review Apple Keyboard ใหม่

ทั้งๆ ที่ผมเป็นคนใช้ laptop เป็นคอมพิวเตอร์ตัวเดียว ไม่มี desktop ใช้ แต่ว่าเวลาทำงานกับโต๊ะก็จะต่อจอนอก (ยังๆ ผมยังไม่มีงบไปซื้อ Cinema Display หรอกนะ ถึงจะอยากได้ก็เถอะ ตอนนี้ใช้ Acer AL2216W อยู่) ต่อ keyboard กับ mouse แล้วก็ยกเครื่อง laptop มาตั้งบนแท่นอะไรซักอย่างให้มันอยู่ระดับสายตา … และเมื่อสักพักแล้วล่ะ ผมก็ซื้อ Apple Keyboard ตัวใหม่ (แบบมีสาย ไม่ค่อยชอบแบบ Wireless ตัวใหม่เท่าไหร่)



หลังจากใช้งานมันทุกวันมาซักพัก (จนปุ่มน่าจะเลิกแข็งเพราะว่าเป็นของใหม่แล้ว) ก็มีข้อสรุปดังนี้

  • มันค่อนข้างที่จะแบนเกือบราบลงไปกับโต๊ะจริงๆ เรียกได้ว่าแทบไม่มีอะไรยกขึ้นมาเลย แต่ว่าเชื่อไหม ว่าองศาที่มันเอียงขึ้นมาค่อนข้างจะพอเหมาะกับการพิมพ์แบบพรมนิ้วบน keyboard นะ และผมถือว่านี่เป็นข้อดีในการออกแบบ (ส่วนตัว) เพราะว่าคนทำ keyboard ส่วนมากจะออกแบบให้มีขาตั้งเล็กๆ ที่จะต้องจับตั้งเอง ทำให้หลายคนไม่รู้ว่าจะต้องทำแบบนั้นถึงจะพิมพ์ถูกสุขลักษณะ(กว่า)
  • เนื่องจากความเล็กและบางของมัน มันก็เลย low profile มากๆ บนโต๊ะ จะ slide เก็บไว้ที่ไหน หรือว่ายกไปวางพิงไว้ที่ไหน ไม่ต้องห่วงเรื่องเกะกะ
  • Key เป็นปุ่มแบบหมากฝรั่ง (ที่อาจจะเริ่มฮิต วันก่อนไปเดิน PowerBuy เห็น Sony Vaio รุ่นใหม่ๆ เป็นปุ่มแบบนี้เพียบ) โดยส่วนตัวแล้วเทียบกับ Apple Keyboard ตัวเก่า (ที่ก็ยังอยู่ใน lab แต่ว่าไปต่อกับเครื่องอื่น) คิดว่าดีกว่าเยอะ เพราะว่ามันสะสมฝุ่นน้อยกว่า ตัวเก่านี่มีร่องให้ฝุ่นและสิ่งสกปรกต่างๆ เข้าไปได้เยอะมาก และดันทำใสอีก ก็เลยยิ่งเห็นชัด ถอดทำความสะอาดยาก อันนี้ให้สองดาวเลย
  • แต่ว่านะ ผมก็ยังชอบปุ่ม สี และสัมผัสแบบ PowerBook อยู่ดี เครื่อง PB17″ ที่ตอนนี้ให้ลูกศิษย์ใช้อยู่เนี่ย ชอบมากเลย Keyboard เครื่องนั้น สำหรับ MacBook Pro ที่ใช้อยู่ตอนนี้ รู้สึกว่าแข็งไปนิด
  • แม้ว่ามันจะเป็นแบบเดียวกับ Keyboard ของ MacBook แต่ว่าความรู้สึกส่วนตัวของผมคือ มันแข็งกว่าเยอะเหมือนกัน หรือว่าผมยังใช้มันไม่เยอะพอก็ไม่รู้ เลยยังไม่อ่อนเท่าไหร่ (แต่ว่าเราก็กดมันค่อนข้างจะเยอะแล้วนะ หรือว่าผมยังไม่รุนแรงกับมันพอให้มันอ่อนหว่า :-P)
  • ปุ่น plastic สีขาว บน aluminum สีเงิน นี่ไม่ค่อยจะเข้าเท่าไหร่เลยแฮะ แต่ว่ามันก็ยังทำให้ Mighty Mouse ดูแปลกปลอมน้อยลงนะ (อันนี้เป็น comment จากคุณวีร์ ที่ทำ dualGeek ด้วยกัน)
  • ไม่รู้จะเป็นกับทุกตัวหรือเปล่า แต่ว่าตัวที่ผมมีนี่ caps lock ค่อนข้างที่จะแข็งและบางทีกดลงยากกว่าปุ่มอื่น เรียกได้ว่าต้องตั้งใจกด ไม่ใช่ลากนิ้่วผ่านๆ หรือว่าสัมผัสเฉยๆ แล้วมันจะลงเหมือนกับ MacBook/MBP ซึ่งอาจจะดีถ้ามองว่ามันช่วยให้กดพลาดยากขึ้น เพราวะ่าปกติไม่น่าจะมีคนใช้อยู่แล้ว แต่วาผมใช้มันเป็นปุ่มเปลี่ยนภาษาแบบเร็วๆ เนี่ยสิ​ …. (สำหรับคนที่ไม่ทราบนะครับ ใน OS X เราสามารถเปลี่ยนภาษาแบบเร็วๆ ได้ โดยการเลือก input mode เป็นภาษาไทยไว้ แล้วเวลาอยากจะพิมพ์ภาษาอังกฤษแทรกๆ เข้าไปในข้อความภาษาไทยอย่างเร็วๆ โดยไม่อยากจะเปลี่ยนภาษา เพราะว่ามันต้องกด  cmd+space ล่ะก็ ให้กด caps lock ครับ)
  • แต่ว่าผมพิมพ์กับมันค่อนข้างที่จะเร็วกว่า Apple Keyboard ตัวเก่านะ ไม่รู้ว่าอุปทานหรือเปล่า ยังไงอาจจะต้องลองวัดกันดู
  • ตำแหน่งของ fn key มันแปลกๆ นะ ถ้าใช้คีย์บอร์ดของเครื่อง Apple laptop มาซักพักอาจจะงง ว่ามันอยู่ตรงไหน

สรุปว่าก็ชอบแหละครับ ถือว่าเป็น improvement จากตัวเก่าอย่างเห็นได้ค่อนข้างชัดในเรื่องของการออกแบบ ให้ใช้พื้นที่น้อยลงและเก็บออกไปจากพื้นที่ทำงานง่ายขึ้น รูปลักษณ์ก็สวยดีแล้วก็ low-profile มากขึ้น แต่ว่าก็มาเสียคะแนนนิดหน่อยในเรื่องความแข็งของปุ่มที่อาจจะมากไปนิด แต่ว่าก็ไม่ถึงกับมากจนน่าเกลียดอะไร ยังพอที่จะนั่งพิมพ์แบบพริ้วๆ เบาๆ ได้บ้าง แต่ว่าพอถึงเวลาจะเปลี่ยนภาษาเนี่ย อาจจะเหนื่อยนิดหน่อย เพราะว่าอาจจะต้องกดหลายทีนิดนึง อีกอย่างนึงนะ มันค่อนข้างที่จะแบนราบกับโต๊ะจริงๆ ดังนั้นมืออาจจะกดกับพื้นโต๊ะมากขึ้นนะ ถ้าใครชอบกดมือระวังจะไม่ค่อยดี อีกอย่างถ้าใครชอบเอาอะไรมารองที่ palm อาจจะลำบากนิดนะ เพราะว่ามันจะราบกว่า keyboard ตัวอื่นๆ อยู่เอาเรื่อง อาจจะต้องวางมันบนอะไรซักอย่างที่บางๆ พอ (วางบนกล่องของมันก็อาจจะสูงไปนิด) แต่ว่าถ้าใครพิมพ์แบบมือลอยๆ นิดหน่อยคงจะไม่มีปัญหาอะไร

ของเล่นใหม่: Mac mini (review)

อยากได้เครื่องซักเครื่องมาเป็น internal application server ใน lab มานานแล้ว เพราะว่าให้พวกผู้ช่วยพัฒนาโปรแกรมสำหรับใช้งานภายในขึ้นมาหลายตัว แต่ว่ามันกระจายๆ อยู่ตามเครื่องคนที่พัฒนา (ทั้งหมดเป็น laptop) ทำให้มีปัญหาในการเรียกใช้งานเยอะมาก เพราะว่าไหนเลยจะต้องบอกให้น้องเค้า start application server (ถ้าเป็น rails ก็พวก embedded server ในตัว application ทั้งหลาย) แล้วก็ถาม IP กันวุ่นวาย แล้วพวกข้อมูลก็เอามาใช้ด้วยกันลำบากอีกตะหาก เพราะว่า db มันเก็บคนละเครื่องคนละที่ ถ้าจะให้เปิด REST ให้ใช้ มันก็ขี่ช้างจับตั๊กแตนไปหน่อย

ว่าแล้ววันหนึ่ง เราก็เห็นว่า เออ มันไม่ค่อยจะเข้าท่าเท่าไหร่ถ้าจะทำแบบนี้ต่อไป ซื้อ dedicated internal server มาเลยตัวนึงดีกว่า ว่าแล้วเราก็บึ่งไปในกรุงเทพ หิ้ว Mac mini รุ่น 1.83 GHz กลับมาหนึ่งตัว

  • สิ่งแรกที่ทำก็คือ ลงเครื่องใหม่ จริงๆ อยากจะลง Mac OS X Server เพราะว่าจะได้ลองหัดเล่นจริงๆ จังๆ ซะที แต่ว่าก็ไม่อยากจะทำผิดลิขสิทธิ์อ่ะนะ อีกอย่างแค่ใช้เป็น internal application server นี่แค่ใช้ client edition ก็เหลือเฟือแล้ว ว่าแล้วก็ลง OS X 10.4.10 ไป
  • ตั้งชื่อเครื่องก่อน ..​ เอาชื่ออะไรดี ตอนนี้เครื่องของผม (PB17″ ที่ผู้ช่วยคนหนึ่งใช้ กับ MBP15″ ของผม) ชื่อ chaos กับ entropy ตามลำดับ ..​ อืมมม ตอนแรกคิดว่าจะตั้งชื่อ turing แต่ว่าไปๆ มาๆ เนื่องจากตัวมันเล็ก ก็เลยตั้งชื่อว่า quantum
  • แล้วลงก็ iWork กับ iLife …​ ซึ่งจริงๆ แล้วก็คงไม่ได้ใช้เครื่องนี้หรอก แต่ว่าก็เผื่อไว้ก่อนไม่เสียหลาย ถ้ามันไม่ได้ใช้จริงๆ แล้ว HDD มันจะเต็ม ก็ค่อยมาลบทิ้งเอาทีหลังได้
  • ลง Xcode จะได้ compile โปรแกรมที่จะต้องใช้งานได้
  • อืมมม อยากได้พวก lib ต่างๆ ทำไงดีหว่า จะ compile ลงใหม่ก็ขี้เกียจ ก็เลย copy /sw (ที่ๆ Fink มันลงโปรแกรม; ผมไม่ได้ใช้ MacPorts นะ เพราะว่ามันมีปัญหาอะไรไม่รู้กับ netไม่work ที่มหาวิทยาลัย)
  • จากนั้นก็ เลือก copy /usr/local ไปลงด้วย ตรงนี้ก็ประหยัดเวลาไปได้เยอะเหมือนกัน แทนที่จะต้องไป compile ใหม่หมด อีกอย่าง ปกติเวลา compile พวกนี้ผมไม่ได้ fine-tune พวก options ให้มัน optimized มากไปกับเครื่องใดเครื่องหนึ่ง (เครื่องที่ผมใช้น่ะแหละ) อยู่แล้ว ก็เลยใช้ได้ อ่อ แล้วก็เวลาที่ลงโปรแกรม ถ้ามันใหญ่หรือว่าเป็นโปรแกรม+lib (ไม่ใช่ lib อย่างเดียว) เช่น ImageMagick หรือว่า Graphviz เนี่ย ผมจะ configure ให้มี prefix ที่ /usr/local/[program_name] อยู่แล้ว ก็เลยเลือกง่ายหน่อย
  • เนื่องจากว่า application ส่วนมากที่จะไปลง จะเป็น Rails application ก็เลยทดสอบ ruby กับ rails ก่อน ปรากฏว่าใช้ได้ไม่มีปัญหาอะไร โดยที่ไม่ต้องลงอะไรเพิ่มเติม (ก็เล่น /usr/local มาแล้วนี่หว่า)
  • เนื่องจาก netไม่work ที่ ม. มันมักจะมีปัญหาอะไรก็ไม่รู้อยู่บ่อยๆ ก็เลยให้ตัว Mac mini นี้เปิด network ของตัวเอง เวลาที่คนจะใช้ application ตัวนี้ก็ connect เข้ามาใน network นี้เอา
  • แต่ว่าปัญหาก็คือ application บางตัวดันต้องใช้ web services ของ amazon ก็เลยไม่มีทางเลือก ต้องกลับเชื่อมกับ network ที่มันออกข้างนอกได้ (ขี้เกียจ setup)
  • ตอนนี้ก็เริ่ม deploy application หลายตัวลงไปใช้แล้ว ทำงานได้ดีนะ พวกบรรดาผู้ช่วยที่ทำงานก็ชอบกัน ได้มี dedicated server กับ internal application ตัวโน้นตัวนี้ที่ทำเล่นกันใน lab เสียที จะได้เป็นต้นแบบ/ตัวทดลองก่อนที่จะไป deploy ลง Xserve ที่เพิ่งจะได้มาใช้งานจริงซะที
  • นอกนั้นไม่ได้ทำอะไรมาก
  • อ่อ ลืมบอกไป ซื้อ keyboard ถูกๆ กับ mouse ถูกๆ มาอย่างละตัวเพื่อมาใช้งานกับตัวนี้ เพราะว่าคงไม่ได้ใช้งานมันตรงๆ มากมาย ส่วนมากก็ remote login เข้ามามากกว่า ส่วนจอ ก็แบ่งๆ จอ external ของผมไปใช้งานเป็นครั้งคราวถ้าจำเป็น (ผมมี Acer 22 นิ้วอยู่ตัวนึงน่ะ ต่อเป็น 2nd monitor ไว้)

