เรื่องเล่า ที่เรียบเรียงจากเรื่องจริงของผม และว่าที่เจ้าสาว คุณวัชรพรรณ โล่ห์ทองคำ ตอนที่ 4
อัพเดทล่าสุดเมื่อ 10 กันยายน 2555
ความเดิม
- 1994-1996: เมื่อผีเสื้อกระพือปีก (The Butterfly Effect)
- 1996-1999: เมฆฝนที่ปลายฟ้า (The Cloudy Horizon)
- 06-08/1999: พายุุฝนกระหน่ำ (The Storm & Rain)
1999-2011: เมื่อฟ้ามืดมิด (The Abyss in Sky)
คงไม่มีเวลาไหนอีกแล้วที่ฟ้าจะมืดเท่านี้ เมื่อต่างคนต่างอกหักจากกัน ทั้งที่ต่างก็ยังรักกันอยู่ ก็กลับคิดว่าอีกคนไม่ต้องการที่จะเจอกับตัวเองอีกต่อไปแล้ว ช่องว่างที่เคยมีอยู่ ได้กลายเป็นความว่างเปล่าและมืดมิดขนาดใหญ่กั้นกลางระหว่างเราทั้งสองคน
เหตุการณ์ครั้งนั้นได้เปลี่ยนแปลงหลายต่อหลายอย่างในชีวิตของเราสองคนอย่างมาก ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างเรื่องภายนอกและการดูแลตัวเอง มีนตัดผมสั้นกุด ส่วนผมทำตรงกันข้ามกันด้วยการเริ่มไว้หนวดเครา ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยไว้ และไม่เคยคิดจะไว้ ไม่ตัดผม ปล่อยยาวไปเรื่อยๆ เสื้อผ้าก็เปลี่ยนจากที่ชอบใส่เสื้อลายสก๊อตสีสดๆ มาเป็นเสื้อสีดำล้วนเรียบๆ ราวกับไว้ทุกข์ไว้อาลัยให้กับอะไรบางอย่าง … ซึ่งทั้งสองอย่างนี้กลายมาเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวผมไปเลยด้วยซ้ำ
เรื่องตลกร้ายที่สุดของชีวิต ก็คือ เราทั้งสองคนต่างก็อยากจะคุยกันเหมือนเดิม แต่คนหนึ่งก็ทำได้อย่างมากแค่หยิบหูโทรศัพท์ขึ้นมา หมุนเบอร์ได้ครึ่งนึงแล้ววาง ในขณะที่อีกคนหนึ่งก็ยังคงรอ … ทั้งที่รัก ทั้งที่คิดถึง แต่ก็ไม่มีใครทำลายกำแพงในใจตัวเองเลย กลับก่อกำแพงนั้นให้มันสูงมากขึ้นๆ
จากช่องว่างของความห่าง กลายเป็นกำแพงของความกลัว และท้ายที่สุดเมื่อมันสะสมมากขึ้นๆ ท่ามกลางความเหงา ความไม่เข้าใจ ความสิ้นหวัง ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนให้มันกลายเป็นภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ ที่แช่แข็งความรู้สึกที่เรามีให้กันซุกซ่อนเอาไว้ข้างใน กักขังหัวใจและความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเราสองคนเอาไว้ลึกลงไปทุกวันๆ
แต่ถึงจะกลัวที่จะติดต่อไปหา ผมก็ห้ามใจไม่ให้คิดถึงมีนไม่ได้ ผมจึงก็ยังมองภาพถ่ายที่ผมมีอยู่เสมอ และบางครั้งบางคราว ก็ลองค้นหาชื่อมีนตามระบบค้นหาต่างๆ บนอินเทอร์เน็ตบ้างอะไรบ้าง ถึงผมจะไม่เจออะไรเลยก็ตาม .. ลึกๆ แล้ว ผมยังมีความหวังอยู่ว่าเราจะบังเอิญได้เจอกันอีกครั้ง และยิ่งนับวันผมก็ยิ่งคิดถึงมีนมากขึ้นๆ
