Blognone Tech Day 3.0

ก็ผ่านไปแล้วนะครับ สำหรับงาน Blognone Tech Day (BTD) 3.0 ซึ่งคราวนี้ผมโดน mk ลากไปเป็นวิทยากรด้วย (ซึ่งทำให้ mk ต้องมาพูดใช้หนี้ที่ศิลปากรวันถัดไป แล้วเราก็คุยกันต่อ)

ผมคงจะไม่เขียนสรุปอะไรว่าแต่ละคนพูดอะไรนะครับ เพราะว่าอันนั้นมีคนทำไว้แล้วเยอะ เช่นที่ sugree’s blog, Pok’s blogger, จ๊ะเอ๋อยากเล่า, ch_a_m_p’s blog ซึ่งจริงๆ ก็คงมีที่อื่นๆ อีก แต่ว่าเอาเป็นว่ามีคนสรุปไว้แล้วก็แล้วกัน ..​ งั้นผมขอเขียนความรู้สึกส่วนตัวจะดีกว่า

  • ได้เจอเพื่อนหลายคนที่นานๆ จะเจอกันที่ เช่น อ.มะนาว, พี่ sugree, bact’ (ที่น่าเสียดาย เหมือนจะอยู่ไม่นาน)
  • อ.มะนาว พาเพื่อนมาแนะนำให้รู้จักอีกคน ซึ่งพอเราเห็นกำลังนั่งอ่านหนังสือ Agile Web Dev with Rails ที่เราเคยเขียนด่าถึงด้วย ก็เลยให้ดูความแข็งแกร่งของหนังสือเล่มนั้นหน่อย ว่ามันเกรียนเทพแค่ไหน … คนที่เคยอ่านลองไปหาหน้าที่บอกวิธีการติดตั้ง Ruby บน Mac ดูนะครับ จะเห็นคนเขียนเกรียนถึงโปรแกรม DAVE (ซึ่งจริงๆ มันก็มีจริงๆ อ่ะนะ แต่ว่าไม่เกี่ยวกับผมนะ) …. แถจริงๆ เพราะว่าคนเขียนหนังสือต้นฉบับเค้าชื่อ Dave Thomas อ่ะนะ มันก็เลยมี prompt ชื่อ dave มาด้วย แบบว่า
    dave> some_command_here ...
    

    นะ เกรียนสุดๆ จริงๆ

  • ได้คุยกันเรื่อง ฮาๆ หลายเรื่องที่ถ้าไปคุยกันข้างนอกก๊วนที่มา (แม้แต่จะไปคุยในภาควิชาคอมพ์ หรือว่าคนทำงาน IT ก็เถอะ) อาจจะมีหน้างงๆ กันเยอะ ไม่ฮา ไม่ขำ เพราะว่ามันอาจจะ geek เกินไป
  • apirak มาบอกหลังไมค์ ว่าตอนที่ผมถาม นี่น่ากลัวโคตรๆ เลย หรือว่าผมมีความสามารถพิเศษในการกดดันชาวบ้านก็ไม่รู้แฮ​ะ ทั้งๆ ที่เราก็คิดว่าเราถามธรรมดานะ
  • น่าเสียดายที่มีเวลาให้ผมพูดน้อยไปหน่อย เลยไม่มีเวลาเล่นเกมสอนทำอาหาร (อะไรเนี่ย ..) ทั้งๆ ที่เรียกน้อง Ford Antitrust ออกไปหน้าเวทีแล้วนะ แต่ว่าเนื่องจากเวลาน้อย + คนฟังยังเขินๆ กันอยู่ด้วย ไม่ค่อยจะเล่นกับเราเท่าไหร่ น้อง Ford เลยออกไปเก้อเลย
  • น่าเสียดาย น่าเสียดาย เพราะว่าเกมนี้จะฮามาก แล้วก็จะเข้าใจเรื่อง short-term memory กับเรื่องการเรียนรู้และการท่องจำขึ้นอีกเยอะมาก ถ้าคิดว่าผมพูดเนี่ย ฮาแล้ว จี้ใจดำแล้ว เกมนี้จะเจ๋งกว่านั้นอีก คราวนี้รบกวนช่วยเล่นนิดนะคร้าบบบบ
  • แต่ว่าไปงานแบบนี้แล้ว บอกตามตรงว่า ใจชื้น เหมือนกับว่างาน Blognone เนี่ย เป็นน้ำหล่อเลี้ยงใจที่มันห่อเหี่ยวมานานของผมได้อย่างไม่น่าเชื่อ
  • เห็นน้องที่ชนะ Imagine Cup เห็น (video) โปรแกรมที่เค้าทำ เห็นการใส่ใจกับทุกรายละเอียด การสร้าง WOW factor การคำนึงถึงผู้ด้อยโอกาสและพยายามประยุกต์เทคโนโลยีมาช่วยได้อย่างเจ๋ง ….. ผมอยากให้น้องๆ กลุ่มนี้หรือว่ากลุ่มอื่นๆ ที่มีความสามารถ มีโอกาสทำอะไรเพื่อสังคมจริงๆ จังๆ เมื่อเรียนจบบ้างจัง แทนที่จะเข้าไปอยู่ในบริษัทใหญ่ๆ โตๆ บางบริษัท เงินเดือนสูงๆ แต่ว่าสังคมไม่ได้อะไร (ถ้าได้ทั้งสองอย่างก็เยี่ยมครับ win-win)
  • เห็นน้องจากกลุ่ม Ubuntu Club ที่ทำให้ผมอ้าปากค้าง … เนี่ยมันเด็ก ม.ต้น นะครับพี่น้อง แหม ตอนที่ผม ม.ต้น ผมยังทำอะไรไม่รู้อยู่เลย เด็กส่วนมากที่ผมเห็นที่ศิลปากร ยังไม่ได้ “สนใจ” อะไรแบบนี้เลย น้องครับ ผมขอบอกว่า น้องเยี่ยมมาก ผมแทบไม่ได้ปรบมือให้ใครด้วยความเต็มใจอย่างยิ่งยวด และรู้สึกชื้นสุดๆ ในใจมานานแล้ว
  • ผมเห็นว่าประเทศนี้ยังมีอนาคตครับ อย่างที่พี่ sugree เขียนไว้ใน blog เรื่องงาน BTD ว่าประเทศไทยมันคือ The Matrix นี่หว่า แล้ว Red Pill มันอยู่ไหน มีแค่ไม่กี่คนที่หลุดพ้นออกจากระบบแล้วกลายเป็นคนกำหนดอะไรบางอย่างในช่วงบางช่วง
  • ผมเชื่อว่ามีเยอะครับ คนที่อยู่ในระบบ แล้ว so dependent on the system และ/หรือ not ready to be unplugged แต่ว่าผมก็เชื่อเช่นกัน ว่าบางคนนะ ที่เค้ารู้สึกว่า there’s something wrong with the system แต่ว่าเค้าบอกไม่ได้ว่าอะไร เค้าบอกไม่ได้ … เราต้องค้นหาเค้า ค้นหาคนเหล่านั้น spend sometime searching The Matrix หาคนที่เริ่มรู้สึกเช่นนั้น ….. พาให้เค้าเห็นโลกอีกด้านหนึ่งของรั้ว เค้าอาจจะหลุดพ้นออกมาก็ได้

