คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายที่รอคอย #5: “The Last Raindrop”

เรื่องเล่า ที่เรียบเรียงจากเรื่องจริงของผม และว่าที่เจ้าสาว คุณวัชรพรรณ โล่ห์ทองคำ ตอนที่ 5

อัพเดทล่าสุดเมื่อ 10 กันยายน 2555

ความเดิม

2011-2012: เม็ดฝนหยดสุดท้าย (The Last Raindrop)

เราจะรู้สึกยังไงนะ ถ้าวันหนึ่ง คนรักที่ตายจากเราไปเมื่อนานมาแล้ว กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง และอยู่ใกล้แค่เอื้อมถึง

ถึงก่อนหน้านี้ผมจะเคยเจอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับมีนค่อนข้างเยอะพอสมควร แต่ผมไม่เคยเจออะไรก็ตามที่ทำให้ผมสามารถติดต่อมีนได้ (e-mail ที่ได้มาก็คงจะเลิกใช้ไปแล้ว เพราะส่งไปก็ไม่เคยจะตอบเลย) แต่คราวนี้เป็นความโชคดีของผม และได้กลายมาเป็นที่มาของข้อความติดปาก “ถ้าพระเจ้ามีจริง คงจะชื่อมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก” มันเป็นโชคดีของผมที่สุด ที่เครือข่ายสังคมที่ผมเจอมีน คือ “เฟสบุ๊ค” (Facebook) นั่นเอง

(แต่ความจริงที่ผมไม่รู้เลยเมื่อวันนั้น ก็คือบนสวรรค์นั้น นอกจากจะมีพระเจ้าแล้วยังมีนางฟ้าอีกด้วย และเป็นความจริงที่ต้องเรียกว่านี่คือ “นางฟ้ามาโปรด” ที่สุดในชีวิตผมครั้งหนึ่ง เพราะจริงๆ แล้วมีนก็ไม่ได้สมัครเฟสบุ๊ค เอง และไม่ได้มีความอยากเล่นอยากใช้งานเลยสักนิด แต่นางฟ้าคนนี้ของผมที่ชื่อ “นก” (คุณปาจรีย์ — เพื่อนสนิทมีนตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย และคุณพิธีกรในงานเลี้ยงแต่งงาน) เป็นคนสมัครให้ อัพโหลดรูปถ่ายของมีน ครั้งที่ไปเที่ยวกับนกและเพื่อนๆ ให้ เท่านั้นไม่พอ พอเห็นมีนไม่เคยเข้ามาเล่นอะไรเลย ก็ยังให้โหลดแอพเฟสบุ๊คลงไอโฟนอีกด้วย

ถ้าไม่มีคุณนก ก็คงไม่มีวันนี้ที่ผมและมีนจะมีความสุขขนาดนี้ในชีวิตเลย ก็ต้องขอใช้พื้นที่บรรทัดนี้ ขอบคุณนกจากใจจริงไว้ตรงนี้ด้วยนะครับ นกช่วยให้ชีวิตของคนสองคน มีวันนี้ครับ -/\-)

ผมนั่งดูรูปมีน ซึ่งมีอยู่ 3-4 รูปทั้งวัน ผมไม่รู้จะรู้สึกยังไงดี นี่แหละ ผู้หญิงคนที่ตายจากชีวิตผมไปนานเหลือเกิน ผมคิดถึงนะ เธอจะรู้มั้ย เธอจะคิดถึงผมบ้างหรือเปล่า … ไม่สิ เธอจะจำผมได้หรือเปล่า

ผมกดปุ่มขอเป็นเพื่อน (Add Friend) โดยไม่คิดอะไรทั้งสิ้น วันแล้ววันเล่าที่ผมรอการตอบรับอย่างใจจดใจจ่อ แต่มีนก็ไม่ได้ตอบรับผมมาสักที จนในที่สุดวันที่ 12 พ.ค. 2011 ผมก็ตัดสินใจส่งข้อความส่วนตัวไปหามีนว่ายังจำผมได้หรือเปล่า ถ้าไม่รบกวนเกินไปช่วยรับเป็นเพื่อนไว้หน่อยได้มั้ย

ผมหวังอะไรกับการขอเป็นเพื่อนกับมีนในครั้งนั้น?