สรุปว่า มันเป็น a cute little machine นะ ชอบๆ แต่ว่ามันก็ powerful enough สำหรับงานที่ผมเอามาใช้มันน่ะแหละ (ยิ่งคิดถึงว่า มีบางที่ บางคน บางองค์กร ซื้อ Mac Pro รุ่นใหม่มาเพื่อทำ data entry เท่านั้น ที่ก็ไม่ได้มีมากมายเท่าไหร่ …​ นี่ยิ่งรู้สึกว่า เราคงใช้งาน Mac mini ตัวนี้คุ้มกว่าล่ะนะ) จริงๆ น่าจะซื้อมานานแล้วจริงๆ (ก็ว่าจะ ว่าจะ ว่าจะอยู่หลายครั้งแล้ว บอกเด็กๆ ที่ทำงานไปหลายครั้งแล้ว แต่ว่าเราก็ไม่ได้ซื้อเสียที) น่ารักดีเวลาวางมันไปบนโต๊ะ ใครจะไปคิดว่ามันเป็น server ล่ะ

ไม่แปะรูปนะ ไว้แปะร่วมกับ entry เรื่องของเล่นชิ้นต่อไปเลยละกัน (ยังไม่บอกว่ามันคืออะไร) เพราะว่าถ่ายรูปคู่กันไว้อยู่

Blognone Tech Day 3.0

ก็ผ่านไปแล้วนะครับ สำหรับงาน Blognone Tech Day (BTD) 3.0 ซึ่งคราวนี้ผมโดน mk ลากไปเป็นวิทยากรด้วย (ซึ่งทำให้ mk ต้องมาพูดใช้หนี้ที่ศิลปากรวันถัดไป แล้วเราก็คุยกันต่อ)

ผมคงจะไม่เขียนสรุปอะไรว่าแต่ละคนพูดอะไรนะครับ เพราะว่าอันนั้นมีคนทำไว้แล้วเยอะ เช่นที่ sugree’s blog, Pok’s blogger, จ๊ะเอ๋อยากเล่า, ch_a_m_p’s blog ซึ่งจริงๆ ก็คงมีที่อื่นๆ อีก แต่ว่าเอาเป็นว่ามีคนสรุปไว้แล้วก็แล้วกัน ..​ งั้นผมขอเขียนความรู้สึกส่วนตัวจะดีกว่า

  • ได้เจอเพื่อนหลายคนที่นานๆ จะเจอกันที่ เช่น อ.มะนาว, พี่ sugree, bact’ (ที่น่าเสียดาย เหมือนจะอยู่ไม่นาน)
  • อ.มะนาว พาเพื่อนมาแนะนำให้รู้จักอีกคน ซึ่งพอเราเห็นกำลังนั่งอ่านหนังสือ Agile Web Dev with Rails ที่เราเคยเขียนด่าถึงด้วย ก็เลยให้ดูความแข็งแกร่งของหนังสือเล่มนั้นหน่อย ว่ามันเกรียนเทพแค่ไหน … คนที่เคยอ่านลองไปหาหน้าที่บอกวิธีการติดตั้ง Ruby บน Mac ดูนะครับ จะเห็นคนเขียนเกรียนถึงโปรแกรม DAVE (ซึ่งจริงๆ มันก็มีจริงๆ อ่ะนะ แต่ว่าไม่เกี่ยวกับผมนะ) …. แถจริงๆ เพราะว่าคนเขียนหนังสือต้นฉบับเค้าชื่อ Dave Thomas อ่ะนะ มันก็เลยมี prompt ชื่อ dave มาด้วย แบบว่า
    dave> some_command_here ...
    

    นะ เกรียนสุดๆ จริงๆ

  • ได้คุยกันเรื่อง ฮาๆ หลายเรื่องที่ถ้าไปคุยกันข้างนอกก๊วนที่มา (แม้แต่จะไปคุยในภาควิชาคอมพ์ หรือว่าคนทำงาน IT ก็เถอะ) อาจจะมีหน้างงๆ กันเยอะ ไม่ฮา ไม่ขำ เพราะว่ามันอาจจะ geek เกินไป
  • apirak มาบอกหลังไมค์ ว่าตอนที่ผมถาม นี่น่ากลัวโคตรๆ เลย หรือว่าผมมีความสามารถพิเศษในการกดดันชาวบ้านก็ไม่รู้แฮ​ะ ทั้งๆ ที่เราก็คิดว่าเราถามธรรมดานะ
  • น่าเสียดายที่มีเวลาให้ผมพูดน้อยไปหน่อย เลยไม่มีเวลาเล่นเกมสอนทำอาหาร (อะไรเนี่ย ..) ทั้งๆ ที่เรียกน้อง Ford Antitrust ออกไปหน้าเวทีแล้วนะ แต่ว่าเนื่องจากเวลาน้อย + คนฟังยังเขินๆ กันอยู่ด้วย ไม่ค่อยจะเล่นกับเราเท่าไหร่ น้อง Ford เลยออกไปเก้อเลย
  • น่าเสียดาย น่าเสียดาย เพราะว่าเกมนี้จะฮามาก แล้วก็จะเข้าใจเรื่อง short-term memory กับเรื่องการเรียนรู้และการท่องจำขึ้นอีกเยอะมาก ถ้าคิดว่าผมพูดเนี่ย ฮาแล้ว จี้ใจดำแล้ว เกมนี้จะเจ๋งกว่านั้นอีก คราวนี้รบกวนช่วยเล่นนิดนะคร้าบบบบ
  • แต่ว่าไปงานแบบนี้แล้ว บอกตามตรงว่า ใจชื้น เหมือนกับว่างาน Blognone เนี่ย เป็นน้ำหล่อเลี้ยงใจที่มันห่อเหี่ยวมานานของผมได้อย่างไม่น่าเชื่อ
  • เห็นน้องที่ชนะ Imagine Cup เห็น (video) โปรแกรมที่เค้าทำ เห็นการใส่ใจกับทุกรายละเอียด การสร้าง WOW factor การคำนึงถึงผู้ด้อยโอกาสและพยายามประยุกต์เทคโนโลยีมาช่วยได้อย่างเจ๋ง ….. ผมอยากให้น้องๆ กลุ่มนี้หรือว่ากลุ่มอื่นๆ ที่มีความสามารถ มีโอกาสทำอะไรเพื่อสังคมจริงๆ จังๆ เมื่อเรียนจบบ้างจัง แทนที่จะเข้าไปอยู่ในบริษัทใหญ่ๆ โตๆ บางบริษัท เงินเดือนสูงๆ แต่ว่าสังคมไม่ได้อะไร (ถ้าได้ทั้งสองอย่างก็เยี่ยมครับ win-win)
  • เห็นน้องจากกลุ่ม Ubuntu Club ที่ทำให้ผมอ้าปากค้าง … เนี่ยมันเด็ก ม.ต้น นะครับพี่น้อง แหม ตอนที่ผม ม.ต้น ผมยังทำอะไรไม่รู้อยู่เลย เด็กส่วนมากที่ผมเห็นที่ศิลปากร ยังไม่ได้ “สนใจ” อะไรแบบนี้เลย น้องครับ ผมขอบอกว่า น้องเยี่ยมมาก ผมแทบไม่ได้ปรบมือให้ใครด้วยความเต็มใจอย่างยิ่งยวด และรู้สึกชื้นสุดๆ ในใจมานานแล้ว
  • ผมเห็นว่าประเทศนี้ยังมีอนาคตครับ อย่างที่พี่ sugree เขียนไว้ใน blog เรื่องงาน BTD ว่าประเทศไทยมันคือ The Matrix นี่หว่า แล้ว Red Pill มันอยู่ไหน มีแค่ไม่กี่คนที่หลุดพ้นออกจากระบบแล้วกลายเป็นคนกำหนดอะไรบางอย่างในช่วงบางช่วง
  • ผมเชื่อว่ามีเยอะครับ คนที่อยู่ในระบบ แล้ว so dependent on the system และ/หรือ not ready to be unplugged แต่ว่าผมก็เชื่อเช่นกัน ว่าบางคนนะ ที่เค้ารู้สึกว่า there’s something wrong with the system แต่ว่าเค้าบอกไม่ได้ว่าอะไร เค้าบอกไม่ได้ … เราต้องค้นหาเค้า ค้นหาคนเหล่านั้น spend sometime searching The Matrix หาคนที่เริ่มรู้สึกเช่นนั้น ….. พาให้เค้าเห็นโลกอีกด้านหนึ่งของรั้ว เค้าอาจจะหลุดพ้นออกมาก็ได้

สรุปว่า เสียดายครับ ถ้างานนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย (ส่่วนหนึ่งอาจจะเป็น mk จะไปเรียนต่อ) ถ้าครั้งต่อไป ผมอยากให้ไปจัดที่อื่นบ้าง (ซึ่งก็คุยกับ mk ไว้แล้ว) ถ้ายังไงที่ ศิลปากร ตลิ่งชัน อาจจะเป็นอีก option หนึ่ีงก็ได้นะครับ (ผมเสนอไว้ก่อน) อาจจะต้องมีค่าเช่าที่ แต่ว่าก็คงจะจัดการได้ไม่ยากเย็นเท่าไหร่ เผื่อว่าเด็กที่อื่น จะได้มีโอกาสได้เข้ามาฟังและเปิดโลกของตัวเองบ้าง

