คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายที่รอคอย #6: “The Light Shaft”

เรื่องเล่า ที่เรียบเรียงจากเรื่องจริงของผม และว่าที่เจ้าสาว คุณวัชรพรรณ โล่ห์ทองคำ ตอนที่ 6

อัพเดทล่าสุดเมื่อ 10 กันยายน 2555

ความเดิม

05/2012: แสงสว่างส่องผ่านเมฆ (The Light Shaft)

“ตัวเองรู้มั้ย นี่จะเป็นครั้งแรกนะที่เราจะได้เจอกันทั้งวัน …”

แม้ว่าภูเขาน้ำแข็งจะเริ่มละลาย และกำแพงในใจก็เริ่มกร่อนลงแล้ว … แต่เรื่องหนึ่งที่ยังคงเป็นความจริงอยู่ก็คือ ที่จริงแล้วเราทั้งสองคนไม่เคยไปไหนด้วยกันเลย และแทบไม่เคยมีทำกิจกรรมอะไรด้วยกันเลยในชีวิต มีแค่นัดทานข้าวกันนานๆ ครั้ง แล้วก็ไปเยี่ยมบ้านกันบ้าง ซึ่งทั้งหมดก็เป็นแค่การนั่งคุยกันเท่านั้น นอกจากนั้นแล้วเราแทบไม่เจอกันเลย และที่แน่นอนที่สุดก็คือ เราไม่เคยเที่ยวด้วยกัน ไม่เคยเจอหน้ากันเกิน 3-4 ชั่วโมง ไม่เคยมีกิจกรรมอะไรด้วยกันมากกว่านั้น

ธรรมชาติของเราสองคนทำให้เราเจอกันยากเสมอมา เมื่อไหร่ที่จะเจอกันได้ มีนจะปฏิเสธหรือหนีเสมอ ในขณะที่ผมจะยอมรับชะตากรรมเสมอ จนต่างฝ่ายต่างคิดว่าอีกคนไม่อยากเจอตัวเอง

เราสองคนจึงทั้งรอและทั้งกลัวทริปที่จะไปเที่ยวเกาหลีด้วยกันกับครอบครัวและเพื่อนๆ ของมีน (ซึ่งเราไปกันหลายคน มีคุณพ่อ คุณแม่ คุณป้า คุณนกเพื่อนสนิทของมีน และเพื่อนๆ ของคุณนก รวมผมด้วยเป็น 9 คน … เยอะมั้ยล่ะ) เรากลัวอะไรเหรอ เราก็คงกลัวว่าจะไม่สนุก จะนิ่งเฉยมึนตึงใส่กัน แล้วถ้าเป็นงั้นคนอื่นจะรู้สึกยังไง ฯลฯ เล่นเอาผมเครียดมากก่อนจะไป …. โดยเฉพาะสำหรับผม ที่มีธรรมชาติเป็นคนเก็บตัว ขี้อาย และเข้ากับคนยากพอสมควร คุยกับใครเรื่องธรรมดาทั่วๆ ไปไม่ค่อยจะเป็นกับเขา จะคุยเป็นคุยสนุกก็เรื่องงานหรือเรื่องวิชาการ

เรากลัวเหลือเกินว่าท่ามกลางความรู้สึกดีต่อกันทั้งคู่ หลังจากได้เริ่มเปิดใจยอมรับความรู้สึกตัวเองที่ถูกเก็บกดเอาไว้นานนับสิบปีให้อีกฝ่ายได้รับรู้จริงๆ เป็นครั้งแรกเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ถ้าระหว่างไปเที่ยวครั้งนี้ อีกฝ่ายเริ่มรู้สึกว่าแท้จริงแล้วมัน “ไม่ใช่” ขึ้นมาล่ะ?

