ดูบอล สะท้อนงาน

ว่าจะเขียนเรื่องนี้มาตั้งแต่ก่อนฝรั่งเศสแข่งนัดสุดท้ายแล้ว แต่ยังไม่ได้เขียนสักที ขอเขียนสักหน่อย ไหนๆ ช่วงนี้ฟุตบอลโลก 2010 ที่ประเทศอัฟริกาใต้ ก็ใกล้จะถึงจุดไคลแมกส์แล้ว พร้อมกับหน้าตา 4 ทีมสุดท้าย คือ อุรุกวัย เยอรมัน สเปน และเนเธอแลนด์ ส่วนทีมที่ตกรอบไปแล้ว ก็นอกจากนี้ทั้งหมด รวมถึงทีมเต็ง ไม่ว่าจะด้วยชื่อชั้นของประเทศ หรือผู้เล่น อย่างบราซิล ฝรั่งเศส อังกฤษ อิตาลี

ผมไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์ฟุตบอล หรือการทำงานของผู้จัดการทีมคนไหนในฟุตบอลโลกนะครับ ผมเชื่อว่าทุกคนก็ทำเท่าที่เค้าจะทำได้แล้ว แต่ผมอยากจะมองมัน แล้วนำกลับมามองสะท้อนข้อคิด ข้อสังเกต ลงไปที่การทำงานสักหน่อย โดยผมอยากจะมองในลักษณะของ System Thinking ซึ่ง The Whole is greater than sum of its part โดยก่อนอื่นผมขอเอาทวีตที่ผมทวีตในสัปดาห์ก่อนมาใส่ตรงนี้ก่อนละกันนะครับ ใส่แบบไม่ดัดแปลงใดๆ ไม่เพิ่มไม่ลด และตามลำดับการทวีตครับ

  • ฝรั่งเศส เป็นตัวอย่างที่ดีของการมี 11 parts ที่สุดยอด แต่ whole (team) ที่ล้มเหลว เต็มไปด้วยปัญหาภายใน และไร้ซึ่ง team spirit
  • องค์กรทั้งหลายดูไว้ และคิดให้ดี ว่าเหมือนกับองค์กรท่านหรือเปล่า ที่มีแต่อยากได้สุดยอดบุคลากร แต่อย่างอื่นๆ เหมือนทีมชาติฝรั่งเศส
  • อย่าแก้ปัญหาที่เกิดจากการไร้ระบบการเล่น ไร้การประสานงาน ไร้ทีมสปิริต ด้วยการเอาผู้เล่นเก่งๆ เข้าทีม
  • เพราะเค้าจะเก่งแค่ไหน ทำได้อย่างมากก็แค่ประคองทีม แบกทีมไว้บนบ่า ใช้ความสามารถได้ไม่เต็มที่ มีแต่ปัญหา และสุดท้ายเค้าก็ไป
  • ถ้าผู้เล่นคนนั้นเป็นกองหลัง จะเสียคนเพราะกองกลางเกียร์ว่าง ปล่อยให้หลุดมาทุกอย่าง วิ่งสะกัดแค่ไหน ก็ไม่อยู่ ขึ้นไปทำประตู เพื่อนด่า
  • ถ้าผู้เล่นคนนั้นเป็นกองกลาง วิ่งพล่านเชื่อมเกม แต่คนอื่นๆ ไม่สนใจ ก็แค่ยืนๆ ตำแหน่งตัวเองไป จ่ายบอลไม่วิ่ง ถวายบอลให้ไม่ยิง ก็แย่
  • ถ้าผู้เล่นคนนั้นเป็นกองหน้า จะเอาบอลจากไหนมายิง เพราะไม่มีคนส่งให้ ไม่มีคนทำเกม ลงมาล้วงบอลเอง เหนื่อย
  • ถ้าผู้เล่นคนนั้นเป็นประตู รับรองว่ารับเละ ตะโกนสั่งกองหลังก็เฉย แถมเป็นแพะรับบาปที่ง่ายที่สุด ไม่เสียคนก็ดีแล้ว

ลักษณะผู้เล่นแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนเก่งในการเป็นกองหน้าตัวจบสกอร์ ซึ่งโดยลักษณะแล้วไม่ควรต้องลงมาล้วงลูกเองตั้งแต่ในแดนตัวเอง เพื่อทำเกม บางคนเป็นตัวเชื่อมเกม ระหว่างกองหลังกับกองหน้า บางคนเป็นตัวจ่าย มี Killer Pass สวยๆ ทีเดียวหลุดไปถึงประตู บางคนเป็นปีกที่มีความเร็วสูง ซิกแซกได้ทุกช่อง ก่อนจะเปิดให้กองหน้าจบสกอร์

