รีวิว: Sigma DP2 Merrill

ไม่ได้รีวิวของเล่น (กล้อง เลนส์ หูฟัง) มาซะนานเลย ว่าจะเขียนๆ ก็ไม่ได้เขียนสักที โดยเฉพาะ Fujifilm X-Pro1 ที่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้เขียน (และก็คงจะยังไม่เขียนต่อไป จนกระทั่ง firmware 3.0 ออกมาซะก่อน) …​ แต่ “ตัวนี้”​ คงต้องเขียนถึงเป็นกรณีพิเศษซะหน่อย …. และ “ตัวนี้” ที่ว่าก็คือ Sigma DP2 Merrill ครับ


DSC_9430.jpg

Sigma DP2M วางอยู่หน้ากล่อง เสริมหล่อด้วย Hood กับ View Finder ที่ซื้อแยกต่างหาก

Disclaimer เกี่ยวกับรูปถ่าย: ทุกรูปที่ลงในบทความนี้ ไม่มีรูปไหนที่ “จบหลังกล้อง” ทุกรูปถ่ายเป็น X3 RAW จากกล้อง Convert เบื้องต้นใน Sigma Photo Pro และทำต่อใน Lightroom เพื่อให้เห็นผลจากการใช้งานจริงในแบบ Real-World Usage ไม่ใช่เน้นแบบ Lab-Test รูปทั้งหมดสามารถดูรูปใหญ่ได้ที่ Flickr ซึ่งผมลงไว้ที่ Photoset นี้ [Review] Me & Sigma DP2 Merrill ซึ่งตอนนี้มีรูปเท่ากับที่ลงในบทความนี้ แต่อาจจะเพิ่มในอนาคต (ซึ่งจะลงใน Flickr แต่ไม่เอามาลงเพิ่มในบทความนี้แล้ว)

ทำไมเป็นตัวนี้?

แน่นอนว่าคำถามแรกก็คือ “กล้องมีตั้งเยอะแยะ ที่มีแล้วก็เยอะ ทำไมเป็นตัวนี้?” … ถ้าชอบกล้องตัวเล็กที่มีเลนส์ Prime ก็มีทั้ง Fujifilm X100, X-Pro1+35/1.4, Nikon V1+18.5/1.8 อยู่แล้ว ยังไม่นับ Leica M8+35/2.5 ที่เล็กพอตัวอีกด้วย

คำตอบเรื่องนี้ดูท่าจะเป็นเรื่องของทั้งหัวใจและเหตุผลครับ … ผมชอบ “หลักการ” ของ Foveon X3 Sensor มาก ทั้งหลักการและความกล้าที่จะต่างจาก Bayer Sensor ทั่วไป (ซึ่งอันที่จริงแล้วผมชอบคนที่ทำอะไรแตกต่างอย่างสร้างสรรค์ครับ เช่นเดียวกับการที่ผมชอบ X-Trans Sensor ของ Fujifilm) … และผมชอบ Street Camera ที่มีเลนส์ Prime กับ Sensor ใหญ่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย


SDIM0001.jpg

ดอกไม้บานหน้าวัด, สถานที่: Kamakura, ญี่ปุ่น

เหตุที่ทำให้ผมสนใจ Foveon Sensor เป็นพิเศษก็เพราะว่ามันเป็นเก็บข้อมูลพื้นฐานของแสงแยกกันคนละ Layer ของ Sensor โดยอาศัยความจริงง่ายๆ ทางฟิสิกส์ว่าแสง R, G, B นี่ความยาวคลื่นไม่เท่ากัน ดังนั้นก็เลยจะเข้าถึง Sensor ที่ระดับชั้นต่างกัน ใน “หลักการ” และ “ทฤษฏี” ก็เลยน่าจะเก็บข้อมูลแสงได้ “จริง” และละเอียดกว่า Sensor แบบ Bayer ทั่วไป ที่เก็บข้อมูลแสงรวมหมด (ความเข้มแสง) และใช้ Filter ในการแยกให้เป็น R, G, B และใช้การ Interpolation ในการประมาณค่า