เรายังคงกลัวว่า ทั้งที่แท้จริงแล้วความรู้สึกระหว่างเรามันคือความรักตลอดเวลา 18 ปีที่ผ่านมา แต่สุดท้ายมันกลับไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปได้ ความต้องการของหัวใจ จะกลับกลายเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ของชีวิต ความระแวง ความไม่มั่นใจ ความกลัวก็ยังคงครอบงำความคิดของทั้งผมและมีนอยู่

และสิ่งที่เราสองคนกลัวที่สุด กลัวมากกว่าอะไรทั้งหมดทั้งสิ้นก็คือ แม้ว่าเราจะรู้สึกว่ามันใช่นะ แต่ถ้าอีกคนหนึ่งรู้สึกว่ามัน “ไม่ใช่” ขึ้นมาล่ะ?

การไปเที่ยวครั้งนี้มันจะกลายเป็นเพียง “ฝันตื่นหนึ่ง” ที่เราจะต้องตื่นจากมันเมื่อเรากลับมา แต่ภาพฝันนี้มันจะฝังใจและหลอกหลอนเราตลอดไปในชีวิตที่เหลืออยู่ ว่าครั้งหนึ่งเราเคยมีเวลาได้อยู่ใกล้ๆ กัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราฝันถึงและโหยหามานาน แต่แล้วทุกอย่างก็ต้องพังทลายด้วยมือของเราเอง และทุกอย่างก็จะกลับไปเป็นเหมือนที่เคยเป็นก่อนที่เราจะไปเที่ยวด้วยกัน เพราะที่ผ่านมาในอดีตของเรื่องราวระหว่างเราสองคนนั้น เมื่ออะไรมันเหมือนจะดี ก็จะมีเรื่องให้มันต้องกลายเป็นเพียงฝันตื่นหนึ่งไปเสียทุกที

แต่ไหนๆ ก็จะได้เที่ยวด้วยกันทั้งที ผมก็อยากได้รูปมีนไว้เยอะๆ … เผื่อว่าวันหนึ่งข้างหน้า หากมันจะกลายเป็นเพียงฝันตื่นหนึ่ง .. อย่างน้อยๆ ผมก็มีรูปจากฝันดีครั้งนี้ เอาไว้คิดถึงวันเวลาเหล่านี้อีกครั้ง ซึ่งด้วยความที่ผมเป็นคนเล่นกล้อง และชอบถ่ายรูป ทริปนี้ผมก็ไม่ลืมที่จะเอากล้องไปด้วย 2 ตัว โดยผมจงใจเลือกกล้องและเลนส์ชุดที่ “ถ่ายคนออกมาสวยที่สุดเท่าที่ผมมี” และมีเลนส์มุมกว้างพอที่จะเอาไว้ถ่ายรูปคู่ และกล้องอีกตัวหนึ่งซึ่งเป็นกล้องที่ “โฟกัสไวและมีโอกาสได้ภาพสูงสุดที่ผมมี” (Fujifilm X-Pro1 พร้อมเลนส์ 35/1.4 ซึ่งถ่ายคนสวยมาก และ 18/2 ซึ่งกว้างพอจะถ่ายรูปคู่ตัวเอง และ Nikon V1) เพราะผมไม่อยากจะพลาดจังหวะอะไรแม้แต่จังหวะเดียว

เมื่อไปถึงสนามบิน เราไม่ได้คุยกันมากนัก เพราะอะไรต่ออะไรหลายๆ อย่าง ทำให้จริงๆ แล้วผมแอบรู้สึกใจเสียเล็กๆ แต่เมื่อขึ้นไปบนเครื่องบนซึ่งมีรูปแบบแถวเครื่องบินลำนั้นเป็น 2-3-2 ผมกับมีนได้นั่งด้วยกันตรงแถวด้านข้าง หลังจากการแลกที่นั่งกับน้องคนหนึ่งที่ไปด้วยกัน (น้องแจง; ขอบคุณน้องด้วยนะครับ)