Man Utd 0-0 Reading

  • เปิดฤดูกาลใหม่ เปิดบ้านเสมอซะงั้นน่ะ เท่าที่ดูนะ สรุปได้เลยว่า เล่นดี ไม่มีดวง
  • จังหวะสุดท้ายหาความเด็ดขาดไม่ได้ ทั้งการทำประตูและการส่งเข้าไปในจังหวะสุดท้าย
  • ขึงพืดเค้าได้เกือบหมด เล่นในแดนคู่ต่อสู้เสียเกือบหมด แต่ว่าทำไม่ได้ เขกหัวตัวเองไปซะเถอะ
  • รูนี่ย์เจ็บ ท่าจะยาวด้วย เอาล่ะสิ คราวนี้จะเป็นยังไงล่ะ ขายกองหน้าออกไปกันดีนัก
  • ตอนท้ายเกมที่ Reading บุกกลับมาได้บ้าง นี่เสียวจะโดนยังไงก็ไม่รู้
  • เกมลื่นไหลดีมากๆ แต่ว่าอย่างที่บอกน่ะแหละ การส่งจังหวะสุดท้ายเพื่อเข้าทำ ขาดๆ เกินๆ และการทำประตูเมื่อได้โอกาสไม่เด็ดขาดพอ
  • เอฟรา เล่นกองกลางได้ OK เลยนะ แต่ว่าจังหวะยิงยังไม่ค่อยจะกล้าหรือว่าหวังพึ่งได้มาก
  • โรนัลโด้ แทบจะกลายเป็นที่พึ่งเดียวของทีมอีกล่ะ โดยเฉพาะหลังจากที่รูนี่ย์เจ็บต้องออกไปนะ จริงๆ เค้าน่าจะทำประตูได้นะ
  • นานี่ ยังดิบอยู่ ยังต้องดูยาวๆ แต่ว่าเท่าที่ดู หวือหวาดีเอาเรื่อง ประสิทธิภาพยังค่อนข้างต่ำอยู่ แต่ว่าอย่าเพิ่งตัดสินเขาเลย บอลนัดเดียว ให้เด็กมันมั่นกว่านี้หน่อย
  • โอเช เทพจับฉ่าย วันนี้เล่นหน้าซะด้วย เกือบทำได้ซะด้วย สรุปป๋าอยากจะให้เอาดีด้านไหนแน่หว่า เดี๋ยวก็สับสนตัวเองตายหรอก ยังมีตำแหน่งไหนบ้างเนี่ยที่ยังไม่โดนจับเล่น
  • เฟลชเชอร์ มีเวลาน้อยมากในการเล่น แต่ว่ากล้าดีนะ มีสีสันมากขึ้นเยอะแบบไม่น่าเชื่อ ข้อดีของหมอนี่ในช่วงหลังๆ คือทุ่ม อยู่แล้ว แต่ว่านั่นแหละ ถ้าข้อดีคือทุ่มเท แล้วทำไมทีสมิท ไม่เก็บไว้ฟะ
  • ชักคิดถึงสมิทกับรอซซี่ซะแล้วสิ อย่าให้เตเวสเจ็บอีกคนเลยให้ตายเถอะ เพราะว่าไม่งั้นได้เห็นโอเชคู่โด้เป็นกองหน้านี่ดูไม่ค่อยจะจืดเท่าไหร่หรอกนะ ถึงโด้มันจะยิงได้เยอะก็เถอะ
  • ตอนท้ายเกมนี่ สยองจริงๆ
  • ไม่วิเคราะห์รูปเกมนะ มันเหนือกว่าเยอะจนไม่รู้จะเหนือยังไงจริงๆ แต่ว่าไม่มีดวง + ทำไม่ได้เอง

Review: Harry Potter and the Order of the Phoenix

จากหนังสือที่ยาวที่สุด กลายมาเป็นหนังที่สั้นที่สุด ที่หลายคนบ่นอุบ ว่าฉากโน้นฉากนี้โดนตัด ว่าไม่สนุกเท่ากับภาคอื่นๆ ที่ผ่านมา ฯลฯ แต่ว่าใครจะว่ายังไงไม่รู้ ผมว่าแบบนี้นะ

  • + สำหรับผมแล้ว นี่คือภาคที่สนุกที่สุด การดำเนินเรื่องทำได้ฉับไว มีน้ำหนัก มีอารมณ์ร่วม
  • = ต้องเข้าใจด้วยว่า ภาคนี้อาจจะถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนจุดหนึ่งของชีวิต Harry จากการเป็นเด็กเข้าสู่ช่วงของการเป็นผู้ใหญ่ นั่นคือข้อความที่ระบุไว้ชัดเจน จากภาคีฯ ว่า Harry ไม่ใช่เด็กแล้ว ซึ่งได้รับการตอบรับว่า แต่ว่าก็ไม่ใช่ผู้ใหญ่เช่นกัน
  • = ดังนั้นเรื่องความสนุกสนานแบบวัยเด็ก ที่กำลังจะผ่านพ้นไปและพบกับมรสุมของการเป็นผู้ใหญ่ กำลังจะเข้ามา ลองนึกถึงชีวิตตัวเองดู ว่ามันสนุกหรือเปล่า ในตอนที่ตัวเองกำลังอยู่ในวัยแบบนั้น
  • = (นอกเรื่อง) แต่ว่าทั้งนี้ อย่าไปดูช่วงอายุนะ โดยความเห็นส่วนตัวผมเชื่อว่าเป็นเรื่องวุฒิภาวะของจิตใจและความรับผิดชอบ มากกว่าอายุ เจอมาเยอะ พวกที่อายุ 20 กว่าๆ ปลายๆ หรือว่่า 30 ต้นๆ หรือว่ามากกว่านั้น ที่ไม่ค่อยจะมีวุฒิภาวะเท่าไหร่ แต่ว่าเรื่องนี้ช่างมันเถอะ กลับเข้าเรื่องหนังดีกว่า
  • + ภาคนี้ด่าเรื่องการศึกษาได้ “สะใจ” ที่สุดเลยล่ะ ไอ้ที่ว่าให้เรียนแต่ทฤษฎีในตำรา ไม่ต้องเอามาปฏิบัติจริงเนี่ย เพราะว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นมาการศึกษาหลายแห่งในโลก ซึ่งในหนังยังกัดอีกว่า เรียนแค่นี้ก็เพียงพอสำหรับ “ผ่านการสอบ (ข้อเขียน) แล้ว” ซึ่งพวกเด็กๆ พวกหนึ่งก็ไม่เห็นด้วยและไปฝึกหัดเวทมนต์กันจริงๆ
  • + ตอนที่ Harry พูดกับพวกที่จะเป็นกองทัพ Dumbledore ก็ดีนะ เรื่องที่ว่า การผิดพลาดในโรงเรียน (ในตอนฝึกหัด) น่ะ มันยังมีพรุ่งนี้ให้คุณกลับไปลองทำอีกได้ อีกกี่ครั้งก็ได้ แต่ว่าในชีวิตจริง ในสถานการณ์ที่จะต้องเลือกระหว่างความเป็นกับความตาย กับตัวเองและคนอื่น กับความกดดันต่างๆ จะมีกี่คนที่ handle มันได้จริง
  • + ซึ่งเราจะได้เห็นว่าหลังจากที่อาจารย์ Harry lecture เสร็จแล้ว ก็จับฝึกกันเลย โดยที่แต่ละคนจะต้องลงมือเอง ทำได้เองและล้มเหลวเอง ลุกขึ้นจากการที่ตัวเองล้มเอง และประสบความสำเร็จเอง ซึ่งตอนจบ ตอนฉากที่ department of mystery ที่ห้องเก็บลูกแก้วพยากรณ์ จะเห็นได้ว่า สถานการณ์จริง ไม่มักไม่ค่อยจะใจดีให้เราพลาดได้เท่าไหร่นักหรอกนะ มันคือ live and dead มากกว่า
  • = มาถึงตอนนี้ผมอยากจะบอกนักศึกษาทุกคนเหลือเกินนะ ว่า

ยอมล้ม ยอมหัด ยอมทดลอง ยอมเป็นคนโง่ ตอนที่เรียนอยู่เถอะนะน้อง วันนี้น้องยังล้มได้ ยังมีพรุ่งนี้ให้ลุกได้ แต่ว่าถ้าไม่ยอมผิดไม่ยอมพลาด คิดว่าทำครั้งแรกต้องได้หมด ผิดหรือว่าคิดว่าทำไม่ได้ก็เลยไม่ลองทำ … หรือว่าอะไรก็แล้วแต่ ถ้ามันผ่านวันนี้ไปแล้ว ไปเจอความจริงของชีวิต มันไม่ใจดีกับเราแบบนี้หรอกนะ

  • + จริงๆ เวทมนต์ที่ผมชอบที่สุดคือ คาถาผู้พิทักษ์นะ เพราะว่ามันคือการนึกถึงสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขที่สุด สิ่งที่เราชอบที่สุด และแต่ละคนมีผู้พิทักษ์ต่างๆ กัน นั่นคืออะไรล่ะ ก็เวลาที่เรารู้สึกแย่ รู้สึกว่า “ความสุขทุกอย่างในโลกได้หายไปจากชีวิต” (แหม copy มาหมดเลยนะ) เนี่ย นึกถึงสิ่งที่ชอบที่สุด สิ่งที่ทำให้เรามีความสุขที่สุด ช่วงเวลาที่ดี มันเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตเราจากความสิ้นหวังทั้งปวง และผลที่ได้จากคาถา แต่ละคนต่างกันหมด ขึ้นกับตัวเอง ประสบการณ์ตัวเอง ทั้งนั้น
  • คิดว่าจะไม่พูดแล้วนะเรื่องความสวยความงามเนี่ย ….​ เกิดอะไรขึ้นกับ โช แชง ฟะ ไม่สวยเอาเสียเลย มีคนคิดแบบเดียวกับเราหลายคน เช่น mk (อีกล่ะ รีวิวหลังหมอนี่ทุกที :-P) ตอนภาคที่แล้วยังน่ารักมากๆ อยู่เลย เกิดอะไรขึ้นฟะเนี่ย
  • + ป้าคนที่เล่นเป็น Dolores Umbridge เจ๋งมาก ตีบทแตกกระจุยกระจาย คนที่เล่นเป็น Luna Lovegood ก็ถือว่าดีนะ ก็ JKR บอกเองว่าเธอเป็น Perfect Luna เลยนะเนี่ย
  • = หลายคนคงเห็นแล้วล่ะ ว่าโทนเรื่องมันมืดลงๆ เรื่อยๆ นับจากภาคแรก ซึ่งไม่แปลกอะไรถ้าจะนับว่ามันเป็น transition จากวันและวัยที่ทุกอย่างสดใส ไปหาวันที่มันเริ่มไม่เป็นเช่นนั้น
  • ฉากการตายกับ Sirius Black รู้สึกไปเองหรือเปล่า ว่ามันไม่ค่อยจะดึงอารมณ์ร่วมออกมาได้เท่าไหร่ หรือว่าผมอ่อนไหวน้อยไปเองหว่า เฉยๆ มากกับฉากนี้
  • + แต่ว่าการกำกับศิลป์ กับฉากอื่นๆ ถือว่าทำได้ดีไม่เลวเลยนะ ฉากตอนจบที่ department of mystery ค่อนข้างจะได้ใจพอควร
  • + เรื่องของทางเลือก เหมือนกับตอนที่เขียนรีวิว Spiderman 3 นะ ตอนที่ Sirius Black พูดกับ Harry ที่ว่า โลกมันไม่ได้แบ่งเป็นคนดีกับผู้เสพย์วิญญาณ​ (คนเลว) หรอกนะ ทุกคนมีดีมีเลวในตัวเอง สิ่งที่สำคัญก็คือการที่เราเลือกกระทำต่างหาก ซึ่งนั่นทำให้เราเป็นเรา
  • + อีกประเด็นหนึ่งเถอะนะเกี่ยวกับการศึกษา ที่ Harry พูดว่า พ่อมดที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ทุกคนก็เริ่มต้นด้วยการเป็นอะไรที่ไม่ได้มากกว่าเราตอนนี้ คือ “นักเรียน (นักศึกษา)” เนี่ยแหละ อันนี้ชอบมาก
  • Order of the Phoenix ไม่ค่อยมีบทบาทเลยแฮะ ท่าทาง (ในหนัง) จะเป็น secret society จริงๆ แฮะ ไม่รู้เรื่องเลยทำอะไรมั่ง มีบทบาทยังไงมั่ง น้อยมากๆ
  • = แต่ว่าจะว่าไป ก็เป็นเรื่องที่อาจจะเป็นปกติของหนัง series นี้อยู่แล้ว ที่ว่าจะเป็น Harry Potter and อะไรก็ช่างเถอะ มันจะเป็น focus/centric อยู่กับ Harry มากกว่าสิ่งที่มาหลัง and … ซึ่งก็ถือว่าเป็น choice เพราะว่าหนังมันไม่เหมือนหนังสือ เอามาทำให้ได้ทุกมุมมองทุกมิติเหมือนกันไม่ได้หรอก ต้องเลือกเอา (หรือไม่งั้นก็ทำมันแยกไปเลย เหมือนกับ Flag of Our Fathers กับ Letters from Iwo Jima)
  • ปิดท้ายด้วยเรื่องที่ไม่เรื่องสักอย่างเถอะ …​ เนื่องจากเปลี่ยนคนแต่งเพลงมั้ง (จากปรมาจารย์ John Williams) ทำให้ Film score ภาคนี้อ่อนกว่าภาคก่อนๆ อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งตรงนี้อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งด้วยมั้ง ที่ทำให้หลายฉากหลายครั้ง มันดึงอารมณ์ไม่ได้
  • = อ่อ แล้วก็อีกเรื่องนะ ด่า/แขวะการเมืองใช้ได้เลย อีกทั้งประเด็นการใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือทางการเมือง แล้วก็การแทรกแซงสถาบันการศึกษาด้วยนะเนี่ย :-P