สรุปว่า เสียดายครับ ถ้างานนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย (ส่่วนหนึ่งอาจจะเป็น mk จะไปเรียนต่อ) ถ้าครั้งต่อไป ผมอยากให้ไปจัดที่อื่นบ้าง (ซึ่งก็คุยกับ mk ไว้แล้ว) ถ้ายังไงที่ ศิลปากร ตลิ่งชัน อาจจะเป็นอีก option หนึ่ีงก็ได้นะครับ (ผมเสนอไว้ก่อน) อาจจะต้องมีค่าเช่าที่ แต่ว่าก็คงจะจัดการได้ไม่ยากเย็นเท่าไหร่ เผื่อว่าเด็กที่อื่น จะได้มีโอกาสได้เข้ามาฟังและเปิดโลกของตัวเองบ้าง

New Honda Accord 2008

Honda เปิดตัว Accord ใหม่อย่างเป็นทางการแล้ว

2008 Honda Accord unveiled! — Autoblog
2008 Honda Gallery — Autoblog

จริงๆ ผมเพิ่งจะซื้อ รถคันใหม่ เป็นรุ่น 2007 minor change ของ Accord ตัวปัจจุบัน (ไอ้รุ่นที่เค้าว่าบั้นท้ายขัดตา เหมือน Benz โดน Soluna ข่มขืน น่ะแหละ) ได้ไม่นานมานี้ และตอนที่จะซื้อนั้นทั้งเซลล์ทั้งคนที่รู้จัก ต่างก็บอกว่า อีกไม่นาน New Accord จะออกแล้วนะ รอหน่อยจะดีกว่ามั้ย


(ภาพจาก Autoblog)

แต่ว่าความรู้สึกแรกของผม หลังจากที่เห็นภาพแล้วก็คือ ไม่ค่อยจะสวยอย่างที่หวังไว้เท่าไหร่ มีอะไรบางอย่างที่มันขาด/หายไปนะ (ในขณะที่รุ่นที่แล้วมันเกินมาหน่อยตรงท้าย) …. รู้สึกว่า concept มันจะเปลี่ยนไปจากตัวปัจจุบันพอสมควรหรือเปล่า

  • ด้านหน้า ในขณะที่ตัวปัจจุบันเป็นสาวหน้าคม ตาโตคิ้วโก่ง ตัวใหม่นี่จะหน้าค่อนข้างเหลี่ยม ตาตี่เล็ก (ทำไมผมนึกถึงลูกสาวท่านอดีตนายกฯ วะ) รู้สึกว่าความเป็น sport มันหายไปจาก design ค่อนข้างเยอะเหมือนกัน
  • ด้านท้าย ในขณะที่ตัว 2007 minor change นี่จะเป็น Benz + Solution ที่มีไฟหยดน้ำขัดตามากๆ …. เกะกะ ตัวนี้รู้สึกว่าจะละม้ายคล้ายคลึงกับ BMW Series 5 นะ ผมก็ว่าแบบนี้สวยดี เรียบหรู กว่าตัวปัจจุบันเยอะ สรุปว่าชอบบั้นท้ายตัวนี้แฮะ (แต่ว่าจากรูปรุ่นสีดำไม่สวยอ่ะ สีขาวสวยกว่าเยอะ)
  • Interior ไม่ได้ต่างจากตัวปัจจุบันมากเท่าไหร่ นอกจากจะมีจอ built-in (สำหรับ navigator และน่าจะประโยชน์อื่นๆ ด้วย) แล้วก็สาย AUX อ่ะนะ ไม่ต้องเอาไปทำแบบตัวปัจจุบัน เท่าที่ดูก็ค่อนข้างจะ roomy ดีนะ กว้างแล้วก็ simple แต่ว่า elegance ดี ซึ่งก็เป็น concept ของภายใน Accord อยู่แล้ว
  • เท่าที่อ่านจาก spec นะ มันมี horsepower มากขึ้น แล้วก็ตัวรถใหญ่ขึ้น มีพื้นที่ภายในมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องดีเหมือนกัน (แต่ว่าคงจะขับในที่แคบๆ ยากขึ้นนิด)
  • ขาดอะไรไปอีกอย่างหว่า ….​ เออใช่ เรื่องนี้สำคัญเหมือนกัน เพราะว่า Accord ตัวใหม่นี้ ผมรู้สึกว่ากระจกหน้ามันเล็กลงยังไงไม่รู้แฮะ ทั้งๆ ที่อย่างนึงที่ผมชอบมากกับรุ่นปัจจุบันคือ กระจกหน้าที่มันกว้างมาก+กระโปรงหน้าที่ค่อนข้างเตี้ย ทำให้เห็นได้กว้าง
  • ดูไปดูมา เริ่มจะมีความรู้สึกว่ามันคล้ายๆ กับ Camry ตัวปัจจุบันแฮะ รู้สึกว่ามันจะอายุมากขึ้นกว่าตัว 2007 เยอะเลย พยายามให้ดูภูมิฐานมากขึ้นหรือเปล่าก็ไม่รู้

เสียดายนะ ….​ หรือว่าหลังจากที่ผมเห็น New Civic ที่กล้าคิดกล้าคำใหม่ กล้า redesign ฯลฯ แล้วผมจะคาดหวังมากไปกับ Accord 2008 ก็ไม่รู้ เพราะว่า New Civic นี่มัน innovative แล้วก็เป็น radical change มากๆ เรียกได้ว่า อย่าไปบอกเลย ไม่กลัวการเปลี่ยนแปลงหรือความแตกต่าง แต่บอกว่า กล้า “สร้าง” ความแตกต่างและ “สร้าง” การเปลี่ยนแปลงดีกว่า …​ แต่ว่า New Accord ตัวนี้ เหมือนกับพยายามหยิบเอา “สูตรสำเร็จ” จากคนอื่นมาใส่ในรถตัวเอง ทำให้เสียความเป็นตัวเอง เสียเอกลักษณ์หลายๆ อย่างไปเลยด้วยซ้ำ