ใครนะ ชอบเปรียบเทียบความหวังเป็นแสงสว่างที่ส่องลงมาจากฟ้า และที่เปรียบเทียบความสิ้นหวังเป็นเหมือนกับหุบเหวที่มืดมิด … จนถึงตอนนั้น แม้ผมจะเชื่อว่าตัวเองเคยผ่านความท้อแท้และหมดหวังมาหลายครั้งในหลายต่อหลายเรื่อง แต่ไม่เคยเลย ที่ผมจะรู้จักกับฟ้าที่มืดมิดยิ่งกว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น … หลายปีหลังจากครั้งสุดท้ายที่เราสองคนได้คุยกัน
วันที่ฟ้าหมดแสง มาถึงเมื่อผมทนเก็บความรู้สึกทั้งหมดไม่ได้อีก ความคิดถึงที่ผมสะสมมาตลอดมันชนะความกลัวในใจผมลงได้ ถึงมีนจะเกลียดผมแค่ไหน ผมก็อยากได้ยินเสียงเธออีกสักครั้ง ถึงเธอจะไม่อยากคุยกับผมอีกแล้ว ผมก็อยากจะขอโทษเธอเป็นครั้งสุดท้าย ….
“ฮัลโหล”
และนี่เอง … เป็นวันที่ชีวิตสะกดคำว่า “สายเกินไป” ให้กับผม
ถ้าแสงจากฟ้าคือความหวัง และหุบเหวคือความสิ้นหวัง นี่คงจะเป็นหุบเหวลึกไร้ซึ่งก้นบึ้งอยู่กลางฟากฟ้า ฟ้าที่เคยสว่างและให้แสงกับชีวิตผมตลอดมา กลายเป็นที่มืดมนที่สุด ที่ซึ่งแสงส่องไปไม่ถึง
ด้วยความที่ผมไม่เคยรู้เลยจนกระทั่งเร็วๆ นี้ ว่ามีนรอผมมาตลอดจนกระทั่งย้ายหอ ทำให้ผมไม่เคยรู้เลยว่าเธอได้ย้ายหอออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ด้วยความที่ผมเป็นคนชอบคิดตรงข้ามกับการเข้าข้างตัวเอง คือชอบคิดทำร้ายตัวเอง ชอบคิดกรณีเลวร้ายที่สุดให้ตัวเองเสมอๆ เป็นทุนเดิม ทำให้ผมคิดและเข้าใจไปว่ามีนได้ย้ายหอไปนานแล้ว เพราะไม่อยากให้ผมติดต่อเธอได้ เพราะไม่อยากคุยกับผม ไม่อยากเจอผมแล้วจริงๆ
แล้วเบอร์ที่บ้านล่ะ ใช่สิ เบอร์ที่ผมจำขึ้นใจ แต่ก็ไม่เคยโทรไปตลอดเวลาที่ผ่านมา … และเมื่อผมกล้าโทรไป ผมก็เจอเหตุการณ์ที่เลวร้ายกว่าเดิม … เบอร์นั้นใช้งานไม่ได้อีกต่อไปแล้ว โดยผมเพิ่งรู้เร็วๆ นี้เองว่าเหตุที่ใช้ไม่ได้ตอนนั้นก็คือ องค์การโทรศัพท์เปลี่ยนเบอร์ทั้งพื้นที่
ชีวิตเราสองคนในตอนนั้น คงจะเป็นยิ่งกว่าเส้นขนาน เพราะเส้นขนานสองเส้นมันไม่เคยมีจุดตัดกันเลย มันไม่เคยต้องมาเจอกันให้รู้จักกัน ให้ต้องคิดถึงกัน ให้หลับตาก็ยังมีภาพคนๆ หนึ่ง แต่มันคงจะเหมือนเส้นตรงที่เคยตัดกันเพียงครั้งหนึ่ง และนับจากจุดที่เคยตัดกันนั้น เส้นตรงทั้งสองเส้นก็จะยิ่งห่างกันไปเรื่อยๆ ไม่มีวันกลับมาหากันเจออีก … เหมือนกับว่าเราต่างคนต่างได้ตายจากชีวิตอีกคนหนึ่งไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับ
ตั้งแต่นั้นมา … ผมจะมีเรื่องเล่าให้ลูกศิษย์ ลูกน้อง คนใกล้ตัว ที่สนิทกับผมมากพอ ทุกคนฟัง ..