บอกตามตรงว่าตื่นเต้นมาก เพราะถึงจะเป็นการนั่งข้างๆ กันบนเครื่องบินเฉยๆ แต่มันก็เป็นไฟลท์กลางคืน … ซึ่งนั่นหมายความว่า วันนี้จะเป็นครั้งแรกในชีวิตกว่าสิบปีที่ผ่านมาของผม ที่จะไม่ต้องนั่งถามตัวเองอย่างไม่มีคำตอบก่อนจะเข้านอน ว่ามีนจะเป็นยังไงบ้าง และนั่นหมายความว่า เมื่อตื่นขึ้นมาตอนเช้า ผมก็ไม่ต้องถามตัวเองด้วยคำถามเดียวกัน … เพราะมีนจะเป็นภาพสุดท้ายที่ผมเห็นก่อนจะหลับ และเป็นภาพแรกที่ผมเห็นเมื่อผมตื่น ….. แต่จนแล้วจนรอด เราทั้งสองคนก็นั่งคุยกัน นั่งจับมือกันแบบกลัวอีกคนหนึี่งจะหลุดลอยหายไปกับกลีบเมฆ กลัวว่าหากหลับไปแล้วจะตื่นมาพบว่ามันเป็นแค่ฝัน จนเราสองคนแทบไม่ได้นอนเลย

ความอบอุ่นจากมือที่สัมผัสกัน ค่อยๆ ละลายภูเขาน้ำแข็งทีละน้อยๆ ความใกล้ชิดที่นั่งไหล่พิงกัน ก็ค่อยๆ กร่อนกำแพงลงไปทีละน้อยๆ และเสียงของหัวใจก็ดังขึ้นเรื่อยๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว

เมื่อไปถึงเกาหลีจริงๆ ผมกับมีนจะนั่งแยกกันเสมอ มีนจะนั่งกับคนในครอบครัว ส่วนผมจะนั่งกับกองกระเป๋า (ก็นั่งคนเดียวน่ะแหละ) ความรู้สึกกลัวเริ่มครอบงำผมอีกครั้ง ว่าทริปนี้จะกลายเป็นเรื่องที่คนที่เรารักที่สุดนั้นอยู่ใกล้แค่มือคว้า แต่เหมือนอยู่ไกลแค่ตาเห็น เอื้อมมือคว้าจริงๆ ไม่ได้ เหมือนกับพระจันทร์เต็มดวงในตอนกลางคืน ที่เหมือนจะอยู่ใกล้แสนใกล้ แต่เอื้อมอย่างไรก็เอื้อมไม่ถึง

แต่มองอีกด้านหนึ่ง มันเป็นครั้งแรกในชีวิตตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา ที่ผมไม่ต้องหลับตาจินตนาการภาพของมีนในใจเมื่อเวลาอยากเห็น เมื่อเวลาคิดถึง เป็นครั้งแรกที่แค่หันไปนิดหน่อยก็เจอมีนนั่งอยู่ตรงนั้น ส่วนมากผมจะมองมีนเกือบตลอดเวลา และหลายครั้งผมก็เห็นมีนแอบมองตอบมาด้วย ก่อนจะหันกลับไปนั่งยิ้มแก้มแทบปริอยู่คนเดียว ซึ่งก็เล่นเอาผมเขินและนั่งยิ้มได้เหมือนกัน

ตั้งแต่เช้าวันแรก เราทั้งสองต่างคนต่างยังเกร็งๆ กันอยู่ จะถ่ายรูปคู่กันก็ไม่กล้า จะเดินเล่นด้วยกันก็ยังเขิน จะคุยกันก็ยังอาย จะโดนตัวกันบ้างก็ยังกลัว แล้วก็ยังรู้สึกเกรงใจคนอื่นที่ไปด้วย ผมจำได้เลยว่าเมื่อถึงจุดแรกที่ได้หยุดลงเดินเล่นด้วยกัน นี่แทบจะไม่มีเวลาเดินด้วยกันสองคนเลย

แต่ด้วยความที่ผมอยากมีรูปมีนไว้เยอะ ดังนั้นไม่ว่ามีนจะเดินไปที่ไหน เดินไปกับใคร ผมจะเดินตามอยู่ใกล้ๆ และจะคอยถ่ายรูปเธอเสมอ ถ่ายรูปเธอตลอดเวลา ผมอยากจะเก็บทุกความทรงจำ เก็บทุกรอยยิ้ม เอาไว้ในภาพถ่าย เผื่อว่าวันพรุ่งนี้ผมตื่นมาแล้วเรื่องราวทั้งหมดที่ผมได้อยู่ใกล้ๆ เธอ และได้เห็นรอยยิ้มเหล่านี้ มันกลายเป็นเพียงฝันไป