แต่ว่าเอาไว้เห็นตัวจริงก่อนอาจจะดีกว่าแฮะ

ปล. ลืมไป ว่าตัว Coupe จะดูดีกว่าหน่อยนะ ตัวนั้นจะหน้าคมกว่านิด เฉี่ยวกว่าหน่อย


(ภาพจาก Autoblog)

เรียกว่าเป็นน้องหมวยหน้าเรียวคม ก็คงจะได้ล่ะนะ สวยใช้ได้กว่ากันเยอะเลย

[update 1] เมื่อกี้คุยกับคุณวีร์ (เจ้าของ Honda แห่งหนึ่ง) เห็นตรงกันว่า เห็น New Civic, New CR-V แล้วมาเจอ New Accord นี่ ความรู้สึกคงประมาณเดินๆ ขึ้นเขาอยู่ดีๆ แล้วตกเหว

ซื้อคอมพ์ให้เด็กหัดเขียนโปรแกรม

ตอนนี้เริ่มต้องกลับมาสอนเด็กเขียนโปรแกรมมากขึ้น หลังจากที่ไม่ได้สอน/ติวโปรแกรมมิ่งจริงๆ จังๆ มานาน (ครั้งสุดท้ายนี่ก็ตอนกลับมาใหม่ๆ เลยล่ะ ตอนที่ได้เด็กกลุ่มหนึ่งซึ่งปัจจุบันกลายเป็นผู้ช่วยวิจัยของเราเนี่ยแหละ)

ว่าแล้วก็ไปเดินหาซื้อเครื่อง Desktop ที่มันไม่ต้อง high profile มากเท่าไหร่ มี spec พอที่จะลง Linux ได้ (ไม่ต้องใหม่มากหรอก เพราะว่า distro ใหม่ๆ หลายตัวก็กินเครื่องเอาเรื่องเหมือนกันน่ะแหละ) …. ก็ไปที่ Fortune นะ สรุปว่าได้เครื่องมือสองเก่าของญี่ปุ่น (ที่เค้าโละกันทีละทั้งองค์กร) มา 4 เครื่อง spec เบาะๆ แค่ Pentium 4 1.6, RAM 256, HDD 40 GB มี keyboard, mouse, monitor ให้หมด เครื่องละ 6,500 เอง ถูกมากเลย

สรุปว่าได้เครื่องมาให้เด็กๆ หัดเขียนโปรแกรมกัน 4 เครื่อง ด้วยราคาที่เมื่อไม่กี่ปีมานี้ซื้อไอ้พวกนี้เครื่องเดียวยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

พอได้มา ก็เริ่มลง OS ล่ะ ก็ตอนแรกคิดว่าจะลง Ubuntu Linux แต่ว่าไม่ไหวแฮะ เพราะว่ามีแต่ 7.04 แล้วก็ค่อนข้างจะหน่วงเครื่องด้วย (ยิ่ง spec แค่นั้นด้วย) และอีกอย่างก็มีปัญหาที่ network ที่สถาบันวิจัยที่ทำงานอยู่มันมีแต่ wireless แล้วเวลาอยากจะลงโปรแกรมอะไรก็ต้อง apt-get เอาผ่าน online repository เนี่ยสิเรื่องใหญ่

ว่าแล้วก็เอาแกะเอา Fedora Core 4 มาลง ลง development environment พวก compiler พวก editor อะไรพวกนี้ไปเรียบร้อย ก็พร้อมใช้งานล่ะ การใช้งานก็ smooth มากๆ เลยด้วย จริงๆ เราก็อยากจะลงเครื่องละ OS นะ เช่นอันนึงลง FreeBSD อันนึงลง GNUstep อะไรทำนองนี้ แต่ว่าขี้เกียจอ่ะ

ก็มีเด็กๆ มาหาอยู่บ้างล่ะนะ แต่ว่าเวลาโดนจับให้ทำโปรแกรมเนี่ย น้องๆ พวกนี้ยังห่วยอย่างเหลือเชื่อ ยังพยายามท่อง code กันมากไปนิดนึง … แต่ว่าไม่เป็นไรครับ ค่อยๆ เขียนกันไป เขียนเยอะไว้มันได้เปรียบอยู่แล้ว ถึงจะมีบางช่วงที่จะลอก code ที่คนอื่นเขียนไว้บ้างเพื่อเป็นตัวอย่างและเพื่อให้มือมันชินกับการเขียน code ก็เถอะนะ ไม่เป็นไรๆ ขอให้ได้ประสบการณ์มากขึ้นก็พอล่ะ

อ่อ สำหรับน้องๆ ปีแรกๆ นะครับ อย่ารอและอย่าคิดว่าพอเรียนไปปีสูงแล้วเดี๋ยวจะเก่งขึ้นเองนะ ถ้าคิดแต่ว่าจะรอแบบนั้นมันจะไม่มีทางเก่งขึ้นหรอกครับ ผมก็สอนพี่ๆ คุณในปีสูงๆ ทราบดีว่าส่วนมากทำอะไรได้ดีแค่ไหน และถ้าคุณไม่พยายามเสียแต่วันนี้ มันจะ backfire คุณเองนะครับ เมื่อคุณต้องไปทำ project ไปทำงาน ไปทำอะไรก็แล้วแต่ที่มันต้องใช้พื้นฐาน

จริงๆ ยังอยากจะบ่นนักศึกษาที่ผมไปฟัง present ในวิชา research methodology อีกนะ แต่ว่าเอาไว้ก่อน ไว้ผ่านงาน blognone ก่อนและค่อยว่ากัน ตอนนี้ขอเก็บพลังงานนี้ไว้ก่อน

Upgrade เป็น Ruby 1.8.6 กับปัญหา IRB, Readline

หลังจากใช้ Ruby 1.8.5 มานาน ก็อยากจะลองของไปเล่น 1.8.6 ซึ่งมันก็ออกมาได้ซักพักแล้วล่ะ ซึ่งเราก็ลงตาม step ล่ะนะ ไม่ยากไม่เย็น

  • Download source ของมันมาก่อน อันนี้หาไม่ยาก แล้วก็เอามา untar ตามปกติ
  • configure มันไปซะ ใช้ pthread กับ readline ด้วย แล้วก็เอาไว้ที่ /usr/local ตามปกติ
    ./configure --prefix=/usr/local \ 
    --enable-pthread --with-readline-dir=/usr/local
  • ไม่มีปัญหาอะไร ก็ make แล้วก็ sudo make install ซะ ก็ไม่มีอะไร
  • check version ซะหน่อย
    [rawitat@entropy rawitat]$ ruby -v
    ruby 1.8.6 (2007-03-13 patchlevel 0) [i686-darwin8.10.1]
    
  • น่าจะปกติ แต่ว่าพอเรียก irb ปุ๊บ
    [rawitat@entropy rawitat]$ irb
    dyld: NSLinkModule() error
    dyld: Symbol not found: _rl_clear_signals
      Referenced from: /usr/local/lib/ruby/1.8/i686-darwin8.10.1/readline.bundle
      Expected in: flat namespace
    
    Trace/BPT trap
    [rawitat@entropy rawitat]
    

เฮ้ย อะไรเนี่ย!!!!!