เป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่ง คนที่มีค่ากับผมมาก คนที่เปลี่ยนชีวิตผมจากคนที่เหลวไหลไร้สาระ กลายมาเป็นคนที่พวกเขารู้จัก ผู้หญิงคนที่ไม่มีอะไรมาทดแทนได้ในความรู้สึกและความทรงจำทั้งหมด และผมจะไม่มีวันลืมผู้หญิงคนนี้ไม่ว่าชีวิตผมจะมีใคร ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม …
ผู้หญิงคนที่ได้ตายจากผมไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับ มีเพียงภาพถ่ายเก่าๆ ที่ผมยังเก็บไว้ และภาพในจินตนาการที่ติดอยู่ที่เปลือกตา ให้เห็นเงาของเธอทุกครั้งที่หลับตาหรือกระพริบตาเท่านั้น
แทบทุกคืนก่อนจะนอน แทบทุกเช้าเมื่อลืมตา ใจผมจะลอยไปถึงใครคนหนึ่งเสมอ ตอนนี้เธอจะเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรือเปล่า จะคิดถึงผมเหมือนกับที่ผมคิดถึงเขาตลอดบ้างไหม หรือจะลืมกันไปหมดแล้ว ภาพของมีนยังคงชัดเจนในความทรงจำและจินตนาการเสมอ ไม่ว่าผมจะไปที่ไหน ผมจะเห็นภาพเธอที่นั่นกับผมตลอดมา
ถึงผมจะเคยค้นหาชื่อมีนจากระบบค้นหาบนอินเทอร์เน็ตมาบ้างก่อนหน้านั้น แต่มันไม่เคยกลายมาเป็นความหวังสุดท้ายเพียงความหวังเดียวของผม
“หากมีอยู่บนโลก ผมจะต้องหาเจอในอินเทอร์เน็ต”
เป็นคำพูดปลอบใจตัวเอง สร้างความหวังให้ตัวเอง ที่ผมย้ำหัวตะปูบอกตัวเองทุกวันๆ จนกลายมาเป็นข้อความติดปากของผมตลอดเวลาหลังจากนั้น แต่ถึงผมจะค้นอะไรเจอแค่ไหนอย่างไร ผมก็ค้นไม่เคยเจออะไรที่จะทำให้ผมติดต่อกับมีนได้เลยสักครั้ง
ต่อให้ Google หรือระบบค้นหาอื่นๆ มันจะเก่งแค่ไหน มันก็สร้างข้อมูลเองไม่ได้ ก็ยังต้องพึ่งข้อมูลตามเว็บต่างๆ ที่จะเปลี่ยนไปอยู่ดี ดังนั้นการนั่งค้นด้วยคำค้นเดิมๆ ทุกวัน แล้วมานั่งหาว่าอะไรมันเปลี่ยนไป เผื่อหน้าเว็บใหม่ที่เพิ่มเข้ามาจะช่วยให้ผมเจอมีนที่ไหนสักที่ เป็นเรื่องที่ยาก เหนื่อย และยิ่งทำยิ่งท้อแท้มากขึ้นเรื่อยๆ … ก็ทำให้ผมคิดอะไรได้บางอย่าง
ผมเขียนโปรแกรมมาหลายต่อหลายตัวตั้งแต่อายุน้อยมาก แต่ผมไม่เคยอินกับมันเลย ผมไม่เคยมีความตั้งใจจะเขียนโปรแกรมเพื่ออะไรสักอย่างเดียว ก็ทำได้แค่เขียนไปเรื่อยๆ ตามที่จำเป็นต้องเขียนที่ต้องเรียน หรือตามที่รับงานจากที่ต่างๆ มาทำก็เท่านั้น …
“การทำอะไรเพื่อความรัก”มันคงจะมีความหมายที่สุด เช่นเดียวกับข้อความนี้
“I’ve fought many wars in my time. Some I’ve fought for land, some for power, some for glory.
