เรื่องเล่า ที่เรียบเรียงจากเรื่องจริงของผม และว่าที่เจ้าสาว คุณวัชรพรรณ โล่ห์ทองคำ ตอนที่ 3
อัพเดทล่าสุดเมื่อ 10 กันยายน 2555
ความเดิม
- 1994-1996: เมื่อผีเสื้อกระพือปีก (The Butterfly Effect)
- 1996-1999: เมฆฝนที่ปลายฟ้า (The Cloudy Horizon)
06-08/1999: พายุุฝนกระหน่ำ (The Storm & Rain)
ผมโทรไปยังหอพักของมีน ซึ่งพักอยู่กับเพื่อน ถ้าผมจำไม่ผิดโทรศัพท์หอตอนนั้นยังเป็นลักษณะชุมสายที่ใช้คนสลับสายอยู่ ค่าโทรศัพท์จากญี่ปุ่นมาไทยตอนนั้นก็ยังเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน บัตรโทรศัพท์ราคาพันเยน (สามร้อยกว่าบาท) นี่ใช้ได้ไม่ถึง 10 นาทีเท่านั้นเอง
“ฮัลโหล ขอสายมีนครับ”
ผมรู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้ยินเสียงมีนผ่านทางโทรศัพท์เป็นครั้งแรกในเวลากว่า 4 ปี ความกลัวเริ่มเข้าครอบงำจิตใจอีกครั้ง ถ้าเธอจำผมไม่ได้ หรือไม่อยากคุยกับผมล่ะ ผมจะคุยอย่างไรดี ผมจะมีข้ออ้างในการจะขอให้เธอคุยกับผมมั้ย หรือผมควรจะง้อและขอโทษกับอดีตที่ผ่านมายังไง เธอจะคิดยังไงกับผมล่ะ ฯลฯ
แต่ทุกอย่างที่ผมกลัวก็ไม่ได้เกิดขึ้นเลยสักนิด เพราะมีนที่ปลายอีกด้านหนึ่งของสายโทรศัพท์ ก็ยังเหมือนกับมีนคนเดิมที่ผมเคยโทรหาสมัยผมยังเรียนอยู่ ม.ต้น ไม่มีผิดเพี้ยน ทั้งๆ ที่เราแทบไม่ได้คุยกันเลย และแทบจะห่างเหินจนเป็นคนอื่น เรียกได้ว่าในช่วง 2-3 ปีหลังนี้ รู้สึกได้ว่าเราทั้งคู่ต่างกลายเป็นคนที่ห่างกันยิ่งกว่าเพื่อนทั่วๆ ไปด้วยซ้ำ
มีนเองก็คงงงเหมือนกัน ว่าทำไมอยู่ดีๆ ผมถึงคิดติดต่อมา ทั้งๆ ที่ค่อนข้างจะห่างเหินหมางเมินกันมานานมาก แล้วก็ไม่เคยเข้าใจว่าที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น คนที่เธอรู้สึกมาตลอดว่าคงจะเกลียดเธอมาก คนที่เธอรู้สึกมาตลอดว่าไม่อยากแม้แต่จะมองหน้าเธอ และมองเธอด้วยหางตาที่เย็นชามาตลอด เธอก็ไม่เข้าใจว่าตอนนี้กำลังเกิดอะไรขึ้นอีก แต่มีนก็แสดงน้ำเสียงดีใจและแปลกใจอย่างที่ผมรู้สึกได้ ราวกับว่านี่เป็นสิ่งที่เธอรอคอยมานานแล้ว …
ผมรู้สึกว่า .. มีนมีความสุขนะ ที่ผมโทรไป มีนมีความสุขนะ ที่เราได้คุยกัน
ผมกับมีนคุยกันราวกับอัดอั้นและเก็บกดความต้องการที่อยากคุยกันมานานมาก ได้คุยกันทีไรก็ยาวทุกที (จนบางทีบัตรโทรศัพท์ 5,000 เยน ก็ไม่พอ) และคุยกันได้ทุกเรื่อง ไม่รู้ว่าเอาเรื่องอะไรมาคุยกันบ้าง แต่เมื่อไหร่ที่ได้คุยกัน ก็จะคุยกันยาว และเรื่องต่างๆ ก็จะเข้ามาเองโดยธรรมชาติ