ประเด็นคือ “ฟุตบอลเป็นเกมของ 1 ทีม ไม่ใช่ผลงานของ 11 ผู้เล่น”

มาดูอีกตัวอย่างหนึ่ง

  • อาร์เจนติน่า เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้ ในการมี 11 parts ที่ดีมาก และทีมที่ประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง
  • การไม่เลือกตัวผู้เล่นบางตัวเข้ามาในทีม เพื่อให้เป็น 11 parts ที่สุดยอด อาจเป็นผลบวกกับทีมของอาร์เจนติน่า เนื่องจากการมี part บาง part อยู่ใน whole มันทำให้ whole เสีย เพราะว่ามันเป็น incompatible parts เป็น part ที่ทำให้ whole เสีย กลายเป็น part หรือ sub-whole หลายๆ ส่วนอย่างสมบูรณ์
  • อาร์เจนติน่า มีทีมสปิริตที่ดีมาก (จากที่เห็น และรับข่าวสารมา)
  • แต่ …. แต่ …. อาร์เจนติน่าเป็นทีมที่ไร้ซึ่งระบบการเล่น ระบบการทำงานประสานกันอย่างชัดเจน เป็นทีมที่เล่นด้วยความสามารถเฉพาะตัวของผู้เล่นไม่กี่คน ที่ต้องแบกรับภาระของการพาทีมไปข้างหน้า และคนที่ยิ่งเก่ง ยิ่งต้องแบกภาระหนัก เป็นธรรมดา ซึ่งในกรณีของอาร์เจนติน่านี้ก็คือ Lionel Messi ที่ค่อนข้างจะแบกทีมไว้ทั้งทีม

มันพูดง่ายนะ ว่าแพ้ก็แพ้ทั้งทีม ชนะก็ชนะทั้งทีม เล่นเพื่อทีม แต่วิธีการเล่นก็ยังเล่นกันแบบส่วนตั๊วส่วนตัว การประสานงานแบบเป็นรูปธรรมไม่ค่อยมี มีแต่ลุยกันไปเอง จ่ายให้คนอื่นเฉพาะเวลาที่ตัวเองตัน และไม่ค่อยไปช่วยกันเล่นต่อ ให้อีกคนไปตายเอาดาบหน้าเอง

ในกรณีที่โจทย์ง่ายพอ (นั่นคือทีมที่ค่อนข้างห่างชั้นกับอาร์เจนติน่า) การเล่นแบบนี้จะใช้ได้ผลค่อนข้างจะโอเคในระดับหนึ่งเลยทีเดียว เนื่องจากผู้เล่นแต่ละคนเก่งมาก ดังนั้นก็จะหาทางเอาตัวรอดเองไปได้เรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่าง Messi ที่หลายทีเอาตัวรอดได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ถ้าโจทย์มันยากขึ้นมา จะเจอปัญหาทางตันหลายอย่าง ซึ่งวิธีการแบบนี้จะลำบากขึ้นมา ถึงจะมีโอกาสยิง โอกาสจบสกอร์ ก็ไม่ใช่ว่ามันจะมาเรื่อยๆ เหมือนกับมีระบบสายพานผลิตโอกาส โดยเฉพาะในกรณีโดนกดดัน ยิ่งความกดดันยิ่งสูง ยิ่งกรณีใกล้ล้มเหลว จะเห็นข้อเสียของทีมที่เล่นแบบชายเดี่ยว 11 คน ที่ “เล่นเพื่อทีม ด้วยวิธีการของตัวเอง” มากขึ้น