ไม่เป็นไรๆ ไม่ต้อง panic มันต้องมีคนเจอปัญหานี้ก่อนหน้าเราบ้างล่ะน่า ว่าแล้วเราก็ลอง search google ดูหน่อย อืมม มันไม่มีคนเจอปัญหาเดียวกันเป๊ะๆ แฮะ เจอแต่ใกล้เคียงมากๆ เพราะว่าชาวบ้านเค้าเจอ _rl_filename_completion_function กัน แต่ว่าเราดันเจอ _rl_clear_signals แทน

อืมมมๆ ไม่เป็นไรๆ ลองทำตามวิธีแก้ปัญหาของเขาดูก็แล้วกัน

  • วิธีนี้ เคยใช้ได้ผลมาแล้วตอนลง 1.8.5 (แล้วทำไมตอนนั้นไม่ได้ blog ไว้ก็ไม่รู้) ก็คือให้ไป rebuild readline.bundle ใหม่ แล้วก็ copy ไปลงที่ปกติมันเก็บ readline.bundle ไว้ แต่ว่าคราวนี้ ล้มเหลว
  • วิธีนี้ ก็คือวิธีเดียวกัน แต่ว่า verbose หน่อย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผลเป็นไง
  • วิธีนี้ ให้แก้ rbconfig.rb ไปเพิ่ม -lreadline ใน CONFIG[“LIBS”] ก็ลองแล้ว สรุปว่า ล้มเหลว เหมือนกัน

ทำไงดีหว่า อืมมมมม เริ่ม panic นิดหน่อย ผิวปากกลบเกลื่อนๆ

  • เริ่มมั่ว เอา readline 5.1 มาลงใหม่ (ตอนแรกใช้ 5.2 อยู่ แต่ว่าเห็นตาม web มันยังเขียน 5.1 อยู่ เออ ไม่เสียหลายน่า)… ไม่เวิร์ก
  • มั่วต่อไป ลง readline 5.2 อีกทีเด๊ะ …. ไม่ได้อยู่ดี (มันควรจะได้มั้ยล่ะนั่นน่ะ ไอ้บ้า)
  • เฮ้ย …..​ configure, build ruby ใหม่อีกรอบ (สิ้นคิด เมื่อกี้มันไม่ work คราวนี้มันจะ work ได้ไง) ก็ ไม่ได้

เฮ้อ เหนื่อย…..​ ทำไงดีหว่า พอดีเหลือบไปเห็น

 Referenced from: /usr/local/lib/ruby/1.8/i686-darwin8.10.1/readline.bundle

ใน error message ก็เลยลอง cd เข้าไปเล่นดู (อีกที จริงๆ เข้าไปหลายครั้งแล้ว) ก็เห็นว่านอกจาก i686-darwin8.10.1 แล้ว ข้างในนั้นยังมี i686-darwin8.9.1 ด้วย ก็เลยลองเข้าไปดู …… ก็เห็น readline.bundle อยู่ตัวนึง คงเป็นตัวที่เรา build ครั้งก่อนๆ หน้าโน้น (ไม่รู้เมื่อไหร่ ก็ตั้งแต่ darwin 8.9.1 น่ะแหละ ตอนนี้ใช้ darwin 8.10.1 อยู่) ……​

ก็ในเมื่อ rebuild readline.bundle ใหม่ (configure ใหม่แล้วนะ) แล้วก็ replace มันตามวิธีที่ linkๆ ไปให้ใน link ข้างบนแล้วไม่ work ลองบ้านนอกดูเด๊ะ

sudo cp /usr/local/lib/ruby/1.8/i686-darwin8.9.1/readline.bundle \
   /usr/local/lib/ruby/1.8/i686-darwin8.10.1/readline.bundle

……
……. แล้ว

[rawitat@entropy rawitat]$ irb
irb(main):001:0> 

ดันได้ซะงั้นอ่ะ ………. เนี่ย ถ้าไม่เคย build ไว้เลย ไม่รู้จะทำไมนะเนี่ย ไม่รู้มันไปติดตรงไหนแล้ว (ตอน configure ที่จะ rebuild readline.bundle มันก็ check เจอนะ ไอ้ _rl_clear_signals เนี่ย …​ไม่รู้ว่าทำไมเวลาจริงมัน ref ไม่ได้)

เอวัง

การ present งาน (paper) ชาวบ้าน

มีอย่างนึงที่การศึกษาบ้านเราชอบ(ให้)ทำกัน คือ การหา paper งานวิจัยใหม่ๆ ที่ได้รับการตีิพิมพ์ใน journal หรือว่า proceeding ของ conference ดังๆ แล้วเอามา present ให้คนอื่นฟัง ถ้าเป็นกิจกรรมเสริมหลักสูตรหรือว่างานวิจัย ก็มักจะเรียกกันว่า Journal Club แต่ว่าก็มักมีในวิชาทำนอง Research Methodology เหมือนกัน ซึ่งโดยมากนักศึกษาก็จะหา paper ที่น่าจะเกี่ยวข้องกับงานที่ตัวเองต้องทำเป็น thesis/project จบ