ใครจะไปรู้ล่ะ ว่าการถ่ายรูปมีนจะทำให้เราได้ค่อยๆ ใกล้ชิดกันมากขึ้น ทำให้เราได้ค่อยๆ มองกันมากขึ้น และค่อยๆ ทำให้เราได้ยิ้มให้กันมากขึ้น รวมถึงลดอาการเขินอายกันมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ยังค่อยๆ ทำให้เราเหมือนจะมีเวลาส่วนตัว ท่ามกลางกลุ่มคนทั้งทริป มากขึ้นๆ ด้วย ไม่ว่าจะไปที่ไหน ผมจะขอให้มีนหยุดสักแป๊บ ให้ผมได้กดชัตเตอร์สักหน่อย แล้วผมก็จะให้มีนดูรูปจากหลังกล้อง ยืนยิ้มแล้วก็หัวเราะกัน บางทีก็ขอถ่ายรูปคู่กับมีนด้วย

ทุกอย่างก็อยู่ในวัฏจักรนี้แหละ เราจะมีเวลาได้อยู่ด้วยกันบ้างเมื่อรถจอด และลงไปตามที่ต่างๆ (ซึ่งจริงๆ ก็แทบจะเหมือนกับวิ่งผ่านสถานที่อย่างรวดเร็ว ไม่ได้มีเวลาอะไรเท่าไหร่นักหรอก) เวลาทานข้าว รวมถึงเวลาพักผ่อนตามอัธยาศัยเล็กน้อยเท่านั้น

จนกระทั่งไกด์ก็พาเราไปที่เกาะนามิ (เกาะกลางทะเลสาบแห่งหนึ่ง ผมไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรมากหรอกครับ ไม่ใช่แฟนพันธ์แท้เกาหลี) ที่ซึ่งเรามีเวลาเดินด้วยกันเยอะหน่อย มีเวลายืนคุยกัน เดินคุยกัน เดินถ่ายรูปด้วยกันเยอะกว่าจุดอื่นๆ ที่ลงไปไม่ทันไร ยังไม่ทันได้พัฒนาความรู้สึกอะไรทั้งสิ้น ก็ต้องกลับมาขึ้นรถ แล้วก็แยกกันนั่งให้ได้แต่แอบมองกันเหมือนเดิม การไปที่เกาะนั้นเอง ทำให้เราเริ่มคุ้นเคยกันมากขึ้น ความเกร็งที่เคยมีก็น้อยลง ความกล้าที่จะเดินออกจากความกลัว และเดินเข้าไปในชีวิตของอีกคนหนึ่งก็ค่อยๆ มากขึ้นเป็นลำดับ

ก็เหมือนกับการต้มน้ำ ตราบใดก็ตามที่ยังไม่ถึงจุดเดือด ดูจากภายนอกน้ำก็จะยังเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น แต่แท้จริงแล้วอุณหภูมิของน้ำและพลังงานที่สะสม ก็ค่อยๆ ใกล้จุดนั้นเข้าไปทุกที จนกระทั่งจุดเปลี่ยนแปลงของสถานะมาถึง … เรื่องของผมกับมีนก็เช่นเดียวกัน แม้ดูภายนอกจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรจากสิ่งที่เคยเป็นก่อนหน้านี้ แต่ความรู้สึกต่างๆ ที่สะสมมา และความอบอุ่นจากการมีอีกคนอยู่ใกล้ๆ ก็ทำให้จุดเปลี่ยนแปลงใกล้ขึ้นมาทีละน้อยๆ