น้องๆ ที่ไปดูหนังนะครับ ขอให้ได้ข้อคิดเกี่ยวกับการศึกษาของตัวเองด้วยผมจะดีใจมาก แทบทุกคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ครั้งหนึ่งเค้าก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าพวกคุณหรอก คือ เป็นนักเรียน นักศึกษา ที่ฝึก ที่หัด ที่ทำ ที่ล้ม ที่ลุก ที่เหลว ที่สำเร็จ ฯลฯ มามากมายในชีวิต ทำให้มีประสบการณ์จริงมาก เมื่อไปเจอบททดสอบจริงของชีวิต ที่มักไม่ใจดี และเป็น one-chance เท่านั้น เค้าเลยผ่านมันไปได้ ในขณะที่อีกหลายต่อหลายคน ที่ take it easy ตอนที่ยังเรียนอยู่ กลับต้องมาล้มเหลวกับมันในทีหลัง

ในฐานะหนัง เรื่องนี้สนุกมากกับผม ตรงที่มันให้ข้อคิดกับผมในฐานะนักการศึกษาคนหนึ่ง เนื้อหาในภาคนี้ ข้อความในภาคนี้ หลายอย่าง เนี่ยแหละ คือสิ่งที่ผมอยากจะบอกกับลูกศิษย์ทุกคน

My Rating: 9/10
IMDB Rating: 7.8/10
(30,595 votes)

Review: Die Hard 4.0

ไปๆ มาๆ จะกลายเป็น blog รีวิวหนังไปซะแล้วหรือเปล่าเนี่ย แต่ว่าช่างมันเถอะ ดูๆ สะสมกันไว้นาน ไม่ได้เขียนซะที เอาเป็นว่าไล่ๆ เขียนมันไปให้หมดๆ ก่อนละกันนะ

ภาค 4 (และอาจจะเป็นภาคสุดท้าย?) ของหนัง series เรื่องหนึ่งที่ขาดตอนไปนานเอาการทีเดียว (ภาค 1 เมื่อ 1988, 2 เมื่อ 1990 และ 3 เมื่อ 1995) ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่ได้ดู Die Hard ภาคแรกนะ แต่เค้าว่ากันว่าภาค 2, 3 นี่สู้ภาคแรกไม่ได้ (แต่ว่าก็ไม่ได้ห่วยเท่าไหร่ จาก rating ใน IMDB นะ) เอาเป็นว่าเรื่องนั้นผมไม่พูดถึงละกัน มาดูภาคนี้กันดีกว่า

  • + โทนหนังเปลี่ยนไปจากภาคก่อนๆ นะ คือ threat ของโลกปัจจุบันมันเปลี่ยนไป อะไรๆ เดี๋ยวนี้มันก็ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์หมด อีกอย่างคอมพิวเตอร์มันก็เชื่อมต่อกันหมด ฮาร์ดแวร์กลายเป็นสิ่งที่ irrelevant และ invisible มากขึ้นทุกที เหมือนกับที่ Steve Jobs เคยบอกไว้ว่า “It’s Software, Stupid!” ….. (นึกถึง Terminator 3 หน่อยนะ)
  • + ทีนี้ วายร้ายก็เลยต้องเปลี่ยนไป กลายเป็น Thomas Gabriel (Timothy Olyphant), Hacker อัจฉริยะ (ย้ำ Hacker นะ ไม่ใช่ Cracker ใครสงสัยว่ามันต่างกันยังไง รบกวนหา Hacker Culture, Jargon File หรือว่าอะไรพวกนี้อ่านๆ ดู) ที่กลายมาทำตัวเป็น Cracker ก่อ Cyber-Terrorism เสียเอง แล้วก็ค่อนข้างที่จะ cool เสียด้วย คือเป็นผู้ร้ายที่มีสมองเป็นหลักจริงๆ แต่ว่า “น่าสะพรึงกลัว” เอาเรื่องทีเดียว
  • + ใครเป็นพวก geek น่าจะชอบภาคนี้ได้ไม่ยากนะ เพราะว่ามันมี reference ถึงอะไรๆ ที่ geekๆ เยอะเหมือนกัน แล้วก็พวก geek ในเรื่องนี้มันค่อนข้างที่จะ real พอควร (ไม่เหมือนกับในเรื่อง Antitrust นะ เรื่องนั้นมัน “สะอาด” และ “สำอาง” เกินไป สำหรับพวก geek โดยทั่วไป)
  • + แค่ฉากเข้าไปใน apartment ของ Matt Farrell ก็ได้ใจแล้ว ของเล่น geek เยอะมาก ไม่พอ ยังเอา Justin Long (Mac ใน I’m a Mac and I’m a PC ของ Apple) มาเล่นอีก หมอนี่ใช้ได้ เล่น OK เลย แล้วก็ “Command Center” ขอเจ้าอ้วน Freddy อีก อยากได้หุ่น Boba Fett ตัวโตๆ แบบนั้นบ้าง (จะดีกว่าถ้าเป็น Vader)
  • แต่ว่ามาถึงรายละเอียดเนีี่ย มีอะไรหลายอย่างที่มันไม่น่าให้อภัยนะ (เช่นหมายเลข IP ของเครื่อง อะไรหลายๆ อย่าง) แต่ว่าช่างมันเถอะ คงมี population แค่กระหยิบมือบนโลกที่ดูตรงนั้นรู้เรื่อง แล้วก็พวกรายละเอียดของเครื่องบิน ของ geography อะไรหลายๆ อย่างที่มันไม่ค่อยจะ make sense หรือว่าสมจริงน่ะ (โดยเฉพาะเรื่อง geography เนี่ย เยอะมาก แต่ว่านะ เอาอะไร หนัง ไม่ใช่สารคดี)
  • ตกม้าตายมั้ยเนี่ย ตอน start รถน่ะ ไหนบอกว่า communication network มันล่มหมดไง แล้วติดต่อ telecom ผ่านระบบไหนล่ะนั่นน่ะ ไม่พอนะ ไหนบอกว่าเครื่องบินถูก ground หมดไง แล้วตอนที่ไฟดับ ภาพตัดไปที่สนามบิน ไหงมีเครื่องบินขึ้นได้ฟะ เออ ช่างมันเถอะ เอาแค่นี้แหละ ;-)
  • 500 TB เนี่ย ดูเหมือนจะเยอะนะ แต่ว่ามันพอเหรอ(ฟะ) สำหรับข้อมูล financial ทั้งหมดของสหรัฐอเมริกาเนี่ย อีกอย่างนะ มัน download ผ่านอะไรวะ ทำไมมันเร็วจัง :-P
  • = รู้สึกว่าเราจะเริ่มให้ กับอะไรที่มันเป็น error แบบ geekๆ มากไปแฮะ กลับมาที่หนังดีกว่านะ
  • + เรื่องนี้ก็ยังเป็นคนธรรมดา ในสถานการณ์ไม่ธรรมดา เช่นเคย และทั้ง Willis ทั้ง Long ก็เล่นในบทบาทนั้น ให้ความรู้สึกแบบนั้น ได้ดีมากเลยทีเดียว ผมชอบนะตอนที่ทั้งสองคนนั่งคุยกันในรถ เรื่องการเป็น Hero ….​ ชอบตอนที่ Willis (McClane) สรุปว่า “เพราะว่าไม่มีใครคนอื่นทำน่ะสิ” เพราะว่าผมมักจะพูดว่า ที่เราต้องทำอะไรๆ หลายอย่างที่เราทำอยู่ตอนนี้ ไม่ใช่เพราะว่าตัวเองเก่ง หรือว่าเป็นคนดี หรือว่าอะไรทั้งนั้น ตรงข้าม ผมไม่ใช่คนเก่ง ไม่ใช่คนดี ไม่ได้เป็นฮีโร่และไม่ได้อยากเป็นอะไรทั้งนั้น เพียงแต่ว่า “มันไม่มีคนทำน่ะสิ” คนธรรมดาๆ คนหนึ่ง ก็เลยต้องทำอะไรอย่างที่เค้ากำลังทำอยู่ ประโยคนี้ได้ใจมาก
  • = ชอบ Maggie Q แฮะ เรื่องนี้ ปกติเฉยๆ กับเค้านะ หมวยธรรมดาๆ หน้าจืดๆ เฉยๆ เหมือนจะง่วงนอนตลอดเวลา แต่ว่าเรื่องนี้พอมาเล่นบทนี้แล้ว เออ ใช้ได้ นิ่งดี cool ดี
  • เข้าใจว่าเป็นเรื่องการตลาดนะ อยากจะให้หนังมัน rating ความรุนแรงลดลง ทำให้นี่เป็น Die Hard ภาคแรกที่ไม่ได้ rating “R” แต่ว่ามันทำให้ McClane ไม่ได้สบถวาทะเด็ดประจำตัว แต่ว่าที่ผมให้ติดลบ ก็เพราะว่าการใช้ภาษารุนแรง กับความรุนแรงอื่นๆ มันก็ยังคงเต็มในหนัง เลยไม่รู้มันได้ PG-13 ไปได้ไง
  • + ชอบฉากที่เอาคำพูดของประธานาธิบดีสหรัฐฯ มาต่อกันเป็นหนังแฮะ เด็ดดี ยิ่งตอนสุดท้ายเป็น Bush นี่อย่างฮา ขอบอก
  • = แต่ว่าสำหรับคนที่คิดว่าเนื่องจากมันเป็นหนังที่ออกแนว Cyber-Terrorism ที่มี Hackers/Crackers เป็นตัวหลักทั้งสองด้าน แล้วคิดว่าจะมีการใช้สมองหรือว่าหักเหลี่ยมชิงไหวชิงพริบกันนะ บอกได้เลยว่า “ไม่มี” เพราะว่านี่มัน Die Hard ดังนั้นมันจะมีแต่ความดิบ ล้วนๆ
  • + ชอบบทพูดที่ให้ Matt (J. Long) กัดโน่นนี่แฮะ ชอบตอนที่กัดโฆษณา กัดข่าว ว่ามัน entirely manipulated ที่ให้ทุกคน live in fear ฯลฯ อะไรทำนองนั้น เจ็บว่ะ เจ๋งดี เพราะว่าจริงแหละ วันก่อนได้ดูผู้หญิงถึงผู้หญิงแป๊บๆ ก่อนออกจากบ้าน เรื่อง พ.ร.บ. การกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ฟังที่กาละแมพูดแล้ว ยังคิดในใจ (แต่ว่าบ่นออกเสียงให้ตัวเองได้ยิน) ว่า F.U.D อยู่เลย ไม่พอ ยังกัด USA ด้วย เรื่องการกู้ภัยตอนที่พายุเข้า
  • ผิดหวังอย่างรุนแรง ที่ประโยคเด็ดจาก trailer ไม่ได้ถูกพูดในหนังจริง …. ที่ว่า “จะฆ่ามันแล้วช่วยลูก ไม่ก็ช่วยลูกแล้วฆ่ามัน (กู)จะฆ่ามันให้หมด!” เนี่ย เสียดายจริง
  • + ได้คะแนนคืนมาอย่างมหาศาลที่แสดงให้เห็น gap ระหว่าง geek กับ non-geek ได้อย่างชัดเจนแล้วก็มีสไตล์ด้วย ชอบมากตอนที่ Matt เล่นโน่นเล่นนี่ ทำสิ่งที่เหมือนกับเป็น magic กับอุปกรณ์ต่างๆ แล้วก็ตอนที่ Matt คุยกับ Freddy หรือว่าตอนที่พยายามอธิบายเรื่องเทคโนโลยีให้ John เข้าใจ (ตอนที่เชื่อม PDA เข้ากับเครือข่าย SATCOM เก่า) ด้วย
  • = (นอกเรื่องนะ) เพราะว่าเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มันไม่เหมือนกับอุปกรณ์/เทคโนโลยีอื่นๆ ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง คนที่เก่งๆ เนี่ย จะใช้คอมพิวเตอร์ทำอะไรได้มหาศาลเหมือนกับใช้เวทมนต์เลยทีเดียว แต่ว่าเนื่องจากมันกลายมาเป็น commodity มากขึ้นๆ (แทบทุกบ้านเริ่มมีใช้) ทำให้หลายๆ คน (แม้แต่คนที่เรียนสาขา CE/CS/IT โดยตรง) ไม่ได้มีความสนใจหรือว่าความรู้หรือว่าประสบการณ์ที่จะใช้มันทำโน่นทำนี่ได้มากมายเท่าไหร่ ใช้คอมพิวเตอร์เหมือนกับใช้ TV/Video/วิทยุ/Word Processor/etc รวมๆ กันเท่านั้น แล้วไม่พอ คนที่คิดว่าตัวเองรู้โน่นรู้นี่ เข้าใจโน่นนี่ หรือว่าใช้คล่อง มี เยอะมาก แล้วพวกนี้กล่อมยาก อธิบายยาก เหมือนกับสอนหนังสือสังฆราช … พอล่ะ ขี้เกียจบ่นแล้ว ไปอ่านใน Computer Stupidities ดีกว่า มีให้อ่านจุใจ ;-P