เนื่องจากค่าโทรศัพท์ระหว่างประเทศตอนนั้นเป็นอะไรที่แพงมาก ทำให้ผมไม่สามารถจะคุยกับมีนได้มากอย่างที่ใจต้องการ และคุยทีไรมันก็ไม่เคยหายคิดถึง เราสองคนจึงต้องติดต่อกันด้วยวิธีที่คลาสสิคกว่านั้น ก็คือ “การเขียนจดหมาย”
การส่งจดหมายแต่ละครั้งจากญี่ปุ่นมาไทย จะใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ ดังนั้นกว่าจดหมายฉบับหนึ่งจะถูกอ่าน ได้รับการตอบ และถูกส่งกลับไปถึงอีกฝ่าย ก็จะกินเวลาประมาณ 2 สัปดาห์เป็นอย่างน้อย ซึ่งนั่นหมายถึงว่าเดือนหนึ่งๆ เราจะได้รับจดหมายโต้ตอบกันเพียง 2 ครั้งเท่านั้น
ทุกครั้งที่ผมเขียนจดหมาย ผมจะนั่งนับวันเลยว่าวันนี้จดหมายจะส่งถึงหรือยัง มีนจะได้อ่านหรือยัง แล้วจะตอบกลับมาเลยมั้ย แล้วผมก็นั่งรอเวลาที่ควรจะได้รับจดหมายตอบกลับมา ช่วงนั้นผมจะขยันเช็คตู้จดหมายมากเป็นพิเศษ (ทั้งที่ปกติแทบไม่เคยสนใจจะเช็คเลย ค่าน้ำค่าไฟมาส่งก็ไม่ค่อยจะสนใจเช็คจนแทบจะโดนตัดเป็นเรื่องปกติ)
พอได้จดหมายตอบกลับมา ทุกครั้งก็จะดีใจมาก รีบวิ่งเอาขึ้นไปอ่านบนห้อง (ทิ้งจดหมายอื่นๆ ไว้ในตู้น่ะแหละ) ก่อนจะแกะอ่านก็จะนอนกอดแป๊บนึงก่อน แล้วพอเปิดซอง ก่อนจะอ่านก็จะต้องหอมกระดาษสักครั้งหนึ่ง จดหมายแต่ละฉบับก็จะอ่านซ้ำไปซ้ำมา อ่านแล้วอ่านอีก อ่านไปอมยิ้มไป เป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่มีค่ามากมายกับความรู้สึก
มีนเองก็รู้สึกแบบเดียวกับผมทุกครั้งที่ได้รับจดหมาย แต่อาจจะมียิ่งกว่าผมเสียอีก ตรงที่เค้ามีความสุขกับการไปเลือกกระดาษเขียนจดหมายด้วย ว่าจะเอาแบบไหน สีอะไร ลายอะไรดี ฯลฯ ในขณะที่ผมมักจะใช้กระดาษเขียนจดหมายแบบธรรมดาๆ และซอง Air Mail ธรรมดาในการส่ง
และแล้ว … ผมก็ขอสิ่งที่กลายเป็นสมบัติมีค่าของผมอีกชิ้นหนึ่งจากมีน นั่นก็คือ “รูปถ่าย” ซึ่งแม้ว่ามีนจะทำท่าเล่นตัวไม่อยากจะให้ จะเอาไปทำไม ไม่ต้องเอาไปหรอก นี่นั่นโน่น แต่เมื่อผมเปิดซองจดหมายซองต่อไปออกมา ผมก็พบกับรูปถ่ายของมีน ในชุดนิสิตใส่กระโปรงยาว …
“มีนสวยจัง” ผมคิดกับตัวเองดังๆ และนี่คือความจริงอีกอย่างของชีวิตผม ที่ผมไม่เคยเห็นใครสวยกว่ามีนเลยตลอดเวลาที่รู้จักกันมา จนถึงทุกวันนี้ ผมยังคงรู้สึกว่ามีนคือผู้หญิงที่สวยที่สุด และไม่มีอะไรทำให้ผมรู้สึกเป็นอย่างอื่นไปได้
ผมไม่สามารถบรรยายได้หรอกครับ ว่าผมดีใจแค่ไหนที่มีนส่งรูปนี้มาให้ผม ว่าความรู้สึกผมวันนั้นเป็นยังไง รู้แต่ว่า นี่คือรูปที่ผมหวงที่สุดในชีวิต ทุกคร้ังผมเห็นแล้วก็ยิ้ม ดีใจ แล้วหลายๆ ครั้งก็หยิบรูปถ่ายใบนี้ขึ้นมาหอมเบาๆ