จากประสบการณ์ในการนั่งฟังมาหลายปี หลายครั้ง ก็มีข้อคิดฝากถึงน้องๆ ทุกคนดังนี้

  • การ present paper งานคนอื่น ไม่ใช่การมานั่งแปล paper ให้ฟังนะครับ การแปลคำๆ หนึ่งเป็นภาษาไทยได้ ไม่ได้แปลว่าเรา “เข้าใจ” ในคำๆ นั้น เช่นคำว่า evolution แปลว่า วิวัฒนาการ แต่ว่า วิวัฒนาการ มันหมายถึงอะไร? เช่นคำว่า parallel processing แปลว่าการประมวลผลแบบขนาน แต่ว่าแล้วมันหมายความว่ายังไงล่ะ? ตรงนี้หลายคนตกหล่นไปมากๆ ไม่ได้ทำความเข้าใจกับสิ่งที่ตัวเองอ่านให้ดีๆ
  • หลายคนพออ่านไปเจอตรงที่ยาก อ่านไม่เข้าใจ ซึ่งส่วนมากจะเป็นส่วนที่เป็น mathematical description/model ซึ่งไอ้ตรงนี้แหละ มันมักจะเป็น “เนื้อ” ของงานจริงๆ เพราะว่ามันมักจะอธิบายรายละเอียดของการทำงาน assumption และอื่นๆ อีกมากมาย ที่ทำให้สิ่งที่เค้าเขียนใน paper มันทำงานได้ พอข้ามตรงนี้ไป ก็เลยไม่รู้เรื่องจริงๆ แล้วก็มาทำเนียนๆ ข้ามๆ ไปในตอน present ซึ่งจริงๆ ไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอกนะ
  • ไม่มีการอ่าน paper ในเชิง critique นั่นคือ วิเคราะห์ความมีเหตุมีผล ความเหมาะสมของขั้นตอนต่างๆ ที่ผู้วิจัยเขาได้อธิบายมา และความเหมาะสมในการนำมาประยุกต์ต่อไป หลายอย่างที่เขียนมาใน paper หลายฉบับ มันก็ไม่ได้ make sense ในทุก context หรอกนะ หลายวิธีการมัน place assumption บางอย่างที่มัน specific มากกับลักษณะข้อมูลบางอย่าง หรือว่าบางอย่างก็เหมาเอาเลยโดยไร้เหตุผลก็มี แบบนี้ถ้าเราอ่านและศึกษาโดยไม่มีสายตาของการ critique แล้วเนี่ย มันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
  • แทบทุกคน พอถามอะไรที่มันเป็นพื้น เป็นฐาน ของแนวคิดของวิธีการที่ paper เขียนถึง กลับอ้างง่ายๆ ว่า “มันไม่มีใน paper” หรือว่า “paper เค้าไม่ได้เขียนถึง” ทั้งๆ ที่จริงๆ ก็มี reference ถึงไว้เรียบร้อยแล้ว หรือว่าเป็นพื้นฐานที่หาอ่านที่ไหนก็ได้ (โดยมากมักจะเป็นตำราระดับ undergrad text ทั่วไป) รบกวนทำการบ้านซักนิดนึงนะ
  • เวลาที่โดนถามอะไรนะ อย่าใช้ความ “นิ่ง” ในการเอาตัวรอด การพยายามนิ่ง ไม่ตอบไปเรื่อยๆ ignore ไปเรื่อยๆ รอจนกว่าคนจะหมดความอดทนหรือว่ารอให้เวลาหมดแล้วจะผ่านไปเอง เพื่อเอาตัวรอดไปเป็นครั้งๆ ไม่เคยช่วยใครในระยะยาว บางทีการเดาคำตอบ หรือว่าการพยายามคิด และโยนคำตอบที่มันไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่าหรอก แต่ว่าผ่านการคิดอย่างมีเหตุผลมาแล้ว เนี่ย มันดีกว่าตั้งเยอะ เดี๋ยวพวกอาจารย์เค้าก็ช่วยตบให้มันเข้ารูปเข้ารอยเองน่ะแหละ ยิ่ง “นิ่ง” ยิ่งพยายามไม่ตอบ ยิ่งแย่นะน้องนะ
  • Slide ที่เต็มไปด้วย text แล้วมายืนอ่านให้ฟัง (โดยเฉพาะพวกที่เสียง monotone) แล้วก็พยายามทำให้มันน่ารำคาญมากขึ้นด้วยลูกเล่นสารพัด หรือว่า unnecessary graphics/animation/transition เนี่ย รบกวนช่วยเลิกซะทีเถอะนะ
  • ทิ้งท้ายอีกครั้งเถอะ ช่วยๆ ดู list ใน reference ด้วย อันไหนท่าทางสำคัญช่วยไปหามาอ่านด้วยจะดีมากเลยนะ น่าจะช่วยได้เยอะ แล้วก็อย่าเลี่ยงส่วนที่ยากของ paper เลยนะ ขอร้องเถอะ
  • ที่สำคัญ อย่ามั่ว

ด้วยความปรารถนาดีถึงทุกคนที่ต้อง present งานชาวบ้าน

ฝนตก กิ่งไม้หัก รถบุบ

เรื่องมันเกิดมาพักหนึ่งแล้วล่ะ แต่ว่าเพิ่งจะมีโอกาสเขียนถึง

วันนึงเราจอดรถตรงที่จอดประจำที่ข้างสถาบันวิจัยและพัฒนาในมหาวิทยาลัย (ที่ตั้ง lab + office ปัจจุบัน) พอดีโรงรถมันเต็ม ก็เลยต้องจอดนอกโรงรถ (== ไม่มีหลังคา) ซึ่งปกติก็จอดประจำนะ

แต่ว่าวันนั้นฝนฟ้าคงจะแรงมั้ง ฝนตกหนักค่อนข้างมาก เรานั่งอยู่ใน lab ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรหรอกนะ แต่ว่าพอออกมาดูรถ ปรากฏว่ามีกิ่งไม้เบ้อเริ่มพาดอยู่ที่ฝั่งซ้ายของรถตรงประตูหลัง …​ กิ่งใหญ่นะ ยาวประมาณ 2 เมตรกว่าได้ เลยรีบรื้อกิ่งไม้ออกดูสภาพรถ …..

เป็นรอยบุบชัดเจนมากสามรอยติดๆ กัน (เหมือนกับโดนใส่สนับมือต่อย) ตรงเหนือฝาปิดถังน้ำมัน เซ็งสุดๆ เลย นี่เป็นครั้งแรกที่โดนกิ่งไม้หล่นใส่แบบนี้ แต่ว่าก็ยังดีนะ เพราะว่าถ้ามันหล่นใส่กลางหลังคานี่ ท่าทางจะหนักกว่านี้ อันนี้คงจะหล่นมาข้างๆ รถ แล้วก็ล้มลงมาฟาดใส่ด้านข้างมากกว่า ถ้าหล่นมาตรงๆ กลางหลังคานี่ ยุบ ยวบ แน่ๆ