ซึ่งเห็นได้ชัดในนัดที่เจอกันเยอรมัน เมื่ออาร์เจนติน่าเสียประตูก่อน และเสียประตูเร็ว ทำให้อาร์เจนติน่าต้องอยู่ในภาวะกดดันที่ว่านี้ และการทำลายอาร์เจนติน่าด้วยวิธีง่ายๆ คือ “การไม่ให้ Messi เล่นบอลได้” พอกำลังจะทำอะไร ก็เข้าไปกวนเข้าไป กวนเข้าไป ให้หันหลังให้กับประตู (Goal; เป้าหมาย) ซะ ก็หมดเรื่อง ต่อให้เก่งเหนือมนุษย์แค่ไหน ก็ทำอะไรไม่ได้มาก ยิ่งคนที่มารุม เป็นคนที่ “รุมตามแผน ตามกระบวนการ และมีวินัยในการรุม” ด้วยแล้ว ยิ่งไปใหญ่ เมื่อผู้เล่นได้บอล การส่งบอลขึ้นหน้าแต่ละครั้ง เป็นการส่งให้ผู้เล่นแต่ละคน ซึ่งแม้ความสามารถเฉพาะตัว และจินตนาการในการเล่น จะสูง ก็เหมือนส่งไปเจอทางตัน และไม่ลงท้ายที่เป้าหมาย (Goal; ประตู)

อย่างน้อยกรณีของอาร์เจนติน่า ก็ยังดีกว่ากรณีของฝรั่งเศส ที่ความเชื่อมั่นกันเองในทีมมีสูงกว่า ผู้เล่นทุกคนเชื่อใน Maradona และ Messi และเล่นเพื่อทีม ดังนั้นผลมันก็เลยออกมาดีระดับหนึ่ง แผนการเล่นเดียวของอาร์เจนติน่าที่ผมเห็น คือ จ่ายบอลให้อีกคน ด้วยความเชื่อว่าเค้าจะเอาตัวรอดได้ และบรรลุเป้าหมายได้ โดยที่ไอ้ “อีกคน” ที่ว่าเนี่ย มักจะเป็นคนที่พิสูจน์แล้วว่า “เก่งที่สุดในโลก” คนหนึ่ง …. ดังนั้นกรณีที่คนอื่นไม่อยากให้ทีมนี้ประสบความสำเร็จ ก็ง่ายครับ หาทางขวางคนเหล่านี้ให้ได้ เป็นอันจบ

ข้อคิดแรงๆ ที่ได้จากเรื่องนี้ทั้งหมดก็คือ กระบวนการทำงาน การซักซ้อมความเข้าใจในกระบวนการ การเล่นตามกระบวนการ และการมีวินัยในกระบวนการ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ยิ่งเมื่อได้ผู้เล่นที่ดีมาก มาเล่นในกระบวนการที่สุดยอด จะเอาชนะคู่แข่ง ที่มีผู้เล่นระดับสุดยอด แต่ไร้ซึ่งกระบวนการได้ไม่ยาก แม้ว่าสุดยอดผู่เล่นเหล่านั้น จะเล่นเพื่อผลของทีมก็ตาม มันสู้ทีมที่สร้างระบบเพื่อผลสำเร็จสูงสุดตั้งแต่ต้นไม่ได้หรอก

ประเด็นคือ “ฟุตบอลเป็นเกมของทีม ไม่ใช่แม้แต่ 11 ผู้เล่นที่เล่นเพื่อทีม แต่เล่นตามใจ” ครับ

ทีมจากเอเซียหลายทีม เข้าข่ายนี้ครับ คือ มีระบบทีมที่ดี มีวินัยที่ดีในการเล่นตามกระบวนการ ตามระบบที่สร้างและวางไว้ ดังนั้นถึงความสามารถเฉพาะตัวจะสู้ไม่ได้ แต่ทีมทั้งทีมมันสู้ได้ สูสี แพ้ชนะไม่น่าเกลียด

วันนี้พอแค่นี้ก่อน จบบอลโลกจะเขียนต่อนะครับ

ฝากไว้ครับ ลองอ่านประเด็นที่เกี่ยวข้องใน Positive Thinking in Petsitive World ด้วยนะครับ

2 แชมป์!

เมื่อคืนหายใจหายคอไม่ทั่วท้องเลย เพราะว่าดูบอลนัดชิงชนะเลิศ UCL ระหว่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สุดที่รักที่เชียร์มาตั้งแต่ปี 86 กับเชลซี

ครึ่งแรกด้วยความที่เพลียจัด ก็เลยไม่ได้ดูช่วงเปิดเกม (เขี่ยลูกแล้วผมก็หลับไป) ตื่นมาอีกทีนาทีที่สามสิบ สรุปว่านำอยู่ 1-0 แล้วรูปเกมค่อนข้างเป็นต่อมากพอควร ด้วยความสบายใจ ยิ้มได้ หลับไปอีกแป๊บนึง ตื่นมาอีกทีเห็นภาพบาดตาพอดี ….. 1-1 ครับ