ก็ต้องยอมรับว่า ผมไม่ได้หวังอะไรมากไปกว่าการที่มีนจะได้กลับมาอยู่ในชีวิตผมอีกครั้ง ผมจะไม่ต้องหามีนอีกต่อไปแล้ว ถึงผมจะไม่มีวันเป็นอะไรมากไปกว่านั้น ผมก็ยินดี เพราะที่ผ่านมาผมระหว่างที่ผมหามีนมาตลอดนั้น ผมสัญญากับตัวเองว่าเมื่อผมเจอเธอ ผมจะไม่เสียเธอคนนี้ไปอีกแล้ว … อย่างน้อย ผมขอแค่เป็นเพื่อนอยู่ห่างๆ ให้ผมรู้ว่าเธออยู่ที่ไหน ให้ผมได้เห็นรูปเธอ หรือรู้ข่าวคราวในชีวิตเธอบ้าง และ … ขอแค่ให้เธอไม่เกลียดผม เท่านั้นก็พอแล้ว

วันเวลาผ่านไปหลายวัน การรอคอยของผมก็ยังคงไม่จบ เมื่อมีนยังไม่ตอบรับผมมาเสียที แต่ดูผ่านๆ ก็เหมือนจะแวะเวียนมาใช้งานเฟสบุ๊คบ้างอะไรบ้าง …. ใช่สินะ ผมคงจะหวังลมๆ แล้งๆ ไป มีนคงจะเกลียดผมตั้งแต่วันที่เธอพูดกับผมวันนั้น ก่อนที่ผมจะไปเยี่ยมเธอที่ ม.นเรศวร จริงๆ น่ะแหละ … ผมไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่ามีนจำผมได้หรือเปล่า หรือลืมผมไปหมดแล้ว หรือเธอจำได้ไม่เคยลืม ว่าเกลียดผู้ชายคนนี้

ทางด้านมีน เมื่อเห็นข้อความที่ผมส่งไป และการขอเป็นเพื่อนในเฟสบุ๊ค เธอมีความรู้สึกทั้งดีใจ และทั้งกลัว ผู้ชายคนนี้ ที่เธอเคยรอคอยการติดต่อของเขามาตลอด การติดต่อที่ไม่เคยมา จนเขากลายเป็นเพียงแค่ความทรงจำที่ถูกฝังไปพร้อมกับหัวใจของเธอในภูเขานำ้แข็งที่เธอสร้างขึ้น ผู้ชายคนนี้เอง ที่หายไปจากชีวิตของเธอและไม่เคยติดต่อกลับมาอีกเลย ใจหนึ่งก็อยากจะรีบรับเป็นเพื่อนเอาไว้ แต่ใจหนึ่งก็กลัวแสนกลัว ว่ากลับมาทำไม ในวันที่ฉันอยู่ได้โดยไม่มีเธอให้ต้องรออีกต่อไปแล้ว และวันหนึ่งจะหายไปอีกหรือเปล่า

แต่ในที่สุด เสียงจากความต้องการของหัวใจที่ถูกขังเอาไว้ ก็คงจะเล็ดรอดออกมาให้มีนได้ยินบ้าง

1 มิ.ย. มีนก็ตอบข้อความที่ผมส่งไป และรับผมเป็นเพื่อนจนได้ วันนั้นบอกตามตรงว่าผมดีใจมาก และเราคุยกันเล็กน้อยด้วยการส่งข้อความส่วนตัวกันไปมาในเฟสบุ๊ค

ผมยังจำได้ดี ในการคุยกันคร้ังแรกของเราในข้อความส่วนตัวของเฟสบุ๊ค นั้น หลังจากถามสารทุกข์สุขดิบว่าทำงานที่ไหน สบายดีมั้ย เรียบร้อยแล้ว มีนก็ถามผมว่า

“ตอนนี้แต่งงานหรือยังคะ ห้ามถามมีนกลับนะ เพราะมีนส่อแววจะขึ้นคานอยู่”

ตอนนั้นผมอยากจะคิดเข้าข้างตัวเองมากมาย เธอถามผมเพราะอะไร บอกผมเพราะอะไรกันนะ บอกตามตรงเลย ว่าถึงผมจะต้องการเพียงแค่ให้เธอคนนี้กลับมาอยู่ในชีวิตผมอีกครั้ง แต่ทำไมผมรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกเลย ที่มีนยังไม่แต่งงาน จริงๆ ถ้ามีนไม่บอกมาก่อน ผมคงไม่กล้าที่จะถามด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่ผมอยากจะรู้เป็นที่สุด

“ยังครับ ยังไม่แต่ง สงสัยรอมีนอยู่”

ผมตอบไป อาจจะดูเป็นทีเล่นทีจริง แต่จริงในใจผมคิดแบบนี้จริงๆ นะ ถึงผมจะไม่รู้ว่าชีวิตเรามันรอกันอยู่หรือเปล่า มีนเองก็ดีใจเช่นเดียวกันที่ผมยังไม่แต่งงาน และตอบกลับมาว่า

