมาก


DSCN0436.jpg

พลบค่ำ ริมทะเลบางแสน

เพราะว่าผมชอบ “Nikon Color” (ถ้ามันมีคำนี้นะ … แต่ว่าเห็นคนพูดกันเรื่อง Olympus Color, Panasonic Color, Leica Color คือ แต่ละยี่ห้อมันจะมี character เฉพาะของมันน่ะ เหมือนกับฟิล์มเมื่อก่อน ว่า Velvia เป็นไง อะไรทำนองนี้) เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ส่วนจะชอบเพราะว่าความเคยชิน หรืออะไรก็แล้วแต่ผมเถอะ


DSCN0560.jpg

พลุวันพ่อ

ทำไมชอบน่ะเหรอ อาจจะเพราะความเคยชินมาจากกล้องใหญ่ครับ ที่ตัวเองใช้ Nikon DSLR มาตลอด เลยชินกับ Hue, Contrast, Saturation อะไรพวกนี้ของ Nikon มันอยู่แล้ว และผมเป็นพวกขี้เกียจนั่งทำรูปหรือ Post Processing พอสมควร … คือ ทำนะ ไม่ใช่ไม่ทำ ไอ้ที่โพสท์ๆ ใน Blog นี้ก็ทำทุกรูปน่ะแหละ แต่ว่าผมปรับแค่พื้นๆ ฐานๆ อ่ะ คือ Crop, Contrast, Vibrancy, Saturation, Exposure อะไรทำนองนี้ จะให้ถ่าย RAW แล้วมาปรับ Hue, White Balance, Temperature, Tint หรือว่าปรับ Saturation, Luminance ไล่ทีละสีเลยนี่ผมไม่ทำอ่ะ ซึ่งไอ้พวกนี้ ถ้า Hue มัน shift ไปในทางที่เราไม่ชอบตั้งแต่แรกแล้วมันปรับคืนยากพอควร ยิ่งไม่ได้ถ่าย RAW ด้วย


DSCN0462.jpg

Paint ตา

ดังนั้น ไอ้ที่เค้าบอกว่า P7000 ถ่าย RAW แล้วต้อง “รอ” จริงๆ ก็เลยไม่เข้าประเด็นกับผมโดยปริยายมากๆ ก็ผมไม่ถ่าย RAW อ่ะ ซื้อมาถ่าย JPEG เท่านั้น ใครจะบอกว่าผมใช้กล้องไม่คุ้ม ไม่โปร ถ้าให้คุ้มให้โปร ต้องถ่าย RAW ก็เรื่องของเขา ผมไม่ก่อดราม่าด้วย .. ผมจะถ่าย RAW เฉพาะที่แสงยากๆ หรือไม่มั่นใจว่า processing engine ในกล้องมันจะจัดการได้ หรือเห็นว่ามี detail ที่จะซ่อนในเงาในแสงเกินไป แล้วต้องการดึงคืนเท่านั้น … นอกนั้น ผมมั่นใจว่า JPEG engine เดี๋ยวนี้เอาอยู่ (กล้องหลายตัว เช่น Leica M8 ผมต้อง “จำใจถ่าย RAW” เพราะว่ารับ JPEG engine มันไม่ได้)

หมายเหตุ: ผมเคยเขียนเรื่อง RAW vs JPEG ไว้ใน blog นี้เมื่อนานมาแล้ว


DSCN0162.jpg

ขวดไวน์

แต่ว่า P7000 มันก็มีข้อเสียใหญ่ๆ อยู่ 2 ข้อนะ เท่าที่ใช้มา ก็คือ Exposure metering (การวัดแสง) และ “Focusing Error” ซึ่งเค้าพูดถึงกันเกลื่อนเน็ต