พอครึ่งหลัง สยองโคตร เชลซีเล่นน่ากลัวมาก เรียกว่าหนังคนละม้วนกับครึ่งแรกเลย รอดมาได้แบบโชค โชค โชค และโชคจริงๆ ตั้งหลายครั้ง ในขณะที่แมนฯ ยูฯ แทบจะทำอะไรไม่ได้ กดดันอะไรกลับไม่ได้เลย มีวูบวาบบ้างเป็นบางครั้งเท่านั้นเอง

ตอนยิงลูกโทษ …​ทำไมเมื่อคืนเห็นโรนัลโด้แล้วสังหรณ์แปลกๆ ไม่รู้ แล้วมันก็ไม่เข้าจริงๆ ตอนนั้นรู้สึกว่าคงจะแพ้ล่ะ

แต่ว่าก็ โชค โชค แล้วก็โชค อีกน่ะแหละ…. ที่ทำให้รอดมาได้ ต้องต่อด้วยการยิง Sudden Death อีกที

รักฟาน เดอร์ ซาร์ มากว่ะ เมื่อคืน (ถึงจะทำเสียวทั้งเกมด้วยการลื่นแล้วลื่นอีกก็เถอะ)

แมนยู – บาร์ซ่า

ไม่ได้ดูนะ แต่ว่าฟังเค้าเล่ามาเยอะ และอ่านสถิติการครอบบอล การยิงประตู การทำเกม

นึกถึงความทรงจำห่วยๆ จากเกมที่เห็นแมนยูแข่งกับบาร์ซ่าเต็มๆ เกมครั้งแรก วันนั้นต้องเรียกว่าโดน Out-class อย่างสิ้นเชิง หรือว่าจะโดน Onslaught เลยก็ว่าได้

โดนยำเละ 4-0 และรูปเกมแย่กว่าที่แพ้มิลานเละเทะ (มิลานเล่นเหมือนซ้อมใหญ่) เมื่อปีก่อนอีก

ก็ยังดีที่คราวนี้เสมอแฮะ

ช่วงนี้แมนยูเริ่มกลับมาลูกผีลูกคนอีกล่ะ หลังจากดีๆ มาตลอดพักนึง เสมอแบบเกือบแพ้มาสองหนติดๆ คิดถึงอังคารหน้าแล้วสยองยังไงไม่รู้ ขอให้คืนฟอร์มหน่อยเถอะ ไม่งั้นคงจะหัวใจสลาย เพราะปีนี้นับว่าฟอร์มมาดีมาก คิดแล้วมีหวังได้สองแชมป์ ถ้าไม่ได้ซักแชมป์นี่คงจะเซ็งพิลึก