และแล้ว…. จุดเปลี่ยนนั้นก็มาถึง เมื่อเราต้องไป “สวนสนุก” กัน เพราะว่าที่สวนสนุกนี้แหละ ที่เราได้เริ่มปลดปล่อยความรู้สึกอะไรมากขึ้น มีการหยอกล้อเล่น การที่ได้เดินจับมือกันจริงๆ ในชีวิตเป็นครั้งแรก การที่ได้นั่งบนกระเช้าแล้วโอบไหล่กัน การที่เล่นเครื่องเล่นแล้วตัวโดนกันตามธรรมชาติของการเคลื่อนไหว …. สิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้ค่อยๆ เปลี่ยนการแสดงออกของเราทีละนิดๆ จากที่ได้แต่แอบมองกัน ไม่กล้ามองเต็มๆ ตา ได้แต่กลัวอีกฝ่ายหนึ่งจะรู้สึกนี่นั่นโน่น จึงได้แต่สงวนท่าทีไม่กล้าพูดไม่กล้าบอกไม่กล้าทำอะไรมากมาย กลายมาเป็นตาสองคู่ที่มองหากันตลอดเวลา มือสองข้างที่แทบจะคว้าหากันตลอดเวลาที่สัมผัสกันได้

ตอนนั้นเราต่างคนต่างรู้สึกว่า มือของอีกคนหนึ่ง มันอบอุ่นเสียเหลือเกินเวลาที่ได้สัมผัสกัน และต่างคนต่างเริ่มรู้สึกว่า การมีอีกคนอยู่ใกล้ๆ ให้ได้เดินจูงมือกัน ให้ได้ยิ้มให้กัน ให้ได้เห็นอีกคนมองเราอยู่ด้วยความรักที่สะท้อนในสายตา มันช่างเป็นความสุขที่ไม่อาจบรรยายได้เลย

ผมมองมีนคนเดียวตลอดทริป จนคนที่ไปด้วยก็คงจะเห็นพ้องต้องกันเป็นภาพเดียวแน่นอน ว่าตลอดเวลากล้องของผมแทบจะไม่เคยโฟกัสไปที่อื่นเลย นอกจากโฟกัสที่มีนเท่านั้น ซึี่งก็เป็นเรื่องจริงนะ ทริปนั้นผมแทบจะไม่สนใจถ่ายรูปอย่างอื่นในแนวที่ผมชอบเลย สุดท้ายก็โดนเพื่อนร่วมก๊วนคนหนึ่ง (คุณดาว) แซวจนได้ว่ากล้องผมมีแต่รูปมีน ผมก็ตอบไปแบบเขินๆ ว่า

“กล้องมันก็่โฟกัสตามสายตาคนถ่ายน่ะแหละครับ”

ทุกครั้งที่อยู่หน้ากล้องผม ผมเห็นมีนท่าทางมีความสุขมาก และผมไม่เคยเห็นมีนท่าทางมีความสุขขนาดนี้มาก่อนเลย

สายตาที่เราเห็นอีกฝ่ายหนึ่งมองกลับมายังตัวเองก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป เมื่อเราทั้งสองคนต่างยอมรับความจริงง่ายๆ ว่าไม่เคยมีความสุขขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ความสุขง่ายๆ แค่การได้มีคนๆ หนึ่งอยู่ใกล้ๆ ให้เราเห็นได้ ให้สายตาและความรู้สึกเราสัมผัสได้ ให้ได้เห็นเค้ากินข้าว ให้ได้เห็นเค้ายิ้ม .. แค่นี้มันทำให้รู้สึกมีความสุขชนิดที่บรรยายออกมาเป็นตัวอักษรไม่ได้ ไม่ว่าจะในภาษาอะไรก็ตามที่เรารู้จัก

ไม่ใช่แค่เพียงเราสองคนเท่านั้น ที่รู้ตัวว่าตัวเองเปลี่ยนไป คนอื่นๆ ที่ไปด้วยกันในทริป ทั้งคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย ก็เริ่มเห็นเช่นกัน หลายคนเริ่มแซวผมเวลาที่ถ่ายรูปเพื่อนมีนตอนมีนไม่ได้อยู่ด้วย