I suppose fighting for love makes more sense than all the rest.”
— King Priam, “Troy” Movie (2004)
หลายท่อนจากเพลงประกอบละครเรื่อง “ล่า” ดังก้องในหูผมทุกวันๆ
บนหนทางที่ดูเดียวดาย ในหัวใจก็ยังโหยหา
กับความรักที่เคยมีอยู่ แต่วันนี้จากฉันไปไกลสุดตา
และความรักความรักที่มีคุณค่า กับใจฉันนั่นคือเธอ
…….
จะตามหาไม่ว่าเธออยู่ไหน จะตามไปให้ได้เธอคืนมา
จะตามหาถึงแม้จะไกลสุดฟ้า จะไขว่คว้าเธอมาแนบกาย
…….
สิ่งที่เหลือที่ฉันพอจะทำได้ นั่นคือการเสาะหาให้พบเจอ
ใช่สินะ สิ่งที่เหลือที่ผมพอจะทำได้ ก็คือ “เขียนโปรแกรม เพื่อความรักที่หายไป …. เพื่อหาเธอให้เจอ”
ผมเริ่มต้นเขียนโปรแกรมขึ้นมาตัวหนึ่ง ตอนแรกตั้งใจไว้ว่าจะเอาไว้ช่วยค้น Google เฉยๆ แต่ผมก็ค่อยๆ เพิ่มความสามารถให้กับมันเรื่อยๆ จากโปรแกรมที่ช่วยค้นธรรมดาๆ มาสู่ระบบที่ค้นหาการเขียนชื่อภาษาอังกฤษจากชื่อไทยได้ทุกรูปแบบ มีส่วนในการช่วยวิเคราะห์รูปประโยคเพื่อหาชื่อคน ชื่อสถานที่ซึ่งอาจเกี่ยวข้อง มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานด้วยการกระจายการค้นหาไปอยู่บนหน่วยประมวลผลต่างๆ และสุดท้ายกลายเป็นระบบที่สลับซับซ้อนมากมาย และมีส่วนเชื่อมส่วนเสริมกับระบบเครือข่ายสังคมที่มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
[geek alert — เวอร์ชั่น “for geek” จะมีให้อ่านหลัง “จบตอน” ครับ]]
หากมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับมีน หรือคนที่มีโอกาสเป็นมีน ขึ้นในอินเทอร์เน็ต ผมจะรู้เป็นคนแรกๆ เพราะโปรแกรมตัวนี้มันจะแจ้งผมตลอด เท่าที่มันหาเจอ
ผมไม่เคยอินกับการเขียนโปรแกรมขนาดนี้มาก่อน เรียกได้ว่าความรู้และประสบการณ์ในการพัฒนาโปรแกรมของผมที่มีในทุกวันนี้ มีรากมีฐานมาจากโปรแกรมตัวนี้เกือบทั้งนั้น …. ข้อความที่ว่า “หากไม่มีผู้หญิงคนนี้ ชีวิตผมไม่มีวันมีวันนี้” ยิ่งเป็นจริงขึ้นทุกวัน …
วันเวลาผ่านไปและผ่านไป พร้อมกับภาพอดีตของเราสองคน ที่นับวันยิ่งเป็นภาพที่ไกลออกไปจนเริ่มเลือนลาง
แต่โปรแกรมนี้ยังทำงานของมันมาเรื่อยๆ บนเครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของแล็บวิจัยที่ผมเคยทำงานที่มหาวิทยาลัยที่ผมเรียน ถึงมันจะไม่ค่อยเจออะไรที่เป็นประโยชน์เท่าไหร่ แต่มันก็ทำให้ผมรู้ว่าชีวิตของมีนอย่างคร่าวๆ ว่ามีนเรียนต่อ ปริญญาโทที่จุฬาฯ ผมเคยอ่านงานวิจัยของมีน ผมรู้ว่าเรียนจบแล้วไปทำงานที่ CP (จริงๆ ที่ๆ มีนทำงานคือ CPF แต่ผมไม่รู้ความแตกต่างในตอนนั้น) และเคยอ่านบทความนี่นั่นโน่นที่มีนเขียนบ้าง แต่ผมไม่เคยเจออะไรมากกว่านั้นเลย