Man Utd 0-0 Reading

  • เปิดฤดูกาลใหม่ เปิดบ้านเสมอซะงั้นน่ะ เท่าที่ดูนะ สรุปได้เลยว่า เล่นดี ไม่มีดวง
  • จังหวะสุดท้ายหาความเด็ดขาดไม่ได้ ทั้งการทำประตูและการส่งเข้าไปในจังหวะสุดท้าย
  • ขึงพืดเค้าได้เกือบหมด เล่นในแดนคู่ต่อสู้เสียเกือบหมด แต่ว่าทำไม่ได้ เขกหัวตัวเองไปซะเถอะ
  • รูนี่ย์เจ็บ ท่าจะยาวด้วย เอาล่ะสิ คราวนี้จะเป็นยังไงล่ะ ขายกองหน้าออกไปกันดีนัก
  • ตอนท้ายเกมที่ Reading บุกกลับมาได้บ้าง นี่เสียวจะโดนยังไงก็ไม่รู้
  • เกมลื่นไหลดีมากๆ แต่ว่าอย่างที่บอกน่ะแหละ การส่งจังหวะสุดท้ายเพื่อเข้าทำ ขาดๆ เกินๆ และการทำประตูเมื่อได้โอกาสไม่เด็ดขาดพอ
  • เอฟรา เล่นกองกลางได้ OK เลยนะ แต่ว่าจังหวะยิงยังไม่ค่อยจะกล้าหรือว่าหวังพึ่งได้มาก
  • โรนัลโด้ แทบจะกลายเป็นที่พึ่งเดียวของทีมอีกล่ะ โดยเฉพาะหลังจากที่รูนี่ย์เจ็บต้องออกไปนะ จริงๆ เค้าน่าจะทำประตูได้นะ
  • นานี่ ยังดิบอยู่ ยังต้องดูยาวๆ แต่ว่าเท่าที่ดู หวือหวาดีเอาเรื่อง ประสิทธิภาพยังค่อนข้างต่ำอยู่ แต่ว่าอย่าเพิ่งตัดสินเขาเลย บอลนัดเดียว ให้เด็กมันมั่นกว่านี้หน่อย
  • โอเช เทพจับฉ่าย วันนี้เล่นหน้าซะด้วย เกือบทำได้ซะด้วย สรุปป๋าอยากจะให้เอาดีด้านไหนแน่หว่า เดี๋ยวก็สับสนตัวเองตายหรอก ยังมีตำแหน่งไหนบ้างเนี่ยที่ยังไม่โดนจับเล่น
  • เฟลชเชอร์ มีเวลาน้อยมากในการเล่น แต่ว่ากล้าดีนะ มีสีสันมากขึ้นเยอะแบบไม่น่าเชื่อ ข้อดีของหมอนี่ในช่วงหลังๆ คือทุ่ม อยู่แล้ว แต่ว่านั่นแหละ ถ้าข้อดีคือทุ่มเท แล้วทำไมทีสมิท ไม่เก็บไว้ฟะ
  • ชักคิดถึงสมิทกับรอซซี่ซะแล้วสิ อย่าให้เตเวสเจ็บอีกคนเลยให้ตายเถอะ เพราะว่าไม่งั้นได้เห็นโอเชคู่โด้เป็นกองหน้านี่ดูไม่ค่อยจะจืดเท่าไหร่หรอกนะ ถึงโด้มันจะยิงได้เยอะก็เถอะ
  • ตอนท้ายเกมนี่ สยองจริงๆ
  • ไม่วิเคราะห์รูปเกมนะ มันเหนือกว่าเยอะจนไม่รู้จะเหนือยังไงจริงๆ แต่ว่าไม่มีดวง + ทำไม่ได้เอง

Manchester United 2007-2008

หลังจากปีก่อนมีลุ้น 3 แชมป์ แต่ว่าเป๋ไปใน UCL รอบรอง แล้วก็แป้กใน FA Cup รองชิง เลยได้ติดมากลับบ้านมาแชมป์เดียว อืมมม ขอสรุปความคิดตัวเองกับปีก่อนหน่อยละกัน

เรื่องดีๆ:

  • C. Ronaldo เป็นยอดผู้เล่นเลยแฮะเมื่อปีก่อน จะว่าหมอนี่ทำให้ได้แชมป์ก็ไม่ผิดหรอกนะ
  • พวกตัวเก๋า G. Neville, P. Scholes, R. Giggs, O.G. Solskjaer นับวันยิ่งจะเหลือเวลาน้อยลงไปเรื่อยๆ นะ เลยเล่นทุกนัดเหมือนกับนัดสุดท้ายเข้าไปทุกที determination ถือว่าเยี่ยม พวกเด็กๆ ต้องเอาตัวอย่างอีกเยอะ แล้วก็ E. van der Sar ก็ยังคงไว้ใจได้ทุกครั้้งที่น้าลงเล่นละนะ ถึงจะมีข่าวว่าจะเสียตำแหน่งมือหนึ่งในปีหน้าก็เถอะ
  • ระบบการเล่น ให้ตายเถอะ หลังจากเห็นผีที่แสนน่าเบื่อมาหลายปี (4-5-1 เฮงซวย) ก็ค่อยยังชั่วหน่อย เห็น power ในเกมแบบนี้ ลื่นไหลดี ประสานกันดี แต่ว่าวันไหนน้องโด้แป้ก วันนั้นก็มุกตันซะดื้อๆ ได้เหมือนกันนะ เล่นไม่ออกเลย

เรื่องกลางๆ:

  • M. Carrick ถือว่าสอบผ่านน่ะแหละ ยิ่งมีค่าตัว 18 ล้านวางอยู่บนบ่า แต่ว่ายิ่งเห็นหมอนี่เล่น ยิ่งมีความรู้สึกว่า ต้องการกลางรับดีๆ สักตัวมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าไม่ว่าเล่นคู่กับใคร คนนั้นจะต้องทำเกมรับอย่างเสียไม่ได้ทุกที คู่กับ Scholes ก็เห็นการทรมานคนแก่ (วิ่งรับยันวิ่งรุก) เล่นกับ Fletcher ก็เห็น Fletcher กลายเป็นตัวรับ
  • ดาราเทพบางองค์ D. Fletcher, J. O’Shea ปีนี้เล่นดี O’Shea นี่ยิ่งประตูสำคัญได้หลายลูกปีนี้ ส่วน Fletcher นี่ขยันเป็นพิเศษมากๆ ในหลายๆ เกม
  • ตัวสำรองหลายตัว เล่นแทนตัวจริงได้อย่างไม่ค่อยจะเนียนนะ แต่ว่าก็ช่วยๆ ฝืนให้มันผ่านไปได้ คอยลุ้นให้น้องโด้สร้างปาฏิหาริย์