(ทุกวันนี้ ผมเก็บรูปนี้ไว้ในหนังสือ Godel, Escher, Bach หน้า 148 ตลอดมา ซึ่งหนังสือเล่มนี้จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับ “Loop” และ “Recursion” เป็นแก่นหลัก ไม่ว่าจะเป็นรูปมือสองมือกำลังวาดกันเอง หรือบันไดเวียนที่เป็นไปไม่ได้ และ Loop อีกหลายต่อหลายแบบ ส่วน Recursion นั้นก็คือการเกิดขึ้นซ้อนในตัวมันเองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และเลข 148 มีความหมายก็คือ “ตั้งแต่เริ่มต้น (1) จนถึงตาย (4) นับครั้งไม่ถ้วน (8 — infinity)” ….. ลึกๆ แล้วโดยนัย ผมอยากให้เรื่องของผมและมีน เป็นเหมือนกับสิ่งนี้ ที่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เราก็จะกลับมาเริ่มต้นกันใหม่ได้ทุกครั้ง ตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกัน จนถึงวันสุดท้าย ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ตาม)
แม้จะส่งจดหมายคุยกันตลอด แต่เราก็ยังคุยโทรศัพท์กันบ่อยมาก ไม่ว่าจะสั้น (บัตร 1,000 เยน) ยาวหน่อย (บัตร 3,000 เยน) หรือยาวมาก (บัตร 5,000 เยน) เรียกว่าผมหาเงินจากการทำงานพิเศษ (เขียนโปรแกรมแบบพาร์ทไทม์) ได้เท่าไหร่ก็แทบจะมาลงกับบัตรโทรศัพท์
วันหนึ่ง ….. จุดยอดของความรู้สึกทุกอย่างที่เรามีให้กันมาตลอดก็มาถึง … ผมรวบรวมความกล้าทั้งหมดเพื่อบอกเธอว่า
“ผมรักมีนครับ”
ผมจำได้ว่าผมได้ยินเสียงมีนร้องไห้ แล้วก็พูดต่อมาอย่างดีใจว่า
“ทำไมซึ้งจังล่ะตัวเอง”
ผมบอกตามตรงว่าเขินมากที่พูดแบบนั้น และเขินยิ่งกว่าเมื่อได้ยินมีนบอกแบบนั้น
เมื่อวันปิดเทอมที่ญี่ปุ่นจะมาถึง ผมบอกมีนว่าจะกลับเมืองไทย และจะไปเยี่ยมเค้าที่มหาวิทยาลัย ซึ่งดูท่าทางมีนจะเขินไม่ใช่น้อย เพราะถึงจะคุยกันมาพักใหญ่ๆ ในโทรศัพท์ ส่งจดหมายหากันนับสิบฉบับ แต่ครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกัน และคุยกันดีๆ นั้น มันเป็นภาพความทรงจำไกลๆ … แต่เราก็สัญญาว่าจะเจอกัน เมื่อผมกลับเมืองไทย ผมจะรีบไปหา
ทุกอย่างเหมือนดี และราบรื่น …… โดยที่เราทั้งสองคนไม่รู้เลย ว่าสิ่งที่สัญญากัน จะเป็นเพียงฝันท่ามกลางน้ำตา
คืนก่อนที่ผมจะเดินทางไปหามีนที่ ม.นเรศวร เราก็โทรคุยกันเป็นปกติ และตรงนั้น ตอนนั้นเอง ที่ผมทำเรื่องที่โง่ที่สุดในชีวิต และเป็นเรื่องที่ผมไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้ไปอีกนับสิบปี ด้วยความที่บางครั้งผมจะปากไว พูดไม่ระวัง และบางครั้งคำพูดโง่ๆ อะไรบางอย่างของผม มันไปทำร้ายความรู้สึกคนอื่นได้โดยไม่รู้ตัวและไม่ตั้งใจ
สิ่งที่ผมพูดในวันนั้น ทำให้มีนร้องไห้ …. ผมไม่เคยเห็นมีนเสียใจขนาดนั้นมาก่อน
“ไม่ต้องคุย ไม่ต้องมาเจอกันอีกแล้วนะ”
และนั่นก็คือ คำพูดสุดท้ายที่ผมได้ยินจากมีน …..