“555 รอไปรอมาขึ้นคานทั้งคู่เลย”

คุยแค่ 2 ประโยคนี้เอง ใจที่เคยแห้งเหี่ยวมานาน ก็เริ่มที่จะชื้นขึ้นมาเรื่อยๆ ด้วยความที่ผมอยากเจอเธอมาก เพราะไม่ได้เจอกันเลยตั้งแต่จบมัธยม ถึงผมจะหลับตาแล้วเห็นมีนมาเสมอ ผมก็เลยลองชวนมีนทานข้าว/ดื่มกาแฟ หวังว่าจะได้คำตอบรับ แต่มีนกลับปฏิเสธ

ผมไม่ได้คุยอะไรมากกว่านั้นเท่าไหร่ นอกจากแอบดีใจ ถ้ามีนไม่อยากเจอผม ผมก็จะไม่กวนใจเค้า ผมจะไม่ฝืน ผมจะไม่ตื๊อ ผมกลัวผมจะพลาดทำอะไรให้มีนเกลียดผมอีก ผมจะไม่เสียเธอไปอีกแล้ว ดังนั้นผมก็เลยกลัวมาก ในการจะคุยแต่ละอย่างๆ ส่วนทางมีนเอง ก็มีความกลัวอยู่

ใช่สินะ วันหนึ่งที่เราสองคนเคยติดต่อกัน ส่งจดหมายหากันทุกอาทิตย์ โทรศัพท์ข้ามฟ้าคุยกันแทบจะวันเว้นวัน มีความสุขที่มีอีกคนหนึ่งในชีวิต แม้จะอยู่ห่างไกลกัน .. แต่แล้วสิ่งเหล่านั้นก็หายไปจากชีวิตของเราทั้งสองคน ก็ย่อมมีความกลัวเป็นธรรมดา

“ถ้าผมพูดอะไรผิดไปอีก ผมจะเสียเธอไปตลอดกาล… ผมไม่เอาด้วย ผมกลัว”
“ถ้าเราคุยกันและมีความสุขกัน แลัววันหนึ่งเธอหายไปอีก… ฉันไม่เอาด้วย ฉันกลัว”

เราสองคนอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับความรู้สึกของตัวเอง ขาข้างนึงอยากจะก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน แต่ขาข้างนึงก็รั้งให้อยู่ในอดีต ก้าวเดินออกมาจากตรงนั้นไม่ได้ ทุกอย่างก็เลยเหมือนหยุดอยู่กับที่

เราไม่ได้ส่งข้อความคุยกันบ่อยนัก แค่อาทิตย์สองอาทิตย์ครั้ง และแต่ละครั้งก็เป็นเพียงข้อความสั้นๆ เพียงบรรทัดสองบรรทัด ข้อความสองข้อความเท่านั้น เทียบกับเมื่อก่อนที่ส่งจดหมายคุยกันสองอาทิตย์ครั้ง แต่ว่าครั้งนึงก็ 2-3 หน้ากระดาษแล้วมันเป็นอะไรที่น้อยแสนน้อย แต่มันกลับทำให้ผมดีใจไม่แพ้กัน ไม่สิ ดีใจยิ่งกว่าไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยเท่า ทุกครั้งที่ได้รับข้อความ

หลายเดือนผ่านไป เราสองคนก็เริ่มคุยกันได้เหมือนเพื่อนห่างๆ มากขึ้น ทำให้ผมอยากจะได้เบอร์โทรศัพท์มีนจังเลย ผมอยากได้ยินเสียงมีนจากอีกปลายของสายโทรศัพท์ ผมคิดถึงเสียงเธอมานับสิบปีแล้ว แต่ผมก็ไม่กล้าที่จะขอเบอร์โทรจากเธอ เพราะกลัวว่าเธอจะปฏิเสธ และผมคงจะไม่กล้าขออีกเป็นครั้งที่สอง ผมจึงต้องแกล้งทำเป็นขอ Contact มีนเพื่อใช้ WhatsApp ซึ่งจำเป็นต้องใช้เบอร์โทรศัพท์ แต่ก็โดนมีนดักคอแบบรู้ทัน

“ขอ WhatsApp นี่ ต้องใช้เบอร์ด้วยใช่มั้ยคะ”

ผมใจเต้นไม่ค่อยเป็นจังหวะเท่าไหร่ มันเป็นไม่กี่วินาทีที่ผมรู้สึกนานมาก กลัวว่ามีนจะบ่ายเบี่ยงเช่นเดียวกับมีนปฏิเสธการชวนทานข้าวก่อนหน้านี้ แต่แล้วมีนก็บอกเบอร์โทรศัพท์ผมมา ซึ่งคงไม่ต้องบอกว่าดีใจขนาดไหน