ฟาดเคราะห์น่า ฟาดเคราะห์ แต่ว่าหาเวลาทำบุญสักทีก็คงจะดีเหมือนกันนะเนี่ย

Man Utd 0-0 Reading

  • เปิดฤดูกาลใหม่ เปิดบ้านเสมอซะงั้นน่ะ เท่าที่ดูนะ สรุปได้เลยว่า เล่นดี ไม่มีดวง
  • จังหวะสุดท้ายหาความเด็ดขาดไม่ได้ ทั้งการทำประตูและการส่งเข้าไปในจังหวะสุดท้าย
  • ขึงพืดเค้าได้เกือบหมด เล่นในแดนคู่ต่อสู้เสียเกือบหมด แต่ว่าทำไม่ได้ เขกหัวตัวเองไปซะเถอะ
  • รูนี่ย์เจ็บ ท่าจะยาวด้วย เอาล่ะสิ คราวนี้จะเป็นยังไงล่ะ ขายกองหน้าออกไปกันดีนัก
  • ตอนท้ายเกมที่ Reading บุกกลับมาได้บ้าง นี่เสียวจะโดนยังไงก็ไม่รู้
  • เกมลื่นไหลดีมากๆ แต่ว่าอย่างที่บอกน่ะแหละ การส่งจังหวะสุดท้ายเพื่อเข้าทำ ขาดๆ เกินๆ และการทำประตูเมื่อได้โอกาสไม่เด็ดขาดพอ
  • เอฟรา เล่นกองกลางได้ OK เลยนะ แต่ว่าจังหวะยิงยังไม่ค่อยจะกล้าหรือว่าหวังพึ่งได้มาก
  • โรนัลโด้ แทบจะกลายเป็นที่พึ่งเดียวของทีมอีกล่ะ โดยเฉพาะหลังจากที่รูนี่ย์เจ็บต้องออกไปนะ จริงๆ เค้าน่าจะทำประตูได้นะ
  • นานี่ ยังดิบอยู่ ยังต้องดูยาวๆ แต่ว่าเท่าที่ดู หวือหวาดีเอาเรื่อง ประสิทธิภาพยังค่อนข้างต่ำอยู่ แต่ว่าอย่าเพิ่งตัดสินเขาเลย บอลนัดเดียว ให้เด็กมันมั่นกว่านี้หน่อย
  • โอเช เทพจับฉ่าย วันนี้เล่นหน้าซะด้วย เกือบทำได้ซะด้วย สรุปป๋าอยากจะให้เอาดีด้านไหนแน่หว่า เดี๋ยวก็สับสนตัวเองตายหรอก ยังมีตำแหน่งไหนบ้างเนี่ยที่ยังไม่โดนจับเล่น
  • เฟลชเชอร์ มีเวลาน้อยมากในการเล่น แต่ว่ากล้าดีนะ มีสีสันมากขึ้นเยอะแบบไม่น่าเชื่อ ข้อดีของหมอนี่ในช่วงหลังๆ คือทุ่ม อยู่แล้ว แต่ว่านั่นแหละ ถ้าข้อดีคือทุ่มเท แล้วทำไมทีสมิท ไม่เก็บไว้ฟะ
  • ชักคิดถึงสมิทกับรอซซี่ซะแล้วสิ อย่าให้เตเวสเจ็บอีกคนเลยให้ตายเถอะ เพราะว่าไม่งั้นได้เห็นโอเชคู่โด้เป็นกองหน้านี่ดูไม่ค่อยจะจืดเท่าไหร่หรอกนะ ถึงโด้มันจะยิงได้เยอะก็เถอะ
  • ตอนท้ายเกมนี่ สยองจริงๆ
  • ไม่วิเคราะห์รูปเกมนะ มันเหนือกว่าเยอะจนไม่รู้จะเหนือยังไงจริงๆ แต่ว่าไม่มีดวง + ทำไม่ได้เอง

Lecture ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต

โดนเชิญมาพูดแบบกระชั้่นมาก ฉุกละหุกมาก แต่ว่าก็ทำให้เรามีโอกาสได้ทำ 2 อย่าง คือ

  • มาภูเก็ต ถึงจะไม่มีเวลาเที่ยวก็เถอะ ได้เห็นบ้านเมืองบ้าง ได้เห็นโน่นนี่บ้าง เห็นการ recover เมืองจากภาพที่เราเคยเห็นจาก Tsunami tragedy แล้วก็ดูความเป็นไปได้ที่จะมาเที่ยวในอนาคต
  • ได้บินสายการบิน low-cost ภายในประเทศครั้งแรก อยากรู้มานานแล้วว่ามันเป็นยังไง

สรุปว่า อืมมม บ้านเมืองเขาสวยดีนะ แถวหาดป่าตองถึงจะแออัดยัดเยียดไปหน่อย แต่ว่าก็ยังดีกว่าพัทยาเยอะ ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า แต่ว่่าอย่างน้อยก็ยังสะอาดกว่าน่ะแหละ ส่วนแถวมหาวิทยาลัยราชภัฏ นี่ยังกะเป็นคนละโลกกันเลย แถวนั้นเงียบและมืดมากพอควรเลย

ส่วนเรื่องที่ถูกเชิญมาพูดน่ะ พอดีเค้าให้รายละเอียดมาค่อนข้างน้อย หัวข้อมีแค่ “Macintosh” เท่านั้นเอง เราเลยต้องเล่นเกมเดาใจว่าเค้าอยากให้เราพูดเรื่องอะไร สรุปก็เลยพูดหัวข้อที่ว่า “Me, My work, My life, My Mac” ที่เป็นมุมมองของผม ในฐานะ Academic lecturer, Research scientist, และ Software developer ที่บังเอิญ พอดีเป็นผู้ใช้ Mac

รู้สึกว่าเด็กๆ ค่อนข้างจะชอบกันนะ ฮากันตรึม พวกอาจารย์เค้าก็ชอบกันนะ ถามกันหลายคน ว่าถ้าเราพูดเรื่องวิชาการซีเรียสๆ เนี่ย จะสนุกแบบนี้ได้หรือเปล่า อืมมม ก็คงต้องลองเชิญผมมาพูดเรื่องงานวิจัยล่ะนะ ไม่งั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน

เท่าที่คุยกับอาจารย์เค้า รู้สึกว่าจะมีอาจารย์คนหนึ่งจบมาจาก MIT เสียด้วยสิ เห็นบอกว่าทำเรื่องเอา remote sensing ไปตรวจวัดค่าต่างๆ ในอากาศ เพื่อเอามาพยากรณ์อากาศ และได้ model ที่แม่นมาก ชักอยากจะรู้เหมือนกันว่าเค้าใช้ model อะไร เพราะว่าเราสนใจเรื่อง Mathematical models ของเรื่องพวกนี้มานานแล้ว และ Weather forecasting นี่ถือเป็น chaotic system ตัวหนึ่งที่น่าสนใจและ classic มากๆ ด้วย

สงสัยคงต้อง e-mail ไปคุยด้วยแฮะ อ่อ แล้วใครอยากจะเชิญผมไปพูด ติดต่อมาได้นะแต่ว่าพักหลังๆ อาจจะยุ่งนิดหน่อย