“นางเอกเค้าไม่อยู่ในฉาก พวกตัวประกอบเลยได้คิวเข้ากล้องใช่มั้ยเนี่ย”

หรือแม้แต่ไกด์นำเที่ยว ก็ยังอดแซวไม่ได้ ตอนที่ไปโซลทาวเวอร์ซึ่งจะมีที่ให้คนที่เป็นคู่รักคล้องกุญแจกันไว้

“อย่างคู่นี้ถ้าไม่ได้เอากุญแจมา ก็ซื้อกุญแจได้นะ”

นั่นสินะ คู่ไหนๆ เค้าไปโซลทาวเวอร์กันก็คงจะไปคล้องกุญแจกันทั้งนั้น แต่ผมกับมีน ก็เหมือนจะเพิ่งไปเปลี่ยนสถานะกันจริงๆ ที่โน่น ก็เลยไม่ได้เตรียมไป ระหว่างเดินขึ้นไป มีนถามผมว่าจะคล้องกุญแจกันมั้ย ผมรู้นะว่ามีนเองก็คงอยากจะคล้องกุญแจ แต่จนแล้วจนรอด ด้วยความที่ยังคงเขินยังคงอายอยู่นั่นแหละ (กลัวโดนแซวหนักกว่าเดิม) ก็เลยไม่ได้ซื้อกุญแจ แต่เรามีสิ่งสำคัญกว่านั้นที่จะต้องคล้องกันไว้ …

ผมชวนมีนเดินไปถึงจุดที่เค้าคล้องกุญแจกัน จับมือเธอขึ้นมาวางบนราวที่มีไว้แขวนกุญแจเบาๆ แล้วบอกเธอเบาๆ ว่า

“แทนกุญแจนะครับ”

เมื่อสองมือจับกันไว้เบาๆ ครั้งนั้น เราต่างคนต่างรับรู้อย่างชัดเจน ว่าแท้ที่จริงแล้วเราต่างคนต่างมีกุญแจอยู่คนละดอกมาตลอด เป็นกุญแจของประตูปิดตายที่ขังหัวใจเอาไว้มานานแสนนาน โดยที่เราไม่เคยรู้ว่าจะเปิดประตูบานนี้อย่างไร และตอนนี้เราเข้าใจแล้วว่าประตูหัวใจของผม มีแต่มีนเท่านั้นที่มีกุญแจไขเปิดมันออกได้ และประตูหัวใจของมีน ก็มีแต่ผมเท่านั้นที่มีกุญแจ

ประตูปิดตายที่ขังหัวใจของเราสองคนมาช้านาน ในที่สุดก็ถูกเปิดออก ให้หัวใจได้ออกมาเป็นอิสระอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรก ในเวลากว่าสิบปี

ในระยะเวลาสั้นๆ ที่เราได้อยู่ด้วยกันที่เกาหลี มันได้สื่อสารความรู้สึกที่เรามีให้กันตลอด 18 ปีในหัวใจ ออกมาอย่างหมดสิ้น และท้ายที่สุดแล้ว มันก็ไม่ได้เป็นแต่เพียงครั้งแรกที่เราสองคนต้องเจอกันแทบจะตลอดเวลาเท่านั้น …

มันยังเป็นครั้งแรก … ที่ไม่มีระเบียงทางเดินยาวๆ ให้ผมต้องรีบเดินผ่านๆ ไป
มันยังเป็นครั้งแรก … ที่ไม่ได้คุยผ่านสายโทรศัพท์ให้ตัดบทวางสายได้เมื่อกลไกของประตูปิดตายบนกำแพงเริ่มทำงาน
มันยังเป็นครั้งแรก … ที่การหาหรือยกเหตุผลต่างๆ มาเพื่อให้ไม่ต้องเจอกันนั้น จะใช้ไม่ได้ทั้งสิ้น
มันยังเป็นครั้งแรก … ที่เราได้มีอีกคนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องอยู่กับภาพของอีกคนหนึ่งที่เกิดจากจินตนาการของความคิดถึงและความกลัว
มันยังเป็นครั้งแรก … ที่เราไม่ต้องเอาชนะความกลัวเพื่อที่จะก้าวขาออกจากจุดที่เรายืนอยู่ เพื่อเข้าไปในชีวิตของอีกคนหนึ่ง เพราะต่างคนต่างเหมือนกับค่อยๆ ก้าวเข้ามาหาเราเอง
……
มันยังเป็นครั้งแรก … ที่เราสองคนต่างหนีความจริงง่ายๆ ของหัวใจตัวเองไม่ได้ …
มันยังเป็นครั้งแรก … ที่ไม่สามารถจะมีอะไรมาห้ามความรู้สึกที่ต่างคนต่างเก็บเอาไว้ในก้นบึ้งของหัวใจตัวเองได้เลย …