นานแค่ไหนแล้วนะ ที่ผมไม่ได้ยินเสียงเธอ นานแค่ไหนแล้วนะ ที่ผมรอวันนี้ ตั้งแต่วันที่เราคุยกันครั้งสุดท้าย แต่เบอร์มีน ก็ยังคงเป็นเบอร์ที่ผมกดโทรออกยากที่สุดไม่เปลี่ยนแปลง

นานแค่ไหนแล้วนะ ที่มีนไม่ได้ยินเสียงผม นานแค่ไหนแล้วนะ ที่เธอรอวันนี้ ตั้งแต่วันที่เราคุยกันทั้งสุดท้าย นานแค่ไหนแล้วที่เธอนั่งเฝ้ารอโทรศัพท์ที่ไม่เคยมาอีกเลย จนกระทั่งวันสุดท้ายที่เธออยู่ที่หอนั้น

ผมกลั้นหายใจอยู่นานก่อนที่จะกดเบอร์มีนทีละตัว และกลั้นใจอยู่นานกว่านั้นอีก กว่าจะกล้ากดโทรออก และวินาทีที่เราทั้งสองคนต่างรอคอยมานานก็มาถึง

“ฮัลโหล”

นานนับชั่วโมงที่เราคุยกันอย่างลืมเวลา และมันก็ทำให้ผมได้ทำสิ่งที่อยากจะทำมาตลอด ก็คือขอโทษมีนกับเหตุการณ์ครั้งนั้น ที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลย ก็คือมีนเองกลับขอโทษผม กับสิ่งที่เธอทำลงไปด้วยเช่นกัน

“ขอโทษนะครับมีน กับสิ่งที่ผมพูดไปวันนั้น ที่ทำให้คุณโกรธและไม่อยากเจอผมอีก”
“มีนก็ขอโทษนะคะ กับอะไรก็ตามที่มีนทำลงไป ที่ทำให้ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้”

แต่หลังจากนั้น เราสองคนก็ยังคงย่ำอยู่กับที่ เราคุยกันมากขึ้น แต่ทุกครั้งที่เหมือนว่าเราจะไปข้างหน้าได้ก้าวหนึ่ง เราก็จะรั้งตัวเองไว้ข้างหลังก้าวหนึ่ง ด้วยความที่เป็นคนไม่มั่นใจตัวเองทั้งคู่ ด้วยความที่เป็นคนปากหนักและไม่ตรงกับใจทั้งคู่ ความกลัวมันจึงยังคงชนะทุกอย่าง

ทุกครั้งที่ผมหาเรื่องชวนมีนเพื่อเจอกัน มีนจะปฏิเสธเสมอ

“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องเจอกันหรอก คุยกันแค่แบบนี้แหละ”

ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว ใจของเธอมันอยากให้ผมง้อเธออีกสักนิด ตื๊อเธออีกสักหน่อย แสดงออกมากกว่านี้บ้างว่าอยากเจอเธอจริงๆ แต่ผมก็ยังคงเป็นผม ที่เป็นคนขี้อาย ขี้กลัว ไม่มั่นใจตัวเองเอาซะเลย ผมยังคงทำตามคำพูดเธอ มากกว่าทำตามใจเธอ

“ครับ ตามนั้นครับ”

ซึ่งมันทำให้มีนรู้สึกไปว่า จริงๆ แล้วผมก็ไม่ค่อยอยากจะเจอเธอเท่าไหร่นักหรอก

ตลอดระยะเวลาเกือบ 1 ปี ตั้งแต่เรากลับมาคุยกัน เราเจอกันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เมื่อช่วงเดือน ก.ค. ซึ่งตอนนั้นมีนยังทำงานอยู่กับ CPF และต้องไปทำงานที่กาญจนบุรีกับเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่คนหนึ่ง ก็เลยไปพักนครปฐม ซึ่งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยที่ผมเป็นอาจารย์อยู่ เลยได้มีโอกาสทานข้าวด้วยกันมื้อหนึ่ง