จริงๆ แค่นี้ก็น่าจะพอแล้วไม่ใช่เหรอ … ไม่ใช่หรอกครับ ด้วยนิสัยของผม คงจะไม่ใช่คนที่อยู่ดีๆ จะเดินเข้าไปถามหาคนชื่อนี้ๆ ใน CPF หรือเดินไปถามอาจารย์ที่ปรึกษาของมีนหรอก ขนาดถามพนักงานเวลาจะซื้อของ ผมยังไม่ถามเลย ผมอยากได้อะไรที่ทำให้ผมพอจะ “บังเอิญไปเจอ” ได้ หรือจะดีกว่านั้น ให้ผมติดต่อได้โดยตรงเลยดีกว่า
สำหรับชีวิตผมและมีนในช่วงนั้น ก็เหมือนเส้นตรงสองเส้นที่แยกจากกันจริงๆ … เส้นตรงสองเส้นที่เคยตัดกันในเวลาสั้นๆ ที่นับวันยิ่งแยกทางห่างกันไปเรื่อยๆ ต่างคนก็ต่างมีชีวิตตัวเอง ต่างคนก็เรียนจบ ต่างคนก็มีการมีงาน มีสังคม มีใครต่อใครผ่านเข้ามาในชีวิต แต่มันก็เหมือนกับชีวิตของเราสองคน กำลังรอคอยอะไรบางอย่าง ที่เราสองคนก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจ
ตลอดเวลาที่ผ่านไป ผมก็ยังคงคิดถึงมีนเสมอ ยังคงเห็นภาพมีนอยู่บ่อยๆ เหมือนเดิม ผมยังคงลืมไม่ได้ และไม่คิดจะลืมด้วย … ผู้หญิงคนหนึ่งที่ตายไปแล้วจากชีวิตจริงของผม แต่ไม่เคยตายไปจากใจ จากความรู้สึกเลย
เมื่อมีใครจะเดินผ่านเข้ามาในชีวิต และถึงเราทั้งสองคนจะลองเปิดประตูชีวิตยังไง แต่ประตูหัวใจของเราทั้งคู่นั้นเหมือนจะถูกปิดเอาไว้ ไม่ให้ใครเข้าไปถึงส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจได้เลยแม้แต่คนเดียว …. ราวกับว่าหัวใจของเรา ได้กลายมาเป็นห้องปิดตาย ที่ขังตัวมันเองเอาไว้จากทุกอย่าง
ห้องปิดตาย …. ที่ถูกปิดเอาไว้ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้น โดยที่เราทั้งคู่เองก็ไม่ได้รู้ตัว
ห้องปิดตาย …. ที่แม้แต่ตัวเราเองก็ไม่สามารถไขเปิดออกได้ เพราะเราได้เคยให้กุญแจของหัวใจกับใครคนหนึ่งไปแล้ว โดยที่แม้แต่ตัวเราเองก็ไม่รู้ตัวมาก่อน
If I had a box just for wishes
And dreams that had never come true
The box would be empty
Except for the memory
Of how they were answered by you