คณิตศาสตร์มัธยม

ก่อนอื่นเลย คงต้องเกริ่นก่อนว่าตอนนี้ที่กลุ่มวิจัยของผม (SIGMA Research Lab) มีการจัด seminar ทุกเย็นวันศุกร์ ใครสนใจเชิญด้วยความเต็มใจ แต่ว่าต้องมาที่ ม. ศิลปากร ทับแก้ว นะ โดยหลักการก็ให้พวกนักศึกษา+ตัวเองด้วย อ่าน paper/หนังสือ/บทความ/web แล้วก็เอามาวิเคราะห์ให้ฟังกันถ้วนๆ หน้า แล้วก็มี work progress สำหรับงานวิจัย/โปรเจคต่างๆ ที่ดำเนินอยู่

ทีนี้ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาเนี่ย มีเรื่องที่โดยส่วนตัวแล้วไม่ค่อยจะพอใจเท่าไหร่นะ คือพวกน้องๆ ส่วนมากเวลาอ่านหนังสือ อ่าน paper แล้วเจออะไรที่เป็น math ก็จะ “เลี่ยง” ด้วยการพูดแค่ว่า “สำหรับเรื่องนี้มีสูตรดังนี้” แล้วก็ผ่านไป พอเวลาถามรายละเอียดในสูตรที่ว่านั่น ก็ไม่เข้าใจ ตอบไม่ได้ เราก็ไม่ได้ถามอะไรมากมายล่ะนะ ก็แค่ถามตรงๆ ในสมการคณิตศาสตร์ หรือว่าโมเดลทางคณิตศาสตร์ทั้งหลายนั่นน่ะแหละ ว่ามันอธิบายอะไร มันพูดถึงอะไร

ไอ้ที่ทำให้ฟิวส์ขาด ก็คือ เราถามเรื่องเกี่ยวกับ ความสัมพันธ์ (Relation) และฟังค์ชัน (Function) ว่ามันรับ parameter อย่างไรและ return ค่ายังไง เขียนออกมาเป็นคณิตศาสตร์ได้หรือไม่ input ถ้ามันมีหลายๆ ตัว มันจะต้องอยู่ในรูปไหน มันจะ take มาจาก space ที่มีคุณสมบัติยังไง

พูดง่ายๆ ผมต้องการ “ผลคูณ cartesian” เช่น F: R x N -> N หรือว่า G: R x R -> R หรือว่าแม้แต่ H: A x B x C -> D ถ้าเขียนโปรแกรมกันเป็นก็คงจะทำนองว่า N F(R r, N n) แล้วก็ R G(R r1, R r2) ตามลำดับละนะ

ที่ shock เลยก็คือ เฮ้ย ทำไมมัน ไม่มีใครรู้จักผลคูณคาร์ทีเชียนวะ ผมจำได้ว่าสมัยผมเรียน มันอยู่ใน ม. 4 เทอม 1 เลยนะ ไอ้เรื่องพวกนี้ แล้วก็ไม่ใช่แค่นี้นะ ตั้งแต่ผมมาสอนที่นี่ ผมต้องทวนคณิตศาสตร์ระดับมัธยมให้ “นักศึกษาปริญญาตรี” ปี 3 ปี 4 ฟังกันบ่อยมาก แล้วพวกก็ชอบบอกว่า ผมถามยาก ถามลึก ถามเรื่อง advanced … แหม ถามว่า Logarithm คืออะไร หรือว่ามันสัมพันธ์กับ Exponential ตรงไหน เนี่ย มันยากมากเลยหรือยังไง

อ่อ ไม่พอ ยังมีน้อง ป.โท คนหนึ่งที่มา present ปาวๆ และพูดถึง Mixed Integer Nonlinear Programming แล้วก็ตอบ/อธิบายไม่ได้ว่า Linear Programming คืออะไร (สมัยผมเรียน มันอยู่ ม. 5 นะ ถ้าจำไม่ผิด) ซึ่งมันง่ายกว่า Nonlinear เยอะ แต่ว่าก็แนวๆ เดียวกัน (concept แบบหยาบๆ นะ)

เรื่องนั้นช่างมัน ผมก็เลยควักเงิน 2 พัน ให้นักศึกษาใน lab “ไปซื้อหนังสือเรียนคณิตศาสตร์ หลักสูตรปัจจุบัน ตั้งแต่ ม. 1-6 มาทุกเล่ม” แล้วก็ภายใน “สิ้นปี” ทุกคนใน lab ต้องทำข้อสอบ entrance ให้ได้เกิน 50 คะแนน! (โหดมาก…)

วันนี้มาถึง lab เห็นหนังสือพวกนี้กองอยู่ เลยเอามานั่งอ่าน … อ่านแล้วตกใจมาก

คณิตศาสตร์ ม. 1 มีพูดถึง Palindrome มีพูดถึง Fibonacci มีพูดถึงการหาจำนวนเฉพาะ (Prime number) ด้วยวิธีการ Sieve of Eratosthenes ม. 2 มีการเรียนเรื่อง Golden Ratio …. พอ ม. ปลายก็มีเรียนเรื่อง Graph Theory

ผมอยากจะบอกว่า ใจหาย นะ และรู้สึกสองจิตสองใจมาก ความรู้สึกตีกันอย่างบอกไม่ถูก ขอแยกประเด็นละกัน