ด้องขออภัยด้วย ที่รีวิวนี้มันออกจะ geek ไปหน่อย ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ แต่ว่าหนังมันไม่ค่อยจะมีอะไรจริง ไปดูเอาสนุก เอามันส์ เอาเรื่อง F.U.D เกี่ยวกับ Cyber-Terrorism ดีกว่า ว่าคนเค้ากลัวอะไรกัน แต่ว่าเรื่องจริงมันไม่เกิดแบบนั้นหรอก ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง แต่ว่าในอนาคต (ที่อาจจะอีกไกล) อาจจะเป็นไปได้ก็ได้นะ ไม่มีใครรู้ แต่ว่านิทานเรื่องนี้สอนให้รู้อะไรไว้อย่างนึงนะ ว่า Centralized Data Storage เนี่ย อาจจะเป็น bad idea กว่าที่หลายๆ คนคิดก็ได้ ทำเป็น Decentralized จะดีกว่านะ ตอนนี้เทคโนโลยีมันเอื้อด้วยแหละ แล้วก็ mindset ของสังคมเริ่มที่จะไปทางนั้นมากขึ้นแล้วด้วย

My Rating: 8.0/10
IMDB Rating: 8.0/10
(34,305 votes)

ป.ล. นี่เป็นครั้งแรกแฮะ ที่ rating ที่ผมให้ กับที่ได้จาก votes ใน IMDB มันตรงกันเป๊ะ (แต่ว่าเมื่อเวลาผ่านไป มีคน vote มากขึ้น อาจจะเปลี่ยนได้นะ)

Review: Transformers

Transformers เป็นอีกเรื่องที่หลายคนตั้งหน้าตั้งตารอคอยกันนานพอควรในฐานะหนังฟอร์มยักษ์อีกเรื่องของปีนี้ หลายคนก็เพราะว่าเป็นแฟนของเล่นอยู่แล้ว หลายคนบ้าหุ่นยนต์แปลงร่างได้ ฯลฯ จะด้วยเหตุผลอะไรก็ช่างเถอะนะ เรื่องนี้ก็เป็นหนังที่ดีอีกเรื่อง

  • = นี่เป็นหนัง Action นะ อย่าคิดอะไรมากกว่านั้น หลายเรื่องไม่ต้องไปถามหาเหตุผลอะไรกับมันหรอก ไม่มีทั้งนั้น
  • Plot holes ก็พอจะมีให้เห็นทั้งเรื่อง แผนการหลายอย่างที่ไม่ได้ make sense ก็มีอยู่
  • = และด้วยความที่มันเป็นหนัง Action แบบล้างผลาญ เหมือนกับว่าทุกซีนทุกฉากทุกตอน มีคำว่า Michael Bay เป็น watermark ไว้เลยด้วยซ้ำ (ไปดูรายชื่อหนังที่เค้ากำกับ จะเห็นเองว่ามีประวัติยังไง) และแน่นอนว่า ไม่ใช่หนังเด็กแน่ๆ ถึงหลายคนอาจจะอยากจะมองแบบนั้น เพราะว่าเป็นหนังหุ่นยนต์แปลงร่างที่สร้างมาจากของเล่นก็เถอะ มันล้างผลาญแบบ Bay แน่นอนครับ
  • + มุขตลกที่มีพอสมควรทั้งเรื่อง พวก Autobots มีอารมณ์ขันดีใช้ได้ ฉากค้นหาของที่บ้านของพระเอกทำคนหัวเราะไปครึ่งโรง (ใครนึกไม่ออกว่าตลกยังไง แค่นึกถึงหุ่นยนต์ตัวเท่าตึกพยายามเล่นซ่อนแอบ แต่ว่าดันซุ่มซ่ามตลอดเวลา คงประมาณนั้น)
  • แต่ว่า …. แต่ว่าบางทีก็เหมือนจะยัดเยียดไปนิดเหมือนกัน ก็พอจะให้รำคาญได้ล่ะนะ ว่าเมื่อไหร่เรื่องมันจะเดินต่อซักทีวะ
  • แล้วก็ dialogue ของ Optimus Prime: “Opps, my bad” ….. เฮ้อ ชีวิตช่างบัดซบจริงๆ เล้ยให้ตาย หลายคนคงชอบ แต่ว่าแฟนของ Prime นี่ หลายคนท่าจะรับไม่ได้แฮะ
  • + แต่ว่าฉาก Call center นี่อย่างฮา
  • + CGI เยี่ยมมาก แค่ได้เห็นฉากเปลี่ยนร่างของหุ่นยนต์แต่ละตัวก็พอแล้ว รายละเอียดสุดยอดมาก เรียกได้ว่าคงจะเอา render farm/modeling workstations ที่ ILM ควันขึ้นโขมงพอควรล่ะ แต่ว่านี่แหละ no compromise จริง ต้องยกนิ้วให้
  • แต่ว่าบางทีทำให้มันมี details เยอะเกิน กับการเปลี่ยนร่างที่เร็ว ดูแล้วอาจจะตาลายนิดๆ
  • = หุ่นยนต์หลายตัวจะไม่ได้มีรูปร่าง แล้วก็ร่างแปลงที่เหมือน/ใกล้เคียงกับของเล่น/การ์ตูนนะ ด้วยเหตุผลทางด้านความรุนแรง และ(คงจะ)ความเหมาะสม แต่ว่ามันก็ทำให้หุ่นบางตัว cool ขึ้นแบบสุดๆ
  • + รูปร่าง หน้าตาและสีสันของตัวดีกับตัวร้ายต่างกันแบบไม่ต้องใช้สมองคิดก็เห็นได้ชัดเจน ยกนิ้วให้กับทีมงานตรงนี้ ตัวโกงหน้าตามันก็โกงจริงๆ แหละ แถมดุร้าย โหดเหี้ยม สีคล้ำ อีกตะหาก ส่วนตัวดีนี่ก็ตรงข้ามกันเลย
  • = ผมคิดไปเองหรือเปล่าวะ ว่า Autobots นี่ยังกะขบวนการ 5 สีของญี่ปุ่นเลยแฮะ (ดูจากสีเอาด้วยนะ) ส่วนพวก Decepticons นี่ยังกะสัตว์ประหลาดในหนังห้าสีอีกน่ะแหละ (รูปร่าง สีสัน ฯลฯ)
  • ช่วงกลางๆ ของเรื่องจะอืดๆ นิดๆ นะ แต่ว่าตอนท้ายนี่เรียกว่าอัดกันแหลก ห้ามกะพริบตาเด็ดขาด
  • + Shia LaBeouf ไม่แปลกใจที่หมอนี่อาจจะเป็น Next Big Thing ของ Hollywood เพราะว่าเล่นดีตีบทแตก ธรรมชาติและเนียนมาก ชัดอยากจะเห็นบทบาทใน Indiana Jones ภาคต่อไปของหมอนี่แล้วสิ แต่ว่ากลัวแต่ว่าจะไปมี image กับบทแบบ underdogs ป้ำเป๋อแบบนี้ไปอ่ะดิ
  • + ชอบตอนวิเคราะห์เสียงน่ะ ไม่รู้ทำไม รู้แต่ว่าชอบ อาจจะเพราะว่าสนใจทำด้าน voice matching อยู่ด้วยล่ะมั้ง
  • มี error หลายอย่างนะ แต่ว่ามีอย่างนึงที่เหมือนว่าผู้กำกับลืมแบบน่าตบกะโหลก (พอๆ กับฉากม้าหายใน Lord of the Rings: Return of the King) คือ เจ้ารถตำรวจ Barricade มันถูก Bumblebee จัดการไปแล้วตั้งกะกลางๆ เรื่องไม่ใช่เรอะ แต่ว่าทำไมตอนท้ายมันยังโผล่มาอีกล่ะ แต่ว่าก็ยังดีที่ไม่ได้มีบทบาทอะไร (เหมือนว่าหลังจากฉากรายงานตัวผู้กำกับจะนึกออก?)
  • ความไม่ make sense อีกอย่างก็คือว่าการเอา cube หนีเข้าเมือง (หรือว่าแม้แต่ผ่านเมือง) เฮ้ย จะบ้าเรอะ …. เพราะว่ามันเป็นแผนการทำลายเมืองชัดๆ ถ้าพวก Decepticons ไล่ทันที่เมืองล่ะก็ เมืองพังแน่ๆ …. มันเจ๋งในหนังอ่ะ ได้เห็นฉาก Bay-ism มากๆ (ฉากทำลายล้าง) แต่ว่าในเรื่องจริง จะมีไอ้บ้าที่ไหนคิดแผนฆ่าตัวตาย/ฆ่าคนตายแบบนั้นหว่า
  • เห็นด้วยกับ mk (isriya) อีกเรื่อง ศัตรูเป็นเครื่องบินเจ๊ท แต่ว่าจะให้ขึ้น ฮ. หนี …. จะบ้าเรอะ
  • = แต่ว่าช่างมันเถอะ หนัง action + Michael Bay น่ะ เอาไรมากมาย ท่องไว้ “หนัง action หนัง action” ท่องไว้ Michael Bay Michael Bay
  • เสียดาย เสียดาย เสียดาย อย่างสุดแสนเสียดาย ที่ Transformers ทั้งหมดในเรื่องนี้ ไม่ได้มีอะไรมากกว่าการเป็น “อาวุธสงครามมีชีวิต” แทบทุกตัวไม่ได้มี story หรือว่า personality อะไรเลย เรียกว่ามีไว้ show-off CGi แล้วก็ทำลายฉากแบบ super-cool เท่านั้นมั้ง ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายที่สุด ทั้งๆ ที่เป็นชื่อเรื่องนะ น่าจะ focus กับพวกเค้าหรือว่าอย่างน้อยๆ ก็ให้มันมี story/personality อะไรบ้างสิ
  • + ได้คะแนนคืนมาหน่อยก็ตรงความละเอียดและสมจริงของอาวุธสงครามทั้งหลาย …​อย่างว่า (ว่ากันว่า) Bay เค้าได้กองทัพอเมริกาให้การสนับสนุนเลยนี่
  • ตอนแรกคิดว่าจะออกมาดีกว่านี้ คิดว่า Transformers จะมี depth ของตัวละคร แล้วก็ plot มากกว่านี้ แต่ว่า นอกจาก Sam (พระเอก) แล้ว ตัวละครทุกตัวมัน shallow สิ้่นดี ไม่เว้นแม้แต่ Bumblebee ซึ่งเป็นตัวละคร Transformers ที่มีบทมากที่สุด หรือว่า Optimus Prime ที่สมควรเป็นตัวเอกตัวหนึ่ง ….. หนังเน้นความล้างผลาญเกินไป

พอเหอะ… พอหอมปากหอมคอ จริงๆ หนังเรื่องนี้ก็ถือว่าดีแหละ ถ้าไม่รู้เรื่องอะไรมาก่อนบ้างเลย ผมเองอาจจะมี impression ไม่ค่อยดีกับ Michael Bay ด้วยน่ะแหละ … ถ้าผมจะมี personal message ให้กับ Michael Bay สักข้อความคงเป็น

Mike, (computer) effects and destruction can’t make a good movie.

ไม่ได้หนังเรื่องนี้ไม่ดีนะ แต่ว่าถ้าไม่มีส่วนอื่นๆ อีกหลายส่วนมาช่วยไว้ (+mindset ที่ว่ามันเป็นหนัง Action ล้างผลาญนะ อย่าคิดอะไรมาก) คงจะไม่จืดกว่านี้

My Rating: 7.0/10
IMDB Rating: 8.0/10
(จาก 46,635 votes)

Review: Next

ดูเรื่องนี้นานแล้วเหมือนกัน Next

  • เป็นหนังที่อยากดูมากเรื่องหนึ่งนะ จากการที่ได้เห็น trailer แต่ว่าไม่แน่ใจว่าจะเป็นหนังออกแนวไหนแน่ แต่ว่าคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเดาอนาคตชัวร์ๆ
  • อนาคตที่ตัวเอก (Chris Johnson, เล่นโดย Nicolas Cage) เห็นได้มีแค่ 2 นาทีเท่านั้น ซึ่ง อืมมม บอกว่าชอบก็ได้นะ เพราะว่าด้วยความที่ตัวเองบ้า Chaos Theory กับ Complex System Theory ทำให้รู้สึกว่าอนาคตมันเป็นสิ่งที่คาดการณ์ คาดเดา ทำนาย คำนวณ ล่วงหน้านานๆ ไม่ได้อยู่แล้ว
  • Tagline คมมากทีเดียว เอาเรื่อง

    Here is the thing about the future, every time you look at, he changes because you looked at and that changes everything else.