เพลง “Time in a Bottle” (เวลาในขวดแก้ว) ดังซ้ำไปซ้ำมาในหูของผมบ่อยครั้ง มันเป็นเรื่องราวของคนๆ หนึ่ง ที่อยากจะเก็บเวลาทั้งหมดเอาไว้ใช้กับผู้หญิงคนที่ตัวเองรัก หากวันหนึ่งความรักของเขาเป็นจริง แต่เพลงนี้ลงท้ายว่า เมื่อวันเวลาได้ผ่านไปจนถึงจุดสิ้นสุดของกาลเวลาที่เป็นนิรันดร์ ทุกอย่างจะเป็นจริงขึ้นมาทั้งหมด ยกเว้นไว้เรื่องเดียว คือเรื่องความรักของเขา ที่ไม่มีวันสมหวัง แม้เวลาจะผ่านไปจนถึงนิรันดร์ก็ตาม
เรื่องของเราสองคน … นับวันยิ่งมองดูแล้วอาจจะยิ่งกว่าสิ้นหวังสำหรับผม ที่บอกตามตรงว่าผมไม่ได้หวังอะไรอีกแล้ว นอกจากเล่าเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่เปลี่ยนชีวิตผม และได้ตายจากผมไปแล้ว ให้คนใกล้ตัวทุกคนฟัง
ในขณะเดียวกันกับที่ชีวิตของเราต่างดำเนินต่อไปตามเส้นทางที่แยกกันไปเรื่อยๆ นั้น …. โปรแกรมตัวนั้น ก็ยังคงทำงานต่อมาเรื่อยๆ ค้นหาในเว็บที่มากขึ้นๆ และเครือข่ายสังคมที่มากขึ้นๆ ….. จนกระทั่งวันหนึ่ง กว่าสิบปีผ่านไปนับจากวันที่ผมเริ่มจะค้นหามีน …. ผมก็ได้รับข้อความจากโปรแกรมตัวเอง …
“เดฟ นายลองดูนี่สิ”
เป็นข้อความที่นานๆ ทีมันจะส่งมาหาผมสักทีที่เจออะไรเข้าท่า แต่ที่ผ่านมาเมื่อผมเข้าไปดู ก็ไม่เจออะไรที่เป็นประโยชน์เท่าไหร่นัก … แต่ครั้งนี้ เป็นวันที่ผมเห็นแสงสว่างจากลอดออกมาจากหุบเหวมืดบนฟากฟ้าเป็นครั้งแรก
ใช่ครับ ผมเจอแล้ว
(จบตอน)
[geek alert — Special Extended Edition]
ผมเริ่มต้นจากการเขียน Perl script ง่ายๆ เพื่อที่จะช่วยผมในการค้น Google และยัด script นี้ลงใน crontab เพื่อให้ทำงานตามวันและเวลาที่กำหนด เนื่องจาก Google ในขณะนั้นยังไม่ได้เปิดช่องทางให้ค้นหาได้แบบผ่าน API เหมือนทุกวันนี้ ดังนั้นผมจึงต้องแงะข้อมูลจาก HTML เองด้วยวิธีต่างๆ ทั้งการเขียน parser เองและใช้ regular expression ช่วยสร้างตัว recognizer ต่างๆ และทำตัวเปรียบเทียบผลกันวันต่อวัน ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง เพื่อที่ผมจะได้ไม่ต้องดูเว็บที่เคยค้นเจอมาแล้ว
วันหนึ่งผมก็มานึกได้ ว่าเป็นไปได้มั้ย ที่จะข้อมูลบางอย่างที่เป็นภาษาอังกฤษ แต่ชื่อมีนเป็นภาษาอังกฤษสะกดยังไงล่ะ ผมก็ไม่รู้อยู่ดี เอาแค่ตัว “ว” จะเป็น v หรือ w ก็ แล้วยังมีอีกหลายที่ ที่สามารถใส่ตัว h ลงไปได้แบบไม่มีเหตุผล ทั้งชื่อทั้งนามสกุล … ก็ไม่เป็นไร ผมก็แค่ต้องทำตัว generate คำค้นจากชื่อภาษาไทย เท่าที่มันจะเป็นไปได้ออกมาทั้งหมด และส่งไปให้โปแกรมที่ทำหน้าที่ค้นหา ทำการค้นอีกที