ทีละน้อย และทีละน้อย ที่เราได้ค่อยๆ คุยกัน ได้ค่อยๆ มองกันและกันระหว่างทริป ได้ทานข้าวด้วยกัน ได้ดูแลเทคแคร์กันบ้างตามโอกาสที่อำนวยให้ มันได้ค่อยๆ ทำให้เสียงหัวใจตัวเองดังขึ้นเรื่อยๆ … หัวใจที่ขังตัวเองมาตลอด หัวใจที่ไม่เคยมีโอกาสพูด หัวใจที่ไม่เคยมีปากมีเสียง ในที่สุดก็ได้รับโอกาสที่จะพูดกับตัวของเราเองทั้งสองเป็นครั้งแรก หลายสิ่งหลายอย่างที่ถูกซ่อนและเก็บกดอยู่ข้างในใจจริงๆ ก็ค่อยๆ ถูกปลดปล่อยออกมาให้ตัวเองยิ่งรู้ใจตัวเองมากขึ้นๆ

ทีละน้อย และทีละน้อย ที่เราเริ่มปล่อยความรู้สึกทุกอย่างไปตามความต้องการของหัวใจ เราเริ่มมองหากันมากขึ้น รอเวลาลงจากรถไปที่ต่างๆ มากขึ้น เริ่มอยากมีเวลาส่วนตัวกันมากขึ้น รอเวลาวันพรุ่งนี้มาถึงมากขึ้น แอบเดินเกี่ยวก้อยและจับมือกันทุกเวลาที่โอกาสจะอำนวยให้ทำได้ เรารู้สึกว่าเวลาทุกวินาทีที่เราได้ใช้ด้วยกันได้ ไม่ว่าจะเป็นเวลาทานข้าว เวลาเดินซื้อของ เวลาลงไปตามที่ต่างๆ หรือแม้แต่เวลามองตากัน มันช่างเป็นเวลาที่มีค่าและมีความสุขเหลือเกิน

ทีละน้อย และทีละน้อย ที่การแสดงออกระหว่างกันและกันของเราทั้งสองคน ค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนจากคนที่รู้สึกรักอีกคนหนึ่ง แต่แสดงออกไม่ได้ และเลือกที่จะปฏิเสธไม่แสดงออกมาตลอด จนบางครั้งก็ทำตัวเหินห่างยิ่งกว่าเพื่อนธรรมดาทั่วไปเสียอีก กลายมาเป็นสิ่งที่เราต่างคนต่างฝันมานานแล้ว นั่นคือการแสดงออกแบบคนรักกัน เราเริ่มอยากแสดงออกมากขึ้นให้อีกคนรู้ว่าเรารู้สึกอย่างไรในใจ เรารักอีกคนหนึ่งขนาดไหน สิ่งที่สะสมมานานนับสิบปี ตั้งแต่เริ่มยิ้มให้กัน ตั้งแต่ส่งจดหมายติดต่อกัน ตั้งแต่ความฝันที่จะได้เจอกันที่ไม่เคยเป็นจริง กำลังค่อยๆ ล้นออกมาจากกำแพงที่เล็กลงๆ