    ความจริงเกี่ยวกับอนาคตก็คือ ทุกครั้งที่เรามองมัน มันจะเปลี่ยนไปเพราะว่าถูกเรามอง และนั่นทำให้ทุกอย่างนอกจากนั้นเปลี่ยนไป

  • แต่ว่าการแสดง ทำไมมันถึงได้ห่วยแบบนั้นวะ Nicolas Cage นี่คงจะอยู่ในช่วงขาลงหรือเปล่าไม่รู้แฮะ รู้สึกว่าไม่ค่อยจะดีตั้งแต่ Ghost Rider แล้วล่ะ นอกนั้นก็… งั้นๆ เป็นอย่างมาก
  • Plot holes everywhere ทุกที่ทุกทาง กระจัดกระจาย .. บางทีก็ขัดแย้งกับตัวเองซะงั้น หลายอย่างก็ไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าไหร่ แต่ว่าเอาเถอะ หนังขาย action (ที่ก็งั้นๆ) จะเอาอะไรมาก
  • ยิ่งรูรั่วเบ้อเร่อบ้าร่าตอนจบนะ …. แหม ที่ทำมาทุกอย่างนี่ เพื่อที่จะขัดกับตัวเองตอนสุดท้ายใช่มั้ยเนี่ย (ทำนองเดียวกับ The Time Machine (2002) เลย เรื่องนั้นก็ OK ทั้งเรื่อง แต่ว่ามาขัด logic ตัวเองรุนแรงมากๆ ตอนจบ)
  • แต่ว่าก็ชอบตอนที่ Chris แยกร่างค้นหาความเป็นไปได้ฉาก climax ก่อนที่จะกลับมารวมกัน .. นี่มันเข้าทำนอง Schroedinger’s Cat ชัดๆ แล้วก็รู้สึกว่าเป็นพวกสายที่ states ที่เป็นไปได้เหล่านั้นมันจะ collapse กลับมาเป็น reality อันเดียวกันเสียดาย
  • นอกนั้นไม่มีอะไรจะพูดถึงมากเท่าไหร่
  • ก็ยังดีมั้ง ที่ยังมี Jessica Biel มาประดับฉากบ้าง แต่เหมือนนางเอก (อย่างน้อยๆ ก็ตัวเอกฝ่ายหญิง) จะเป็น Julianne Moore ซะมากกว่า
  • หลายคนบอกว่าตอนจบเป็น plot twist แต่ว่าเราเห็นว่าเฉยๆ แฮะ หนังแนวนี้ชอบเล่นกับตอนจบแบบนี้อยู่แล้ว

My Rating: 6/10
IMDB Rating: 6.3/10 (8,949 votes)

Review: Pirates of Caribbean 3

Long overdue พอๆ กันกับ Spiderman 3 สำหรับ review ของหนังภาคจบของ Pirates of Caribbean ไตรภาค (จะมีภาคใหม่หรือเปล่าไม่รู้ รู้แต่ว่า Johnny Depp บอกว่าอยากจะเล่นในบท Jack Sparrow ต่อไปอีก) และเป็นหนังที่ผมรอคอยนานมากทีเดียว

ผมจะไม่เขียนแบบ Spiderman 3 นะ เพราะว่าอันนั้นตั้งใจเขียนปรัชญาจากหนัง แต่ว่าอันนี้จะเขียน review ในฐานะหนังเลยดีกว่า เพราะว่ามันไม่ค่อยมีปรัชญาอะไรมากมายอยู่แล้ว

The Good:

  • การแสดงและตัวละคร Johnny Depp, Geoffrey Rush เล่นได้ดีเยี่ยมในบทของ Jack Sparrow และ Barbosa ส่วน Orlando Bloom ก็ถือว่าเล่นได้ดีกว่าเรื่องอื่นๆ ที่เคยเล่นมา และคิดว่าในที่สุดก็คงจะล้างภาพพจน์ของ Legolas จาก Lord of the Rings ออกเสียที ส่วน Keira Knightley ภาคนี้สวย ดุ น่ารัก เด็ดขาด .. ละลาย
  • โดยเฉพาะ Johnny Depp ที่หลังจากเป็น mister จับฉ่ายแมนแห่ง Hollywood ที่แสดงได้ทุกบททุกบาท เล่นมาแล้วทุกแนว แต่ว่ายังหา character ที่คนจะจำเค้าไว้ในฐานะนั้นไม่ได้ บทสุดท้ายจริงๆ ของเค้าที่คนจำเค้าในแบบนั้น ก็คือ Edward จาก Edward Scissorhands แต่ว่าก็ยังไม่ strong ขนาด Harrison Ford กับบทบาทของ Indiana Jones และผมว่าเค้าหาบทนั้นของเค้าเจอแล้วล่ะ
  • ไม่น่าเชื่อว่าจะขมวดปมบทบาทของตัวละครทุกตัวให้มีจุดจบได้อย่างเยี่ยม ไม่เหลือ loose middle หรือว่า loose end เลยแม้แต่นิดเดียว และปริศนาต่างๆ ที่เคยได้สร้างเอาไว้ตั้งแต่ภาคแรกก็ได้รับการขมวดปมเฉลยไว้อย่างรู้เรื่อง
  • บางคนอาจจะดูแล้วงงนะ เพราะว่าเรื่องบางเรื่อง plot บาง plot อาจจะวกไปวนมานิดหน่อย มีแผนซ้อนแผนมีหลอกกันไปมาเยอะหน่อย แต่ว่าสำหรับผมแล้วมันก็ตรงไปตรงมาพอควร และดูง่ายพอควร
  • Film score ต้องบอกว่า “สุดยอด” เท่านั้น สมชื่อ Hans Zimmer จริงๆ ทุกฉาก ทุก theme ทุกสถานการณ์ ทุกอย่าง เรียกได้ว่าสุดยอด ยิ่ง score ในฉาก final battle นี่เรียกว่า thrill จริงๆ และ grand มากๆ ไม่มีความรู้สึกแบบนี้มานานมากแล้วกับการฟัง film score
  • ขอยกนิ้วให้อีกครั้งกับ Film score … เจ่งมากขนาดทำให้เราต้อง devote 2 bullets ใน list ให้เลย
  • ยังคงแทรกมุกตลกได้อย่างแนบเนียนตลอดเรื่อง ตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบ และไม่มีความรู้สึกว่ายัดเยียดแต่อย่างใด
  • เรื่องราวระหว่าง Tia Dalma กับ Davy Jones ที่สุดแสนจะเป็น tragic love story สะเทือนอารมณ์ตั้งแต่ตอนแรกที่เริ่มเข้าใจเรื่องราวจนถึงสุดท้ายที่เป็นจุดจบของ Davy Jones
  • ฉากจบที่ไม่วายทิ้งท้ายไว้ทำภาคต่อ แล้วก็การทำสรุปเนื้อหาเรื่องราวที่ดีของ William กับ Elizabeth ทำให้รู้สึกว่า เออ ไตรภาคนี้มันเป็นเรื่องของสองคนนี้จริงๆ ตั้งแต่เจอกันจนกระทั่งลงเอยกันแล้วก็มีบทสรุปที่ดี “หลัง/ระหว่าง end credit”
  • ชอบมุข Multiple Jack นะ มันแสดง quantum nature ของความคิดของคนได้ดีมาก
  • ฉากรบตอนจบ ถึงจะไม่ได้เห็น massive navel battle แต่ว่ามันทำให้ได้เห็น The Black Pearl กับ The Flying Dutchman ซึ่งเป็นเรือตัวเอกของภาคแรกและภาคสอง ปะทะกันได้ใน full details เต็มรายละเอียด เล็กๆ น้อยๆ มีหมด และนี่เป็นฉากการปะทะ “ตัวต่อตัว” (ลำต่อลำ อาจจะเหมาะกว่า) ที่สนุกที่สุด ตั้งแต่ Anakin vs. Obi-wan แล้วก็ Dave vs. HAL เลยมั้ง

The Bad & The Ugly:

  • ตอนดูจาก trailer เห็นว่าจะมีการรวมพลของโจรสลัดครั้งยิ่งใหญ่ และมีฉากกองทัพเรือขนาดใหญ่ และมี pirate lords จากทุกมุมโลกมารวมกันเป็นกองทัพ แล้วก็มีฉากรบกันระหว่างเรือรบในวังน้ำวนขนาดยักษ์ ..​ คิดว่าจะได้ดูสงครามกองเรือครั้งใหญ่ที่สุดแสนอลังการเสียอีก แต่ว่ากลายเป็นว่าพวก pirate lords มาเล่นตลกให้ดูเสียมากกว่าซะงั้น ฉากรบไม่มีเลย มีแต่ดีใจด้วยตอนท้าย
  • แต่ว่าถ้าเป็นแบบนั้น ฉาก duel ระหว่าง Black Pearl กับ Flying Dutchman จะด้อยลงไปหรืิอเปล่าก็ไม่รู้
  • ผมชอบภาคแรกกับภาคสองมากกว่าอ่ะ ด้วยเหตุผลส่วนตัวที่ว่าเป็นคนชอบตำนานเรือผีสิงมากๆ (ตั้งแต่ดู/อ่านโดราเอมอนกับปราสาทใต้สมุทร) แล้วภาคแรกนี่ Black Pearl เป็นเรือผีสิง+ต้องคำสาบ บรรยากาศวังเวง มืด ตลอดเรื่อง ฉากที่ Black Pearl โผล่มาล้างเมืองทั้งเมืองเจ๋งมาก ส่วนภาคสองนี่ Flying Dutchman เป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว บรรยากาศน่าสะพรึงกลัว และ Jones น่าเกรงขาม terrify มาก แต่ว่าภาคนี้มันไม่มีเรือปีศาจอ่ะ Flying Dutchman กับ Jones กลายเป็นอะไรไปก็ไม่รู้
  • สรุปว่าโจว เหวิน ฟะ (Chow Yun Fat) ไม่ได้มีบทบาทอะไรมากมายอย่างที่คิดไว้ แถมเหมือนกับตัวตลกอีกตะหาก
  • เช่นเดียวกับพวก Pirate lords ทั้งหลาย ที่ไม่ได้มีหน้าที่อะไรเล้ย ให้ตาย นอกจากมีช่วยเพิ่มความตลก (ที่ไม่ค่อยจะตลก) ให้กับเรื่องเท่านั้น
  • บางทีเราคิดนะ ว่านี่เป็นการเพิ่มตัวละครโดยไม่จำเป็นหรือเปล่า เพราะว่าแต่ละตัวที่เพิ่มเข้ามา น่าจะทำให้ลึก มีมิติกว่านี้ เหมือนกับในภาคแรก ที่แต่ละตัวมีมิติ มีความเป็นตัวเอง มี character อย่างชัดเจน แต่ว่าตั้งแต่ภาคสองแล้ว ที่ีตัวละครหลายตัวทำได้ตื้นเกินไป ไล่ตั้งแต่ Bill “Bootstrap” Turner เป็นต้นไปน่ะแหละ
  • James Norrington น่าจะมีมิติมากกว่านี้ เสียดายตัวละครตัวนี้มากเพราะว่าภาคแรกทำไว้ดีเชียว แต่ว่าเสียดายที่มิติและการพัฒนาของเค้ามันน้อยเกินไป จนจุดจบที่น่าจะเป็น tragic ending มันไม่ค่อยจะพาอารมณ์ไปถึงไหนเลย
  • เช่นเดียวกับตัวละครอีกหลายตัวที่มีบทบาทในภาคก่อนๆ แต่ว่ากลับไม่ได้รับ attention มากพอในภาคนี้ คงเพราะว่าภาคนี้มันตัวละครเยอะเกินไป เลยเกิดปัญหาปริมาณ vs คุณภาพ
  • ถึงจะชอบ Multiple Jack แต่ว่ามุขเม็ดถั่วนี่ไม่ get อย่างแรงอ่ะ
  • Plot ถึงผมจะชอบมากและคิดว่ารู้เรื่องก็เถอะ ผมเชื่อว่ามันก็ค่อนข้างซับซ้อนพอควร หลายคนอาจจะไม่รู้เรื่องและสับสน
  • ยังไงๆ ผมก็ว่าไอ้กองเรือกับพวก pirate lords ที่ยกกันมาเป็นโขยง น่าจะมีบทบาทหน่อยนะ