เนื่องจากมันมีหลายคำค้น การค้นและวิเคราะห์ก็ค่อนข้างจะใช้เวลานานหากต้องทำทีละความเป็นไปได้ของชื่อ นั่นเอง ทำให้ผมได้เริ่มศึกษาและเรียนรู้สิ่งที่เรียกว่า Parallel และ Distributed computing ซึ่งผมก็ได้แอบใช้เครื่อง Supercomputer ของแลบวิจัยผม ที่บางทีมี CPU time และ resource เหลือพอที่จะรันโปรแกรมตัวนี้ได้ … ด้วยธรรมชาติของงานนี้ ที่เป็น Embarassingly parallel ดังนั้นจึงไม่มีปัญหามากเท่าไหร่ในการแก้ให้มันทำงานแบบขนานและกระจายได้
เมื่อผมเริ่มอ่านโค้ด Perl ของตัวเองไม่รู้เรื่อง ผมก็โทษภาษาโปรแกรมและเปลี่ยนไปใช้ภาษาอื่นที่โครงสร้างมันสวยกว่านั้น และอ่านง่ายกว่านั้น เพราะผมเริ่มมีความรู้สึกว่า ผมคงจะต้องอยู่กับการค้นหานี้ไปอีกนาน ดังนั้นเขียนโค้ดที่มันอ่านออกไว้ก่อนจะดีกว่า ดังนั้นผมเลยเริ่มรื้อโปรแกรมใหม่ เขียนใหม่ด้วยภาษาหลายภาษาแล้วแต่ความเหมาะสมของแต่ละส่วน
แต่ข้อเสียของ Google ที่ใหญ่ที่สุดก็คือ ค้นอะไรได้อย่างนั้น ค้นชื่อ ก็ได้ชื่อ ผมเจอเว็บไซต์หลายแห่งที่มีชื่อมีน แต่ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ไม่มีอะไรที่จะทำให้ผมหาเค้าเจอแม้แต่อย่างเดียว ผมต้องเข้าไปอ่านเนื้อหาในแต่ละหน้าเอง ว่าจะมีอะไรบ้างที่จะทำให้ผมเจอเค้าได้
สุดท้ายผมก็ทำ Analytic Engine สำหรับพยายามวิเคราะห์ข้อความบนเว็บไซต์แบบมั่วๆ ผมพยายามทำให้มันฉลาดพอที่จะดูว่าอะไรเป็นชื่อคน อะไรเป็นชื่อสถานที่ อะไรเป็นฯลฯ … ผมอยากรู้ว่าจะติดต่อเค้าได้ยังไง จากนั้นผมก็เริ่มเหนื่อยกับการเข้าไปเช็คการทำงานของโปรแกรม ก็เลยเริ่มหัดเขียนพวกระบบแจ้งเตือนต่างๆ ที่จะส่งข้อความเข้ามือถือหรือ e-mail ผมบ้าง เมื่อเจออะไรที่น่าสนใจ
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ โปรแกรมนี้ยังทำงานของมันมาเรื่อยๆ ถึงจะไม่ค่อยเจออะไรที่เป็นประโยชน์เท่าไหร่ ผมรู้ว่ามีนเรียนต่อ ป.โท ที่จุฬาฯ ผมเคยอ่านงานวิจัยของมีน ผมรู้ว่าเรียนจบแล้วไปทำงานที่ CP และเคยอ่านบทความนี่นั่นโน่นที่มีนเขียนบ้าง แต่ผมไม่เคยเจออะไรที่มากกว่านั้นเลย และด้วยนิสัยของผม คงจะไม่ใช่คนที่อยู่ดีๆ จะเดินเข้าไปถามหามีนใน CP หรือเดินไปถามอาจารย์ที่ปรึกษามีนหรอก ขนาดถามพนักงานเวลาจะซื้อของ ผมยังไม่ถามเลย