ผมนั่งรอมีนที่ล็อบบี้โรงแรมที่มีนพัก พยายามนั่งอ่านหนังสือไปเรื่อยเปื่อยข่มความตื่นเต้นและหัวใจที่เต้นแรงไม่เป็นจังหวะ พอมีนมาถึงและเดินมาทักทาย ผมแทบจะต้องขยี้ตามองภาพที่ผมเห็นว่าผมไม่ได้ตาฝาดไป หรือหยิกแก้มตัวเองว่าผมไม่ได้ฝันไป ผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมต้องจินตนาการถึงเค้ามานับสิบปี ผู้หญิงคนที่สวยที่สุดในความรู้สึกของผมมาตลอด ผมบอกไม่ถูกว่าดีใจขนาดไหน มีนก็รู้สึกแบบเดียวกัน กับผู้ชายคนหนึี่งที่เธอไม่ได้เจอมานับสิบปี คนที่เธอคิดถึงมาตลอดเช่นเดียวกัน ขนาดที่ว่าถ้าไม่มีเพื่อนร่วมงานไปด้วย คงจะเข้ามากอดให้หายคิดถึง พร้อมกับถามว่าหายไปไหนมาตั้งนาน

แต่การแสดงออกของเราทั้งสองคน ก็ยังตรงข้ามกับที่รู้สึกในใจอยู่เช่นเดิม แต่ผมสังเกตนะ ว่ามีนก็พูดถึงเรื่องที่ผมเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อหาเธอให้เพื่อนร่วมงานฟังด้วยท่าทางภูมิใจและดีใจอยู่เหมือนกัน มันทำให้ผมอดรู้สึกไม่ได้ ว่ามีนดีใจมาก ที่ผมตามหาเธอมาตลอด หาเธอจนเจอ จนกระทั่งเราได้เจอกัน

ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ช่วงเดือน ก.พ. ด้วยอะไรหลายๆ อย่างในชีวิตของเราสองคนที่เปลี่ยนไป ทำให้เราได้คุยกันมากขึ้น มากขึ้น แต่ทุกครั้งที่คุยกัน ภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่เราสร้างมันเอาไว้จะเป็นกำแพงขวางหน้าอยู่เสมอ ทุกครั้งที่มีนบอกว่าเหมือนจะว่าง และผมอยากจะเจอ มีนก็จะบ่ายเบี่ยงปฏิเสธว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องเจอ เช่นเดิม และผมก็จะตอบรับชะตากรรมตามนั้น เช่นเดิม ทำให้ผมมีโอกาสที่จะเจอมีนนับครั้งได้ ….

แต่แล้ววันหนึ่ง ก็มีเรื่องที่จะทำให้อะไรหลายๆ อย่างเปลี่ยนไปเกิดขึ้น … เมื่อมีนอยากจะพาครอบครัว (คุณพ่อ คุณแม่) ไปเที่ยวประเทศเกาหลี และผมก็ไปช่วยเดินหาแพคเกจทัวร์ในงานท่องเที่ยว ช่วงนั้นผมกับมีนก็มีเรื่องไม่เข้าใจกันอยู่เรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่พอสมควรในชีวิตมีนตอนนั้น เพราะเพื่อนมีนคนหนึ่งตั้งแต่สมัยที่มีนทำงานที่ CPF และเคยคุยเคยชอบพอกันอยู่บ้าง ถึงจะไม่ใช่แฟนแต่ก็เกินกว่าเพื่อนธรรมดา และยังคงวนเวียนป้วนเปี้ยนในชีวิตเธออยู่เสมอ แต่ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีอะไรชัดเจนจริงจัง ก็ได้กลับมาคุยกับเธออีกครั้ง และด้วยความที่มีนเป็นคนรักษาน้ำใจและความรู้สึกคน ดังนั้นเธอจึงไม่อยากหักน้ำใจทำอะไรให้เด็ดขาด

เรื่องนี้ทำให้ผมจิตตกพอสมควร … ด้วยความกลัว ด้วยปมในใจว่าตัวเองไม่ดีพอสำหรับมีน คนอื่นดีกว่าผมทั้งหมด ด้วยแผลใจทุกอย่างที่ผมเคยสร้างไว้ให้เธอ ด้วยระยะห่างทั้งหมดที่มีระหว่างเรามากกว่าสิบปีที่ผ่านไป ทำให้ผมกลัวว่าสุดท้าย …. ผมจะไม่ใช่คนที่เธอเลือก

แต่สุดท้ายเมื่อดูแพคเกจอยู่ มีนก็เป็นคนถามว่า “ตัวเองจะไปเที่ยวด้วยกันมั้ย” … ซึ่งผมไม่กล้าที่จะตอบรับหรอก ถึงจะอยากไปก็เถอะ ไม่รู้การกระทำมันจะตรงข้ามกับใจไปถึงไหน ให้ตาย .. แต่เมื่อมีนถามครั้งที่สาม ผมก็ตอบตกลง และนั่นเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตครั้งหนึ่ง

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เราก็เริ่มสนิทกันมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากกว่าการเป็นเพื่อนคนหนึ่ง ผมเริ่มไปบ้านมีนบ้าง และทุกครั้งที่ไป ก็มีโอกาสคุยกับคุณแม่ของมีนบ้าง ซึ่งการคุยกับคุณแม่นี่แหละ ทำให้ผมเริ่มมั่นใจอะไรหลายๆ อย่างมากขึ้นในการที่จะคุยกับมีน และการที่ผมจะเอาชนะใจมีนอีกครั้ง ….