สรุปว่า เป็นหนังที่ดีมากเรื่องหนึ่ง ถึงผมจะชอบภาคก่อนๆ มากกว่าด้วยเหตุผลส่วนตัวก็เถอะ (เรื่องตำนานเรือปีศาจ เรือผีสิง etc) แต่ว่าด้วยความที่ปมปริศนาถูกเฉลยหมด ตัวละครมีบทสรุปที่ดีทุกตัว มีเรื่องสะเทือนใจ มีหลากหลายอารมณ์ เพลงประกอบ film score ที่ดีที่สุดเท่าที่ฟังมาเรื่องหนึ่ง (โดยเฉพาะฉาก final battle เชื่อผมเถอะ) และการแสดงของตัวละครหลายตัว (รวมทั้ง Keith Richards ด้วย) ทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่อยู่ใน favorite collection ได้ไม่ยาก ถ้าดูทั้งสามภาคยิ่งใช่เลย

My Rating: 8/10
IMDB Rating: 7.3/10 (จาก 57,079 votes)

Review: Spiderman 3

** อาจจะมี spoiler นะ ถึงหนังมันจะออกจากโรงไปแล้ว แล้วก็หมดกระแสแล้วก็เถอะ **

Long overdue มากสำหรับ review หนังเรื่องนี้ หลังจากที่ผมคิดว่าจะเขียนตั้งแต่ไปดูมาใหม่ๆ แล้ว มันจะได้สดกว่า แต่ว่าพอดีมีเรื่องยุ่งๆ มากมายมหาศาลพร้อมกับปัญหาร้อยแปด ก็เลยไม่ได้เขียนสักที แต่ว่าไหนๆ ก็เขียนแล้ว ก็อย่าเสียเวลาไปมากกว่านี้จะดีกว่าเนอะ อ่อ แล้วบอกไว้ก่อนนะ เรื่องนี้ผมขอไม่ review มันในฐานะของภาพยนต์มากมายนักเหมือนที่ผม review เรื่องอื่นๆ นะ แต่ว่าผมขอเน้นไปที่การตีความมันมากกว่า เพราะว่าถ้าจะให้ผม review แบบหนังล่ะก็ คงจะบอกได้ว่า ภาคนี้อาจจะดูไม่สนุกเท่าภาคก่อนๆ หรอกนะ ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง แต่ว่ามันมีอะไรหลายอย่างมากกว่านั้นเยอะครับ

โดยรวมแล้ว theme หลักของหนังเรื่องนี้มีอยู่ 3 เรื่องใหญ่ๆ คือ

  1. พัฒนาการของคำว่า “อำนาจ” หรือ “พลัง” ต่อจากสองภาคแรก
  2. เรื่องการตัดสินใจ การเลือก choice
  3. การลุกขึ้นมายืนใหม่หลังจากล้ม การลุกขึ้นมาเป็นตัวตนหลังจากเหลว

1. พัฒนาการของพลัง/อำนาจ

ในหัวข้อนี้นั้น หลังจากที่สองภาคแรกทำได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการเริ่มต้นจาก With great power comes great responsibility และต่อด้วย Intelligence is not a privilege … ซึ่งเป็นข้อความที่เตือนใจเรื่องการมีอำนาจหรือพลังวิเศษเหนือคนอื่น ว่าในการที่เราจะมีอะไรบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม จะยิ่งใหญ่หรือว่าจะเล็กน้อย เราก็ต้องมีความรับผิดชอบที่จะใช้มัน ต้องมีสำนึกและรู้ชั่วรู้ดี (ทั้งหมดนี้ ผมถือว่าคือความหมายของคำว่า responsibility นะ มันเป็นอะไรมากกว่า ความรับผิดชอบ) และยิ่งเป็นสิ่งที่มีพลังมากเท่าไหร่ ความรับผิดชอบที่จะต้องมี ก็ต้องมากขึ้นเป็นเงาตามตัวด้วย และในขณะเดียวกันพลังนั้นๆ ไม่ได้เป็นเครื่องมือเพื่อนำมาซึ่งสิทธิพิเศษหรืออภิสิทธิ์เหนือคนอื่น หากแต่เราต้องใช้มันเพื่อส่วนรวมเป็นหลัก เช่น

  • เทคโนโลยีหลายอย่างถูกนำมาใช้ในการสร้างเครื่องอำนวยความสะดวก เครื่องมือช่วยเหลือมนุษย์ชาติมากมาย แต่ในขณะเดียวกันเทคโนโลยีเดียวกัน มักจะนำมาซึ่งอาวุธทำลายล้างที่ร้ายแรงกว่าเดิม
  • เทคโนโลยีในการตกแต่งรูป ที่ทำให้หลายคนสวยขึ้นมาได้ในรูปถ่าย ก็กลายมาเป็นเครื่องมือทำร้ายคนได้เช่นเดียวกัน
  • อินเตอร์เน็ท เปิดโอกาสการทำธุรกิจใหม่ๆ การแลกเปลี่ยนข้อมูล การฯลฯ แต่ว่าในขณะเดียวกัน มันคือแหล่งก่ออาชญากรรมขนาดใหญ่ที่สุดในโลกในปัจจุบัน
  • ฯลฯ

ซึ่งทุกอย่างจะเห็นได้ว่าเป็นดาบสองคม ที่คมแรกคมเท่าไหร่ อีกคมมันจะคมมากขึ้นเป็นเงาตามเท่านั้น ซึ่งสิ่งที่ทำให้มันต่างกันก็คือ คน ที่เป็นผู้ใช้งานพลังอำนาจเหล่านั้น ซึ่งนอกจากที่จะต้องมีสำนึกและรับผิดชอบรู้ชั่วรู้ดีแล้ว ยังต้องใช้มันเพื่อสร้างประโยชน์ในเชิง the greater good อีกด้วย … แต่ว่าก็เช่นเดียวกับตัวอย่างข้างบนน่ะแหละ อีกนานเท่าไหร่ล่ะ ก่อนที่ความสามารถนั้นๆ จะถูกนำมาใช้ในทางที่ผิด เพื่อตัวเอง?

ซึ่งนั่นคือตัวตนของ Spiderman ในภาคนี้อย่างสมบูรณ์

ก่อนที่จะไปต่อ เราต้องไม่ลืมว่า Spiderman เป็นฮีโร่ที่ต่างจาก Batman และ Superman นะครับ จะว่าไปแล้วเค้าใกล้เคียงกับพวก X-men มากกว่า นั่นคือ เค้าไม่ได้เป็นฮีโร่โดยทางเลือกของตัวเอง แต่ว่ามันเป็นเรื่องที่เค้าไม่ได้เลือก และจะว่าไปแล้วไม่มีสิทธิ์เลือก เช่นเดียวกับที่คนเราเลือกเกิดไม่ได้

แต่ว่าอย่างไรก็ตาม Spiderman ก็ได้พลังอำนาจมาในมือ และในตอนแรกสุดนั้นเค้าก็คงต้องการที่จะใช้มันเพื่อประโยชน์ของทุกคน แต่ว่าจะมีบ้างไหม ที่บางทีเราจะรู้สึกว่า ชีวิตเรา สิ่งที่เราทำ มันกำลังทรยศหักหลังเรา และเมื่อเป็นเช่นนั้น เราจะเลือกใช้อำนาจนั้นเพื่อตัวเราเองบ้างหรือเปล่า หรือว่าง่ายกว่านั้นคือ

จะนานเท่าไหร่กัน ก่อนที่เราจะแพ้พลังของอำนาจนั้นๆ เอง และใช้มันเพื่อประโยชน์ของตัวเอง

และนั่นนำไปสู่ประเด็นที่ 2 ของเรื่องอย่างเนียนมากๆ

2. ว่าด้วย “ทางเลือก”

สิ่งที่ผมไม่ค่อยชอบในภาคนี้เทียบกับ Spiderman ภาคก่อนๆ ก็คือ มันไม่มีการเอาคำพูดคมๆ ไปยัดในเนื้อเรื่องอย่างเนียนๆ แต่ดันเอาไปไว้ตอนท้าย ทำให้มันเหมือนกับคำพูดปิดเรื่องมากกว่า อีกอย่าง เนื่องจากมันเหมือนกับเล่าเรื่องโดยมีปีเตอร์เป็น narrator มันทำให้คำพูดที่ว่าเนี่ย ยาวเกินไป เกินกว่าที่จะ quote มันได้แบบแม่นๆ เหมือนกับภาคก่อนๆ

ยังไงก็เถอะ มันเป็นบทสรุปของหลายๆ อย่างในเรื่องได้ดี ว่าชีวิตคนเรา ยังไงก็สามารถเลือกได้เสมอ

มีคำพูดของนักวิทยาศาสตร์หรือว่าใครสักคนนะ ที่ผมจำไม่ได้จริงๆ ว่าเป็นใคร บอกเอาไว้ว่า เมื่อเรามองกลับไปดูชีวิตเราทั้งหมด หลายคนจะเห็นภาพความหลัง หลายคนจะเห็นโน่นเห็นนี่ ที่เค้าอยากจะจำและไม่อยากจะจำ หลายคนเห็นสิ่งที่เคยทำ หรือว่าความฝันที่ไม่เป็นจริง ฯลฯ แต่ว่าสำหรับเค้าแล้ว เค้าเห็น

Sequence of Choices.

พอลองมาคิดแบบนี้ดูบ้าง เออ จริงแฮะ ชีวิตเราตัดสินใจตลอดเวลา ทั้งตัดสินใจทำ ไม่ทำ หรือว่าตัดสินใจที่จะไม่ตัดสินใจ … ทุกอย่างที่หล่อหลอมขึ้นมาเป็นชีวิตเราตอนนี้ มันก็ขึ้นกับ choice ที่เราเลือก ทางเดินที่เราเดิน ในเวลาเก่าๆ ในอดีตทั้งนั้นแหละ จะดีจะร้ายจะเรื่องอะไรก็ตาม มันก็เป็น choice ที่ทำให้เรามานั่งตรงนี้วันนี้ มีชีวิตแบบนี้วันนี้ ทุกอย่างที่เรามองเห็น ไม่ว่าจะเป็นภาพในอดีตหรือว่าอะไรก็แล้วแต่ มันเป็น sequence of choices จริงๆ

ใน Spiderman ภาคนี้ก็มีเรื่องแบบนี้ให้เห็นค่อนข้างชัดเจน มีการฉายภาพ flashback ถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้น การตัดสินใจกระทำ/ไม่กระทำสิ่งต่างๆ ของตัวละครแต่ละตัวค่อนข้างจะมาก แต่ว่าอย่างไรก็ตาม ประเด็นมันก็ยังเป็น ทางเลือก ที่คนเราจะมีเสมอ ไม่ว่าเราจะรู้สึกตัวหรือไม่ก็ตาม ทุกอย่างคือการ make choice ทั้งสิ้น

สำหรับบางทีเราอาจจะเจอสถานการณ์ที่เราคิด/รู้สึกว่า เราไม่มีทางเลือก แต่ว่าจริงๆ แล้วการที่เราต้องเจอเหตุการณ์แบบนั้น ก็เพราะว่า choice ที่เราเลือกมาก่อนหน้านั้น ไม่ใช่หรือ?