เรื่องแย่ๆ:

  • อาการบาดเจ็บ อันนี้ไม่ต้องพูดถึง ตอนท้ายนี่แทบจะไม่เหลือผู้เล่นแนวรับที่เชื่อใจได้แล้ว
  • K. Richardson หมดสิ้นคำบรรยายสำหรับไอ้หมอนี่ ใครช่วยเอามันไปเก็บไกลๆ หน่อยจะได้มั้ย
  • การเล่นที่ขึ้นกับผู้เล่นคนเดียวมากเกินไป … วันไหนน้องโด้เล่นไม่ออกนี่ วันนั้นเหมือนมุกมันจะแป้กกันทั้งทีมเลยนะ ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า
  • K. Richardson ขออีกทีเถอะ ..​ รับมันไม่ได้อย่างรุนแรง

ส่วนปี 2007-2008 ที่จะถึงนี้ ท่าทางจะสนุกดีไม่เลวเลย เพราะ

  • Hargreaves, Nani กับ Anderson … 4-2-3-1 น่ากลัวชะมัด ถ้าเล่นกันออก ปรับตัวกันได้นะ Hargreaves นี่คงจะเป็นตัวรับที่ผีตามหามานานเหมือนกัน จะได้มีตัวรับอาชีพเล่นคู่กับ Carrick/Fletcher ซะที (จริงๆ Fletcher ก็เล่นตัวกลางไม่เลวนะ) ส่วนไอ้แผง 3 หลังศูนย์หน้านี่ …​ ท่าทางจะน่ากลัว
  • ถ้าเล่นหน้าตัวเดียวจริง ก็คงไม่ต้องไปควานหากองหน้าระดับโลกตัวใหม่หรอกมั้ง ไม่มีตังค์ แต่ว่าเห็นได้ข่าวว่าอาจจะได้ Saviola มาหรือเปล่าก็ไม่รู้ ท่าทางจะไม่ค่อยเหมาะกับบอลอังกฤษนา แต่ว่าไอ้แผง 3 ตัว นี่มันไ่ม่ใช่สไตล์อังกฤษซักคนนี่หว่า อาจจะไหวมั้ง
  • Nani, Anderson คงเป็นตัวแทน Giggs, Scholes ที่ดีได้นะ แล้วคงช่วยได้เยอะ ในวันที่น้องโด้เล่นไม่ออก
  • ขอร้องเถอะ ..​ทำอะไรซักอย่างกับกองหลังได้มั้ย? ปีที่แล้วเล่นเอาเสียวสันหลังไปหลายนัดเหมือนกัน แถมกองหลังผีนี่ ชอบเจ็บหนักพร้อมๆ กันอีกตะหาก
  • ให้พวกเด็กๆ ที่ high-profile แล้วก็ค่อนข้างมีชื่อ+ประสบการณ์จากที่อื่นแล้ว เช่น G. Rossi, G. PIque เล่นบ้างเถอะนะ ได้โปรด ไม่ให้เด็กมันเจอสนามจริงเลย แล้วมันจะเก่ง/มีประสบการณ์พอให้ใช้ได้ไงล่ะ
  • Ben Foster ว่าที่มือหนึ่งใหม่เจ็บซะล่ะ … แต่ว่ายังไม่เคยเห็นหมอนี่เล่นจริงๆ จังๆ เลย ไม่รู้จะเชื่อใจได้แค่ไหน ดีกรีทีมชาติอังกฤษนี่บางทีมันวัดอะไรไม่ได้หรอก ตัวเก่งๆ หลายตัวก็ไม่เคยติด แต่ว่าห่วยๆ ที่อยู่ทีมใหญ่ๆ ดันติดกันเป็นว่าเล่น (ขนาดเจ้าเงาะ K. Richardson นี่ก็ดีกรีทีมชาตินะ)

สรุปว่า น่าลุ้นพอควรแฮะปีนี้ คอยดูกันต่อไป :-)