แต่ภูเขาน้ำแข็งในใจของมีนก็ยังสูงเป็นเทือกเขามหึมา และกำแพงในความกลัวของผมก็ยังคงหนาเป็นกิโล ….

เวลาคุยกัน มีนมักจะบอกเสมอว่า วันนี้จะต้องไปตรวจคุณภาพโรงงานที่ไหน และเมื่อไหร่ก็ตามที่ผมจะอยากเจอ มีนก็จะหนี ก็จะปฏิเสธ ก็จะบอกว่าอย่าเจอดีกว่า อะไรแบบนี้เสมอๆ จนกระทั่งเมื่อผมไม่ถาม ไม่ขอเจอ ขอแค่ได้คุย มีนก็จะเอาไปน้อยใจว่าผมคงไม่อยากเจอแล้ว … ต่างคนก็ยังคงต่างคิดกันไปเองว่า อีกฝ่ายไม่อยากเจอตัวเองหรอก งั้นเป็นแบบนี้ไปแหละ ดีแล้ว

ภูเขาน้ำแข็งในใจของมีน มันก็มาจากสิ่งที่ผมเคยทำลงไปในอดีต ที่มีนไม่เคยเข้าใจ ตั้งแต่สมัยมัธยม ที่อยู่ดีๆ ก็เลิกคุยกับเธอ แล้วก็ทำเหมือนไม่สนใจ ไม่เคยคุยด้วย ไม่เคยมองหน้าตรงๆ หรือความเสียใจ ความเหงา จากการรอคอยการติดต่อสมัยที่เรียนมหาวิทยาลัย …. เธอเก็บกดทุกความรู้สึกและขังหัวใจของตัวเธอเอง เอาไว้ในใจกลางของเทือกเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ และปิดตายเอาไว้ไม่ให้ใครทำร้ายเธอได้อีก โดยเฉพาะคนที่ก่อให้เกิดภูเขาน้ำแข็งเทือกนี้ขึ้นมา … ซึ่งนั่นคือ .. ผม

กำแพงขนาดใหญ่ในใจผม ก็เกิดมาจากความกลัว กลัวว่าตัวเองจะไม่ดีพอ กลัวว่ามีนจะหายไปจากชีวิตผมอีก แค่กลับมาเจออีกครั้ง ได้เจอกันบ้าง ได้คุยกันบ้าง ก็ดีเหลือเกินแล้ว เทียบกับสิบกว่าปีที่ผมคิดถึง ที่ผมหามีนมาตลอด

ภูเขาและกำแพงนี้ ทำให้เราสองคนเดินไปไหนไม่ได้ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราจะก้าวไปข้างหน้า เราก็จะย้อนกลับมาที่เดิม เราอยากเจอกัน แต่เราก็ไม่เจอกัน เราอยากคุยกัน แต่เราก็ห่างเท่าเดิม … เมื่อไหร่ก็ตามที่จะได้เจอกัน มีนก็จะขังความรู้สึกตัวเองในน้ำแข็ง และปฏิเสธ และตรงนั้นกำแพงความกลัวของผมที่อยู่ในใจ ก็จะทำงานให้ผมยอมรับการไม่เจอนั้น

บางครั้งที่เราเริ่มสนิทกันขึ้น ภูเขาน้ำแข็งที่ว่านี้กลับใหญ่ขึ้น บางครั้งที่เราสนิทกันขึ้น กำแพงที่ว่านี้ก็กลับหนาขึ้น … จนท้ายที่สุด ด้วยความที่นิสัยพื้นฐานของเราทั้งคู่ก็ยังคงไม่เปลี่ยน เราก็เลือกทางที่จะทำร้ายความรู้สึกของตัวเองที่สุด

วันที่ผมบอกความรู้สึกอะไรหลายๆ อย่างของผมกับมีน ว่าที่ผ่านมาผมรู้สึกอย่างไรตลอด ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะดีขึ้นนะ แต่หลังจากนั้นเรากลับคุยกันน้อยลง ประกอบกับเหตุผลหลายๆ อย่าง ปัจจัยภายนอก เรื่องของคนอื่น และเรื่องราวอะไรต่ออะไรที่เกิดขึ้น ซึ่งมีผลให้ทุกอย่างเหมือนจะจบลงอีกครั้ง