ทีละน้อย และทีละน้อย ความรู้สึกของเราได้เปลี่ยนไปจากความกลัว จากความไม่แน่ใจ จากการที่หัวใจยอมแพ้ต่อเหตุผลที่ทำร้ายตัวเองของเราทั้งสองคนตลอดมา ก็กลายเป็นความแน่ใจ กลายเป็นความชัดเจน กลายเป็นความมั่นใจ ความรักที่เรามีให้กันและกัน ความรู้สึกที่เรามีให้กัน เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ เราต้องการให้อีกคนหนึ่ง เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา เราโหยหาเสี้ยวของเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันเหลือเกิน

ทีละน้อย และทีละน้อย ที่เราสองคนรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่สัมผัสได้ด้วยหัวใจ ความอบอุ่นที่แสดงถึงการสิ้นสุดของลมหนาวที่หล่อเลี้ยงภูเขาน้ำแข็งลูกนั้นตลอดมา และเมื่อพายุหิมะไม่สามารถพัดมาได้ และประตูปิดตายถูกไขออกมา …. ภูเขาน้ำแข็งขนาดมหึมาที่ก่อตัวขึ้นมาตลอดสิบกว่าปีรอบหัวใจของมีน ก็ถูกละลายหายไป และกำแพงยักษ์ใหญ่ที่ถูกก่อขึ้นมาขวางความรู้สึกในใจผม ก็ถูกทำลายลงอย่างไม่เหลือชิ้นดี

หัวใจของเราทั้งคู่ ได้แสดงออกถึงความรู้สึกที่เราบังคับให้มันเก็บมันกดเอาไว้มานานอย่างเต็มที่ เมื่อเราปล่อยหัวใจให้เป็นอิสระ ให้แสดงความรู้สึกและรับรู้ความรู้สึกไปตามใจของมัน ให้เราฟังเสียงและรับรู้ความรู้สึกของหัวใจตัวเอง เราทั้งสองคนถึงได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริง ที่เราทั้งสองคนต่างไม่เคยรู้จักและไม่เคยเข้าใจเลย ในช่วงตลอดชีวิตที่ผ่านมา

“หาก ‘ความรัก’ คือความรู้สึกแบบนี้ …. ที่ผ่านมาเราทั้งสองก็ไม่เคยรู้จักกับมันเลย”

ในที่สุด หัวใจของเราทั้งคู่ ก็ได้เฉลยคำตอบของชีวิตเราสองคน … ไว้ตรงหน้าแล้ว ณ วันนั้น


“ใช่แล้วล่ะ”
“คนนี้แหละ ที่รอคอยมานานแสนนาน”
“คนนี้แหละ ที่เราอยากจะใช้เวลาที่เหลือทั้งหมดของชีวิตกับเค้า”
……..
“คนนี้แหละ คือความสุขของชีวิต”

สุดท้ายการไปเที่ยวครั้งนั้นก็เป็นเพียงฝันตื่นหนึ่งจริงๆ … แต่เป็นฝันที่เมื่อเราตื่นขึ้นมาแล้ว โลกในฝันนั้นกลับกลายมาเป็นโลกจริงๆ ของเราทั้งสองคน โลกที่เรารู้แล้วว่า ชีวิตเรามีความสุขที่สุด เมื่อมีอีกคนอยู่เคียงข้างๆ

ฉากของชีวิตที่กำลังเปลี่ยนไป …. ภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ถูกละลายกลายเป็นแม่น้ำลำธารใส กำแพงที่ถูกทำลายจนมองเห็นทุ่งหญ้าทุ่งดอกไม้สุดลูกหูลูกตา … แสงสว่างลำเล็กๆ ส่องผ่านช่องเล็กๆ ระหว่างเมฆฝน ที่ปกคลุมท้องฟ้าของชีวิตมาเป็นเวลานานแสนนาน … ช่องว่างระหว่างเมฆนั้นเปิดให้เห็นฟ้าสวยที่อยู่เหนือขึ้นไป และรอวันเปิดออกมาให้เห็นดวงอาทิตย์สว่างอยู่กลางฟ้าคราม

ป.ล.: ถ้าต้องการดูภาพที่ถ่ายมา ดูได้บน Flickr ผมนะครับ Korea Trip 05/2010