ตัวอย่างเช่น นักศึกษา (อีกล่ะ .. ชอบจริงๆ เรื่องนี้) บอกว่าไม่อยากจะลงวิชาบังคับบางวิชา แต่ว่าไม่มีทางเลือก . แต่ว่านั่นเป็นเพราะว่าเราเลือกมาเรียนสาขานั้นๆ ไม่ใช่หรือ? หรือว่าบางคนอาจจะยังบอกว่า ไม่ได้อยากจะเลือกเสียหน่อย พ่อแม่บังคับให้เรียนต่างหาก ก็ยังเป็นเรื่องของ choice บางตัวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นอยู่ดี

แต่ว่ายังไงก็แล้วแต่ ต่อให้มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่เกิดเลยก็เถอะ (แอบ check อายุนะ มันชื่อเพลง Nuvo) … หลังจากนั้น เราก็ยังมี choice อยู่ดี ว่าเราจะทำยังไงกับสิ่งที่ชีวิตมันเสนอให้เราหรือว่าบังคับให้เราต้องรับมันแบบนี้

ในความมืดย่อมมีแสงสว่าง และในแสงสว่างย่อมมีความมืด

ฉันใดก็ฉันนั้น จริงๆ แล้วเรายังคงมี choice อยู่เสมอ มันอาจจะแฝงตัวอยู่ลึกๆ ภายในสถานการณ์ที่เราคิดว่าเราไม่มีทางเลือกหรือว่าเราไม่ได้เลือก หรือว่าเราเป็นแบบนี้เพราะไม่มีทางเลือก ฯลฯ

หลายคนต้องทำงานที่ตัวเองเลือกไม่ได้ ไม่มีทางเลือก หลายคนอยากจะเป็นศิลปินแต่ว่าต้องไปทำธุรกิจอย่างอื่นที่ตัวเองไม่ชอบและไม่ถนัดและไม่มีใจ หลายคนอยากจะเป็นนักประวัติศาสตร์หรือว่านักโบราณคดีแต่ว่าต้องไปเรียนทางด้านอื่น หลายคนอยากและฝันอยากจะเป็นโน่นเป็นนี่แต่ว่าจังหวะชีวิตมันไปอีกทางหนึ่ง ฯลฯ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเสมอ

แต่ว่า ถ้าเรามองหา choice ในสถานการณ์เหล่านั้นล่ะ เส้นทางชีวิตอย่างที่มันเป็น อาจจะบรรจบสิ่งที่เราอยากให้มันเป็นได้สักวันหนึ่งล่ะน่า ถึงบางทีมันก็เหมือนจะหลงทางออกทะเลออกไปบ้างก็เถอะนะ ก็เหมือนกับ Spiderman ภาคนี้น่ะแหละ

เขียนมาถึงตรงนี้แล้วนึกถึงที่แมรี เจน วัตสัน พูดกับปีเตอร์ พาร์คเกอร์ แล้วขนลุกแฮะ …​ บางทีนี่อาจจะเป็น killer message ของภาคนี้ก็ได้นะ

เธอเป็นใครกัน

นั่นสินะ … แล้วก็ตอนจบที่ปีเตอร์พูดถึงแฮรี

He chose to be the best of himself

อืมมมม …. นั่นสินะ ไม่ว่าจะเป็นยังไงก็แล้วแต่ เราก็ยัง เลือกที่จะเป็นตัวเอง ให้ดีที่สุดได้ทั้งนั้นนี่นา

3. การลุกขึ้นมาเป็นตัวตนหลังจากเหลว

มีซักครั้งมั้ย ที่เราทำอะไรผิดพลาด ล้มเหลว ล้มแล้วล้มอีก จนบางทีเรารู้สึกเหมือนว่าตัวเองทำอะไรก็ผิดไปหมด หรือว่าบางที (ต่อจากหัวข้อที่แล้ว) โดนสถานการณ์ที่เราไม่ได้เป็นคนเลือกและรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถควบคุมอะไรได้ มันบีบเสียจนรู้สึกว่าไม่เหลือความเป็นตัวเองอีกแล้ว …. ก็คงมีบ้างแหละนะ ไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตาม … ซึ่งนี่คือประเด็นที่สื่อออกมาได้แบบ visual และ portray ให้อารมณ์ได้เยี่ยมที่สุดในเรื่อง Spiderman 3 เลยทีเดียว

ครับ .. ผมกำลังพูดถึง Sandman หรือมนุษย์ทราย ตัวร้ายตัวหนึ่งในภาคนี้ และฉากที่กำเนิด Sandman

ไม่ว่าจะเป็นภาพที่เค้าต้องถูกไล่ล่าจากตำรวจกับสิ่งที่เค้าได้ทำลงไปอย่างไม่ตั้งใจ การที่พลาดตกลงไปในบ่อทดสอบการย่อยสลายโมเลกุล แล้วโดน demolecularize จนกลายเป็นทราย

นั่นคือภาพลักษณ์ของ การสูญเสียตัวตน เพราะว่าการบีบคั้นของสถานการณ์ จากคนอื่นๆ ที่ไม่ได้ยี่หระว่าเค้ากำลังทำอะไรกับชีวิตเรา ขอเพียงให้เค้าได้ทำอย่างที่เค้าต้องการเป็นพอ ซึ่งบางทีการที่เราเจอเช่นนั้นก็เป็นเรื่องบังเอิญและเป็นจังหวะของชีวิต … ทำให้ตัวตนของเรา (ใช้ชีวิตจริงจะเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ ความตั้งใจ อุดมการณ์ ฯลฯ ตัวตนในเชิงนั้น)

ฉากที่ผมเห็นแล้วขนลุกที่สุด คือฉากที่เม็ดทรายค่อยๆ วิ่งกลับมารวมตัวกันเป็นรูปร่าง ซึ่งตอนแรกก็ยังไม่ค่อยเป็นรูปร่างเท่าไหร่ แต่ว่าเมื่อความทรงจำของเม็ดทรายเหล่านั้น ได้มองเห็นจี้ห้อยคอที่มีรูปลูกสาวของ Flint Marco อยู่ ก็พยายามคว้าจี้นั้น แต่ว่าไม่สามารถที่จะคว้ามาได้ .. เม็ดทรายแตกสลายไปอีก พร้อมกับใบหน้าที่กำลังจะท้อแท้ต่อชะตากรรมของสิ่งที่กำลังจะกลายเป็นมนุษย์ทราย

ถ้าเม็ดทรายที่กำลังจะมารวมตัวกันเป็นรูปเป็นร่างนั้น ยอมแพ้ต่อทุกอย่าง เค้าก็คงจะกลายเป็นเพีียงแค่ฝุ่นทรายในสายลม รอให้ทุกอย่างถูกพัดกระจัดกระจาย หายไป สลายไปตามกาลเวลาอย่างไม่มีวันกลับคืนมาได้อีกครั้ง

แต่ว่านี่ไม่…​ เม็ดทรายรวมตัวกันเป็นรูปทรง รูปร่างที่แน่นอนขึ้น เหมือนเดิมมากขึ้น และ Flint Marco ก็กลับมาอีกครั้ง ในฐานะของ Sandman ที่มีพลังอำนาจอะไรบางอย่างเช่นกัน และเค้าก็เลือกที่จะใช้อำนาจนั้นไปในทางเดิมที่เค้าต้องการ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์เดิม นั่นคือ ช่วยลูกสาว ด้วยการปล้นหาเงิน

ประเด็นก็คือ บางครั้งที่เราสูญเสียความเป็นตัวเอง เสียความตั้งใจ เสียอะไรก็แล้วแต่ … เราก็ยังคงมีทางกลับมาได้ ตราบใดก็ตามที่เรายังจะ make choice ที่จะ be the best of yourself อยู่ ซึ่งบางทีมันก็ต้องอาศัยความพยายามปะติดปะเศษเสี้ยวเล็กน้อยของทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยสร้างเคยมีไว้ เพื่อกลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง แต่บางครั้ง กำลังจะไปได้ กลับมาได้อยู่แล้วเชียว กลับต้องพักสลายล้มลงไปอีกครั้ง ….

Visual ในหนังเรื่องนี้ทำได้น่าขนลุกจริงๆ แฮะ น้ำตาจะไหลเอาเสียด้วย … เพราะว่า Sandman ต้องล้มแล้วล้มอีก โดนลมพัดแล้วพัดอีก แต่ว่าด้วยอะไรล่ะที่ทำให้เค้ากลับมาอีกครั้ง?

ความมุ่งมั่นที่จะเป็นตัวเอง

แล้วอะไรล่ะ ที่เป็นนิยามของ ตัวเอง? อืมม มาถึงตรงนี้ผมคงจะต้องนอกเรื่องสักหน่อยแล้ว อยากจะถามอะไรอย่างว่า เรานิยามตัวเองด้วยคำว่า ตัวเอง เพียวๆ ได้หรือ? หรือว่าเพียงแค่เราจะทำให้เราเป็นอย่างที่เป็นในวันนี้ มีความคิดแบบนี้ได้หรือ? ….​ ผมชอบปรัชญาของคำว่า Ubuntu นะ (ใช่ Ubuntu Linux น่ะแหละ) ที่ว่า

เราเป็นเรา เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกคน ที่อยู่รอบตัวเรา

สีขาวเป็นสีขาวไม่ได้สินะ ถ้าไม่มีสีอื่นทุกสีที่ไม่ใช่สีขาว ถ้าไม่มีสงครามหรือความขัดแย้ง เราก็คงไม่เข้าใจคำว่าสันติภาพสินะ ถ้าไม่มีทุกอย่างรอบตัวเรา สถานการณ์ทุกอย่าง คนทุกคน สิ่งทุกสิ่ง ที่ก่อให้เกิด sequence of choices ที่เราต้อง make ในชีวิต … เราก็คงไม่ใช่ตัวเราสินะ

อืมมม แต่ว่านิยามแบบนั้นมันก็คงจะกว้างไปนิด เอาให้มันแคบลงมาหน่อยจะดีมั้ย … ในภาพยนต์ ตอนที่ Sandman จะกลับมาเป็นตัวเองได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดสิ่งนั้นสิ่งเดียวคืออะไรล่ะ

ความรู้สึกต่อสิ่งที่เราผูกพันด้วย และความผูกพันนั้นๆ อุดมการณ์และความตั้งใจต่อสิ่งนั้นๆ คือสิ่งที่เป็นตัวเรา

นี่คือสิ่งที่ผมสรุปได้ ไม่ว่าสิ่งที่เราผูกพันนั้น จะเป็นคน เป็นความตั้งใจ หรือว่าเป็นอะไรก็แล้วแต่ก็ตามเถอะ ถ้างั้นเขียนใหม่เอาไหม

ความมุ่งมั่นตั้งใจ อุดมการณ์ที่เรามีต่อสิ่งที่เรารู้สึกผูกพักและมีความผูกพันด้วยอย่างยิ่ง

นั่นแหละ คือสิ่งที่ทำให้เรากลับมาได้ ไม่ว่าเราจะล้มลงไปกี่ครั้งก็ตาม

ซึ่งในหนังเรื่องนี้ ก็เห็นมีการเล่นกับ การกลับมาเป็นตัวเอง เพื่อสิ่งที่ตัวเองรักและผูกพัน มากมาย นอกจาก Flint Marco แล้วก็ยังมีตัว Spiderman เอง แล้วก็แฮรี ที่กลับมาขโมยซีนในตอนจบอีกด้วย ถึงแม้บางครั้งในการที่จะกลับมาเป็นตัวของตัวเองได้นั้น เราจะต้องต่อสู้กับตัวเองก็เถอะ

ซึ่งนี่ทำให้ผมมองว่า ฉากที่ Spiderman ขึ้นไปบนยอดโบสถ์ เพื่อต่อสู้กับตัวเอง ถอดชุดสีดำของตัวเองออก นั้นเป็นฉาก Climax battle ของภาคนี้เลย ซึ่งก็ทำได้ค่อนข้างดีทีเดียว

อืมมม ตีความกันไปพอหอมปากหอมคอนะ หรือว่าเยอะเกินไป แต่ว่าเอาเป็นว่าผมขอจบรีวิวเรื่อง Spiderman 3 ไว้แค่นี้

ดูหนัง นอกจากดูเพื่อสนุก เพื่อบันเทิง เพื่อหลีกหนีจากสิ่งที่เป็นในชีวิตจริงได้ชั่วครู่ชั่วคราว ก็อย่าลืมเอามันกลับมาคิดกับชีวิตจริงนะครับ …​บางทีเวลาท้อๆ เวลาที่เราล้ม เวลาที่เราเหนื่อยใจ เราอาจจะมีกำลังใจกลับมาเป็นตัวเองอีกครั้งก็ได้

IMDB Rating: 6.8/10 (ณ ขณะที่เขียน จาก 67,469 votes)
My Rating: 8.5/10

สรุปจบ: ถ้าจะดูเอาสนุกเข้าว่า เอามันส์เข้าว่า และมีข้อคิดให้คิดได้พอสมควร และขายความเป็น Superhero สุดๆ ภาคนี้ทำสู้ภาค 2 ไม่ได้แบบกรรมการไล่ลงจากเวที แต่ว่าถ้ามองในแง่ที่กว้างขึ้น ว่าเป็นการพยายามขายปรัชญาบางอย่างของชีวิต ประเด็นเดิมที่ลึกกว่าเดิม และ subtle กับจิตใจมากกว่าเดิม ขายความเป็น Peter Parker ที่เป็นคนธรรมดา ที่ได้พลังอำนาจอะไรบางอย่างมาและสุดท้ายต้องมาต่อสู้กับมัน เพื่อให้เป็น Superhero อีกครั้ง ….​ ผมชอบภาคนี้มากที่สุด