ท่ามกลางความสับสนที่กำลังเกิดขึ้น .. ผมกลัวว่าสุดท้ายแล้วคนที่มีนเลือกจะไม่ใช่ผม ผมกลัวจะรับผลนั้นไม่ได้ถ้าจะต้องเป็นเช่นนั้น แต่แทนที่จะเลือกสู้ต่อให้ดีที่สุด เพื่อชนะใจเธอเป็นครั้งสุดท้าย ความกลัวที่มันครอบงำจิตใจ ทำให้ผมขอเป็นคนยอมเลือกที่จะเจ็บเองเสียดีกว่า ผมยอมเจ็บเพราะเลือกที่จะไป ดีกว่าจะต้องเจ็บเพราะเธอไม่เลือกผม ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมตัดสินใจที่จะทำสิ่งที่ผมไม่เคยคิดจะทำเลย และไม่เคยทำเลยในชีวิต เมื่อผมไปหามีนที่บ้านวันที่ 17 มีนาคม .. เพื่อที่จะบอกว่า

“ลาก่อนครับ”

ผมบอกลามีนเป็นครั้งแรกในชีวิต พร้อมกับเห็นมีนเสียใจ ร้องไห้ แต่ก็ต้องกลืนน้ำตาไม่ให้ใครเห็น … ผมเลือกทางเลือกที่ผมจะเจ็บปวดมากที่สุด เพราะไม่อยากให้ตัวเองต้องเจ็บปวดไปมากกว่านั้น

แต่นั่นเอง ที่ทำให้ผมรู้ใจตัวเองจริงๆ ว่าผมรักมีนแค่ไหน ผมตอนแรกผมคิดว่าผมรักเค้ามากพอที่จะไม่สร้างความลำบากใจให้เค้าอีก ไม่ทำความลำบากใจให้เค้าต้องเลือก แต่แท้จริงแล้วมันกลับทำให้ผมเสียใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน จนแทบจะเสียคนในช่วงนั้น ไม่ว่าจะมีคนพยายามเข้ามาคุยกับผมสักกี่คนในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นก็ตามที แต่ผมกลับทำใจคุยกับใครไม่ได้ … แท้ที่จริง ชีวิตผมไม่ต้องเลือกว่าจะอยู่หรือไปหรือระหว่างใครกับใคร เพราะผมได้เลือกไปแล้วเมื่อ 18 ปีก่อน

และนั่นเอง ที่ทำให้มีนรู้ใจตัวเองจริงๆ ว่ามีนรู้สึกยังไงกับผมกันแน่ มันคือความรักอย่างปฏิเสธไม่ได้ และแท้ที่จริง ชีวิตเธอไม่ต้องเลือกเลยระหว่างใครกับใครเลย เพราะเธอได้เลือกไปแล้ว เมื่อ 18 ปีก่อน เช่นเดียวกัน

นี่คงเป็นครั้งแรก ที่น้ำแข็งบนภูเขาเริ่มมีรอยแตกร้าวและเริ่มละลาย เพราะสุดท้ายมีนก็เป็นฝ่ายติดต่อกลับมา แต่แทนที่เราจะเปิดใจคุยกันตรงๆ เลย มีนก็คุยกับผมแค่ถามว่ายังจะไปเท่ียวกันอยู่หรือเปล่า และสุดท้ายเราก็นัดทานข้าวกันอีกครั้ง …

และเมื่อผมเจอมีน ผมก็รู้และเข้าใจทันทีว่าผมคิดถึงผู้หญิงคนนี้ขนาดไหน กำแพงหนาก็เริ่มพังลง เมื่อผมอดเอื้อมมือไปลูบหัวเธอเบาๆ ไม่ได้ และมีนเองก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่หลั่งไหล่ผ่านปลายมือเช่นเดียวกัน

หลังจากนั้นเราก็กลับมาคุยกันได้ดีขึ้น และเริ่มสนิทมากขึ้น จนกระทั่งวันที่ผมบอกรักมีนอีกครั้ง ….. และครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่มีนบอกรักผมตอบ ซึ่งผมดีใจมาก แต่แล้ว มีนกลับบอกว่า

“เป็นเพื่อนกันนะคะ”

ผมช็อคมาก ทั้งๆ ที่เธอเพิ่งจะบอกรักผม ก่อนที่ผมจะถามอะไรต่อ มีนก็พูดต่อมาทำนองว่า