DSCN0364.jpg

โบกรถ

เอาเรื่อง Exposure metering ก่อนละกัน ปกติผมจะใช้ Evalutive Matrix metering อยู่แล้ว นอกจากจะจำเป็นต้องวัดเฉพาะจุดจริงๆ เพราะว่าเดี๋ยวนี้ Matrix มันฉลาดมาก เรียกว่า 90% ของสถานการณ์ มันไม่พลาดหรอก แต่ผมพบว่าภาพจาก P7000 มันติด overexpose นิดๆ จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ (อาจจะเป็นเรื่องเดียวกับ D7000 ที่ตั้ง Gamma ไว้สว่างมาก และ Contrast ที่จัด และ metering ไม่ตบ highlight หรือแสงจ้า ลงเท่าไหร่ เลยทำให้รู้สึกว่าภาพมัน over-expose)


DSCN0105.jpg

ควันรถ

ก็เลยเป็นปัญหา เพราะจากประสบการณ์แล้ว ภาพ underexpose แก้ง่ายกว่า overexpose … รายละเอียดที่ถูกซ่อนในเงาดึงขึ้นง่ายกว่า รายละเอียดที่หายไปในแสงจ้า แต่ว่ากับ P7000 นี่ค่อนข้างสบายครับ เพราะว่ามี dial สำหรับปรับ Exposure compensation หรือว่าการชดเชยแสง ในที่ๆ เข้าถึงง่ายที่สุด … (คือ ปกติแล้วนิ้วผมจะคาดหวังว่ามันจะเจอ command dial แถวๆ นั้นอ่ะ ดันเป็น dial นี้แทน) ก็แล้วแต่สถานการณ์นะ ปกติผมต้องตั้ง -1/3 stop ถึง -2/3 stop ไว้


DSCN0706.jpg

กระเป๋าชาวเขา

ส่วนเรื่อง Focusing Error นี่จะเจอเวลาที่ซูมช่วงยาวๆ (เกือบสุด เช่น 200mm) และโฟกัสใกล้ๆ คือ ต้องการเน้น Subject จะเจอเลนส์โฟกัสไม่ได้ และจะต้อง Initialize เลนส์ใหม่ ซึ่งตอนแรกๆ ยอมรับว่าค่อนข้างจะหงุดหงิดกับเรื่องนี้พอสมควร แต่ว่าหลังจากเรียนรู้พฤติกรรมของมันแล้ว ว่ามันจะเกิดขึ้นในเวลาไหน ก็ไม่เจอมันอีกเท่าไหร่ ก็ได้แต่หวังว่าวันหนึ่ง Firmware จะออกมาแก้ปัญหานี้ได้สำเร็จ


DSCN1034.jpg

เขียว….

ขอจบ Review สั้นๆ (จริงๆ ก็ไม่สั้นเท่าไหร่นี่หว่า) นี้ไว้เท่านี้ … บอกได้สั้นๆ ว่า Happy มากพอควรเลยกับ Nikon P7000 เทียบกับความรู้สึกตอนที่ใช้ LX3 แล้วรู้สึกดีกว่า ถึงหลายๆ ครั้งจะคิดถึง f/2 และ 24mm ก็เถอะ แต่ว่า High ISO ของ P7000 มันก็ดีขึ้นเยอะพอควร ก็เลยคิดว่า เออ ช่างมันเถอะ ไม่ได้คิดอะไรมากอยู่แล้ว คิดเรื่องความสะดวกโดยรวม เรื่องสีที่ชอบ และไม่ต้องปรับมากดีกว่า

สุดท้ายจริงๆ ขอหน่อยเถอะ อดไม่ได้ (นอกเรื่องด้วย) … ชอบคำนี้นะ “เมืองไทยใครๆ ก็รัก” แต่ว่าทำไมต้องมีรูปรัฐมนตรีแบบนี้ด้วยฟะ เฮ้อ เด่นที่สุดในป้ายเลยนะนั่น


DSCN0023.jpg

เมืองไทย ใครๆ ก็รัก … แต่ทำไมต้องทำป้ายแบบนี้ฟะ

และขอปิดท้าย (จริงๆ) ด้วยรูปจากที่ไปเที่ยวเหนือ (สำหรับ Blog ถัดไป “P7000: Review on the Trip”) สักรูปนะ


DSCN0678.jpg

ดอกบัวบานริมนา … บัวเหล่าที่หนึ่งมีอยู่ได้ในทุกที่