ผมคิดและเชื่อฝังหัวมาตลอด ว่ามีนคงจะเกลียดผมแล้ว ไม่อยากคุยกับผมแล้ว ไม่อยากเจอผมอีกต่อไปแล้ว ทั้งๆ ที่วันต่อมาผมควรจะไปง้อที่มหาวิทยาลัย หรืออย่างน้อยๆ ก่อนจะกลับญี่ปุ่น ผมควรจะหน้าด้านไปหาสักครั้งหนึ่ง หรือโทรไปหาก็ยังดี … แต่ไม่เลย เพราะผมกลัว เพราะผมเชื่อไปแล้วว่ามีนรู้สึกกับผมแบบนั้น ผมก็เลยยิ่งไม่กล้า และอีกความรู้สึกหนึ่งก็คือ ผมไม่อยากให้มีนต้องเสียใจเพราะผมอีกแล้ว ผมก็เลยยิ่งไม่กล้าที่จะติดต่อไปอีก …
ใครบ้างนะ จะคิดว่า นั่นคือครั้งสุดท้ายที่เราสองคนได้คุยกัน …… ทุกอย่าง มันเป็นเพียงแค่ฝันลมๆ แล้งๆ เพียงตื่นหนึ่ง ที่เมื่อเราตื่นขึ้นมาก็ต้องเจอกับความจริง
ความจริงที่เราไม่มีอีกคนหนึ่งอีกต่อไปแล้วในชีวิต ความจริงที่ทั้งๆ ที่ผมยังรัก ยังคิดถึง ยังห่วงหา ยังอาลัย แต่ผมก็ไม่กล้าที่จะติดต่อไปอีก
และความจริงที่ผมไม่เคยคิด ไม่เคยรู้เลย ก็คือ … หลังจากนั้น เด็กสาวคนหนึ่ง จะเฝ้ารอโทรศัพท์ เฝ้ารอจดหมาย เฝ้ารอการติดต่อ จากใครคนหนึ่งที่เคยโทรมาหาเธอเกือบทุกวันแม้จะอยู่แสนไกล จากใครคนนั้นที่เคยบอกรักเธอ คนที่เธอนับวันรอที่จะได้เจอกันมาตลอด เธอไม่เคยออกจากหอไปไหนในเวลาที่ปกติใครคนนั้นจะเคยโทรศัพท์มาหา ไม่ว่ากลุ่มเพื่อนจะไปเที่ยวไหน หรือไปทำกิจกรรมอะไร เธอก็จะเฝ้ารออยู่ที่หอเสมอ
เสียงโทรศัพท์ … จากผม ที่ไม่เคยมีมาหาเธออีกเลย … แม้กระทั่งวันสุดท้ายที่เธออยู่หอนั้น ….
(จบตอน)
You must be logged in to post a comment.