  • + หนังสือระดับมัธยมต้น ทำได้ดีมากๆ เน้นการ “คำนวณ” ที่ “น้อยลง” เยอะ เพราะว่าปัจจุบันสิ่งที่ผมเห็นเกี่ยวกับความเข้าใจของคนทั่วไปคือ มีมุมมองที่ค่อนข้างผิด ว่า คณิตศาสตร์เป็นวิชาคำนวณ ว่าด้วยการคิดเลข ฯลฯ อะไรทำนองนั้น แต่ว่าไม่ค่อยจะคิดว่ามันเป็นมุมมองอีกมุมหนึ่ง เป็นภาษาอีกภาษาหนึ่ง ที่เอาไว้พูดถึงสิ่งต่างๆ อะไรก็ได้ ทั้งรอบตัวที่เป็นจริง ทั้งในจินตนาการ ตลอดจนความสัมพันธ์ของสิ่งเหล่านั้น หนังสือระดับ ม. ต้นนี่ เอาคณิตศาสตร์ออกมาสู่โลกจริงๆ ในฐานะสิ่งใกล้ตัวได้ดีมากเลย อันนี้ยกให้สองนิ้ว
  • แต่ว่าปัญหาคือ คนสอนจะสอนยากขึ้นหรือเปล่า มีคนที่ “เก่งพอ” จะสอนสิ่งที่เป็น abstract มากๆ อย่างคณิตศาสตร์ ให้เด็กเข้าใจว่ามันคืออะไรได้สักกี่คนเชียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคนสอน และการวัดผลของบ้านเรา ยังคงเน้นไปที่การท่องสูตรมาแทนตัวเลข คำนวณหาผลลัพธ์ออกมาแต่เพียงอย่างเดียว และคนสอนเคยแต่เรียนกันมาด้วยวิธีนี้เสียเป็นส่วนมาก
  • และถ้าเป็นอย่างนั้น มันจะเหมือนกับยิ่งยัดเยียดความรู้พวกนี้ให้เด็กเร็วเกินไป โดยปราศจากความเข้าใจที่แท้จริง หรือเปล่า น่าเสียดายแทนเด็กๆ ที่ได้เรียนเรื่องดีๆ มากมาย เพียงเพื่อที่จะลืมมัน สอบผ่านไปแล้วก็ wipe out memory ออกไปเสียแล้ว (เพราะว่าผมถาม นศ. ปีสูงๆ ถึงวิชาปีต่ำๆ ก็ไม่มีใครรู้เรื่อง ถามความรู้ ม.ต้น ม.ปลาย ก็ตายไปกับ cell สมองหมดแล้ว)
  • + ยังไงก็แล้วแต่ ผมก็ยังมีความรู้สึกว่า เมืองไทยเจริญขึ้นเยอะ นะ …. ถ้าเราสร้างความเข้าใจว่าเรียนไปทำไม ให้มันดีกว่านี้ ไม่ใช่เพื่อสอบผ่านไปยังระดับถัดไป ไม่ใช่เพื่อเข้ามหาวิทยาลัย ไม่ใช่เพื่อ ฯลฯ หลายอย่างที่ทำให้สุดท้ายเราก็มานั่งบอกตัวเองว่า “เรียนไปก็ไม่ได้ใช้” น้องๆ ที่เรียนเรื่องพวกนี้จะรู้บ้างหรือเปล่านะ ว่าสิ่งที่อยู่ในหนังสือของพวกเค้าเนี่ย ประโยชน์มันมากมายมหาศาลขนาดไหน ในการนำไปใช้จริงในโลกปัจจุบัน และเป็นต้นทุนทางปัญญาในการนำไปต่อยอด หรือว่าอย่างน้อยที่สุดก็เป็นสิ่งที่ทำให้เค้าแตกต่างจากคนอื่นในการเรียนระดับสูง มี head-start มากมาย

ผมคงจะขอใช้เวลาอ่านและย่อยหนังสือเรียนระดับ ม. ต้น+ปลาย ที่เพิ่งจะให้เด็กๆ ซื้อมาอีกสักวัน-สองวันล่ะครับ แต่ว่าเห็นแล้วค่อนข้างจะปลื้มพอสมควร ก็หวังว่าพอน้องๆ ใน lab และบรรดา advisee ของผมทั้งหลาย พอได้อ่านหนังสือพวกนี้แล้ว คงจะมาอ่านหนังสือในตู้หนังสือผม (ที่เป็นคณิตศาสตร์ซะเยอะ หรือว่าถึงจะเป็นหนังสืออื่น เช่น Economics, Biology, Computing Science ของผมมันก็มี model ทางคณิตศาสตร์และภาษาคณิตศาสตร์เต็มพรืดอยู่ดี) ได้มากขึ้นนะ …

>> Macworld: News: Microsoft delays release of Office 2008 for Mac

Macworld: News: Microsoft delays release of Office 2008 for Mac:

เรื่องใหญ่แฮะ จะว่าไป MS-Office เป็น software ตัวหนึ่งที่ค่อนข้างสำคัญเอาเรื่องสำหรับแทบทุกวงการ (ยิ่งราชการหรือว่่าพวกที่ต้องทำงานเกี่ยวกับราชการนี่ ไม่มี Word นะ ถึงตาย) ….. ตอนนี้หลายๆ คนก็ยังคงใช้ MS-Office 2004 สำหรับ Mac อยู่ล่ะนะ แต่ว่ามันยังเป็น PPC binary ที่ต้องทำงานบน Rosetta (PPC emulator) อยู่ ถึงมันจะทำงานได้ประมาณว่า “OK” ก็เถอะ เพราะว่าส่วนหนึ่งเครื่อง Intel-Mac มันค่อนข้างจะเร็วกว่า PPC-Mac พอสมควร (หลายเท่าตัวอยู่) แล้วก็ Office มันไม่ใช่งาน/software ที่ต้องการกำลังการประมวลผลสูงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ว่ายังไงก็เถอะ ถ้ามี Intel/Universal Binary ก็ดีกว่าเยอะ (ลองถามคนที่ใช้ Adobe CS หรือว่า software อื่นๆ หลายตัวดูสิ ว่า Universal Binary ออกมาแล้ว smooth ขึ้นแค่ไหน)

จะว่าไป ทุกวันนี้ถ้าผมจะใช้ Office นี่นะ boot Windows ใน Parallels แล้วก็ใช้ Office ยังมีความรู้สึกว่ามันทำงานได้เร็วกว่า smooth กว่าทำงานกับ Office 2004 ผ่าน Rosetta เลย ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า ไว้วันหลัง (อีกล่ะ สัญญาอีกล่ะ) จะลองนั่งทำ benchmark การเปิดไฟล์ การคำนวณใน Excel การฯลฯ แข่งกันระหว่างสองตัวนี้เล่นดู

สำหรับผู้ใช้ Intel-Mac และต้องใช้ Office และนั่งร้องเพลงรอ Universal Binary อยู่ ก็คงต้องนั่งร้องเพลงรอกันต่อไป

ปล. อีกหนึ่งข่าวที่ผมคงจะตกไปนาน เราคงไม่ได้เห็น Roz Ho บนเวทีในงานประกาศข่าวของ Apple อีกแล้วล่ะ เพราะว่าเจ๊แกย้ายแผนกจาก Mac BU (หลังจากทำงานมา 7 ปี) ไปอยู่ Entertainment เสียแล้ว โดยที่ Craig Eisler มาเป็น GM ของ Mac BU แทน

ปล. 2 ในท้ายข่าวจากข้างบนมีการโม้ว่า

Office 2008 for Mac will share some technologies with its Windows counterpart, Office 2007, making for seamless compatibility between the different versions, according to Microsoft.

แหม Seamless compatibility นี่เป็นสิ่งสุดท้ายบนโลกที่ผมจะเชื่อจาก Microsoft