ยุคสมัยผ่านไป ยุคของ API เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โปรแกรมตัวนั้นก็ถูกปรับปรุงแก้ไขมาเรื่อยๆ ตั้งแต่การเชื่อมเข้ากับ Social API เท่าที่มันมี ผมไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มีนจะเข้ามาเล่นอะไรเมื่อไหร่ ดังนั้นผมก็เชื่อมเท่าที่ผมรู้ และผมเขียนมันในลักษณะที่ว่า หากใครที่มีโอกาสจะเป็นมีน เข้ามาใช้งานในระบบที่เปิด API เหล่านี้ และ API มันสามารถหาได้เมื่อไหร่ ผมจะรู้เป็นคนแรกๆ ทันที
โปรแกรมตัวนี้รันมาเรื่อยๆ บนเครื่อง Supercomputer รุ่นเล็กของ SGI ซึ่งแลบวิจัยผมซื้อเอาไว้รัน Simulation แต่เนื่องจากผมเป็นคนเขียน scheduler ของตัวระบบนี้ ทำให้ผมสามารถที่จะเจียด CPU เล็กน้อย เวลาที่ไม่ค่อยมีคนรัน job อะไรเอาไว้ มารันโปรแกรมตัวนี้ของผมได้
ทั้งหมดนี้อาจจะดูเหมือนกับเป็นการทำอะไรไม่รู้แบบ geek โง่ๆ คนหนึ่ง ที่ทำเป็นแต่อะไร geekๆ …. แต่ผมอยากจะบอกว่า ความรู้จริงๆ ของผมในด้าน Computer Science การพัฒนาโปรแกรม การพัฒนาระบบต่างๆ และการใช้งานเทคโนโลยีต่างๆ แบบ practical เกือบทั้งหมดที่ผมรู้และทำได้ในทุกวันนี้นั้น มีต้นตอ มีที่มา มีรากมาจากสิ่งที่ผมทำตอนนั้นแทบทั้งนั้น …. ข้อความที่ว่า “หากไม่มีผู้หญิงคนนี้ ชีวิตผมไม่มีวันมีวันนี้” ยิ่งเป็นจริงขึ้นทุกวัน … ถึงโปรแกรมตัวนี้จะไม่ใช่โปรแกรมที่เจ๋งที่สุดในโลก มีอัลกอริทึมโง่ๆ หลายอย่างที่ถ้าเอาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมาดู คงจะหัวเราะก๊ากออกมาด้วยความขำกลิ้ง การออกแบบหลายอย่างที่เป็นแบบไร้กระบวนท่า มีบั๊กน่าจะเยอะแยะอยู่ และมี work-around หลายต่อหลายอย่าง และที่สำคัญ มันทำงานเป็นแบบ background daemon process ที่มีการเรียกใช้ผ่าน command line interface ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ได้ user interface สวยงามอะไรเลย …. แต่มันเป็นโปรแกรมที่ผมได้เรียนรู้ทุกอย่างมากที่สุด และเป็นโปรแกรมที่ผมรักที่สุด
[จบช่วง: geek alert]
ไดอะล็อก “Dave, you should really have a look at this …….” นี่ ได้แรงบัลดาลใจจาก 2001 Space Odyssey หรือเปล่าครับ?
ป่าวนา … คือผมชื่อเดฟอยู่แล้วอ่ะ แล้วผมชอบคิดให้โปรแกรมมันคุยกับผมเหมือนคนมากกว่าเหมือนคอมพิวเตอร์ :D
เรื่องของ อ. ประทับใจ และสร้างแรงบัลดาลใจให้ผมมากเลยครับ เรื่องของผมก็คล้ายๆกัน เพียงแต่ของผม
มันจบลงแค่ตอนที่สาม “The Storm and Rain” ยังหาจุดเปลี่ยนเข้าเกมส์ ไม่ได้ เฮ้อ