“ถ้าเราเป็นเพื่อนกัน เราก็จะมีกันและกันไปเรื่อยๆ ไม่ต้องเลิกกัน ไม่ต้องจากกัน ไม่ต้องไปไหนไง”

ความกลัวทั้งหมดที่อยู่ในใจเธอทำงานอีกครั้งหนึ่ง เธอคงมีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้มาก จนกลัวว่าจะเสียทุกอย่างไปอีก ….. เพราะไม่ใช่ผมหรอกหรือ ที่เคยหายไป ในวันที่เรารู้สึกดีกันแบบนี้ และกำลังจะเป็นแฟนกันจริงจัง … วันนั้น ที่ผมควรไปหาเธอที่ ม.นเรศวร … วันนั้น ที่ทำให้เธอต้องรอคอยโทรศัพท์จากคนๆ หนึ่งด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ จนกลายเป็นขังตัวเองอยู่กับความผิดหวังและการไม่หวังอะไรอีกแล้ว

ความรักและความหวัง มันช่างเป็นเรื่องที่เจ็บปวดเหลือเกินสำหรับเธอ … มีนเลือกที่จะขอหยุดทุกอย่างไว้แค่คำๆ นี้

ซึ่งแน่นอน … ด้วยความกลัวและความที่ปากไม่ตรงกับใจ ผมก็ตอบไปว่า

“ครับ”

ตอนนั้นบอกตามตรง ความรู้สึกหนึ่งคือ ดีแล้ว เพราะเราก็จะมีเค้าแบบนี้ แต่อีกความรู้สึกหนึ่ง ผมก็เสียใจมากที่ทุกอย่างมันจะจบลงแบบนี้ ทั้งๆ ที่มันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ

หลังจากนั้น เราสองคนก็กลับมาคุยกันน้อยลงอีกครั้ง เพราะผมเสียใจมากที่มีนขอให้ผมเป็นเพื่อน ทั้งๆ ที่ใจหนึ่งก็คิดว่าดีแล้ว และมีนเองก็คงเสียใจมากเช่นเดียวกัน ที่ผมเลือกจะยอมรับการเป็นเพื่อนมากกว่าที่จะขอเธอเป็นอะไรมากกว่านั้นอย่างจริงจัง

จนกระทั่งวันหนึ่งในปลายเดือน เม.ย. ก่อนหน้าวันเดินทางไปเที่ยวแค่เพียงไม่กี่วัน มีนว่างเพราะเพิ่งออกจากงานเดิม และเป็นช่วงก่อนที่จะเริ่มทำงานที่ใหม่ ก่อนจะไปเที่ยวที่เกาหลี ผมมีโอกาสจะเจอกับมีนอีกครั้งหนึ่ง

“ช่วงนี้ตัวเองเงียบจัง คิดว่าลืมมีนไปแล้วซะอีก”

วันนั้นเอง เป็นวันแรกที่เราสองคนเปิดใจคุยอะไรกันก็ไม่รู้เยอะแยะมากมาย คุยกันอย่างเป็นตัวเอง ตามความรู้สึกที่ใจตัวเองเป็น …… มีความรู้สึกดีๆ กันมากมายที่ไม่เคยถูกพูดออกมา

และอาจจะเป็นครั้งแรกในชีวิตระหว่างผมและมีน ที่เราสองคนได้เริ่มคุยอะไรกันแบบปากตรงกับใจ ไม่ใช้ท่าทางและคำพูดที่มันตรงกันข้ามกับความรู้สึก เราเริ่มเล่าเรื่องราวย้อนอดีตกัน ว่าเมื่อก่อนตอนนั้นตอนนี้ ความรู้สึกที่แท้จริงของเราเป็นยังไงกันแน่ … มันก็โล่งดีนะ ที่ได้บอกอะไรกันตรงๆ

“ผมไม่มีวันลืมคุณหรอกครับ … ผมรักคุณมาตลอด 18 ปีแล้ว และผมหาคุณมาตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา ผมจะไม่ยอมเสียคุณไปอีกเป็นครั้งที่สาม และผมจะไม่ไปไหนอีกแล้ว”

ถึงแม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมบอกมีนกับเรื่องราวเหล่านี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมบอกมีนแบบนี้ … แต่นี่คงเป็นครั้งแรก ที่ผมได้บอกมีนเมื่อภูเขาน้ำแข็งเริ่มละลาย …. และกำแพงก็เริ่มถูกทำลายเช่นกัน

ที่ผ่านมา … ระหว่างผมและมีน มันคือ “ความรัก และความไม่เข้าใจ” ที่มีให้กันมาตลอด 18 ปี …

(จบตอน)