ถ้าไม่เข้าใจหลักการตรงนี้ก็ไม่ต้องสนใจมากมายครับ ในความเป็นจริงแล้ว Bayer Sensor มันเจ๋งครับ เทคโนโลยีมันถูกพัฒนามาทางนั้นเยอะมากซะจนมันโคตรแม่นในเรื่องการเดาค่าสีแล้วล่ะ กล้องปกติเค้าใช้กันหมดแหละ แต่ผมสนใจหลักการและแนวคิดของ Foveon มากเท่านั้นเอง


SDIM0006.jpg

พระพุทธรูปในซอกหิน, สถานที่: Kamakura, ญี่ปุ่น

ผมเคยลองจับ Sigma DP1 อยู่ครั้งหนึ่ง ตั้งแต่แรกๆ ที่ออกมาและมีของโชว์อยู่ที่ Big Camera เซ็นทรัลปิ่นเกล้า แต่ก็ไม่ได้ซื้อมาเล่น ถึงจะสนใจมากก็เถอะ เหตุผลก็ง่ายๆ เพราะว่ามัน “ห่วยเกินไป” ในฐานะกล้องดิจิทัล การทำงานช้ามากมายจนน่ารำคาญ โฟกัสไม่ได้เรื่อง เลนส์ก็ค่อนข้างจะไม่ไวแสงเท่าไหร่ (กว้างสุดที่ f/4) แล้วก็ไม่ใช่ระยะที่ผมถนัด (เทียบเท่า 28mm) และด้วยความที่เทคโนโลยีตอนนั้นทำให้ใช้ ISO สูงยังไม่ค่อยได้ แถมถึงจะใช้ Sensor แบบ 14MP ก็เถอะ แต่มันเล่นนับรวมทั้ง 3 Layer ของ Foveon Sensor ทำให้จริงๆ แล้วภาพที่รวม RGB มาให้เราเห็นแล้วมันจะได้ประมาณ 4.6MP (2652x 1768) เท่านั้นเอง …. ตอนนั้นผมก็เลยผ่านมันไป แต่ก็แอบหวังเล็กๆ ว่าคนอื่นที่ทำกล้องเป็นกว่า Sigma จะเอา Sensor ตัวนี้ไปใช้บ้าง…

เมื่อ Sigma ซื้อกิจการ Foveon ไปเป็นของตัวเอง ผมก็เลิกหวังเรื่องนั้นไปเลย หลังจากนั้น Sigma ก็ออกกล้องมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น Sigma DP2, Sigma DP1s, DP2s, DP1x ซึ่งผมบอกตรงๆ ว่าไม่ได้สนใจเลย (จริงๆ แล้วแอบมีใจให้ DP2 เล็กน้อย เพราะชอบระยะเลนส์มัน คือเทียบเท่า 45mm f/2.8) หรือว่าพวก DSLR คือพวก SD14, SD15 ที่ผมยิ่งไม่สนใจหนักเข้าไป


SDIM0007.jpg

ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณส่วนบุคคล ผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการ, สถานที่: Kamakura, ญี่ปุ่น

จนกระทั่งข่าวดังมาก ก็คือ “Sigma SD1” ที่มันดังไม่ใช่เพราะอะไรนะครับ แต่เป็นเพราะว่าราคาเปิดตัวมัน “แพงจัด” แบบว่าทำให้เห็น Leica M9 เป็นของราคาถูกได้เลย (10,000 USD ได้มั้ง ถ้าจำไม่ผิด) … เหตุผลที่ตั้งราคาขนาดนั้นก็ง่ายๆ ครับ เพราะ Sensor รุ่นใหม่ของ Foveon ที่เป็น 46MP (ทำให้ได้ภาพขนาดประมาณ 15.3 MP) ที่ทำให้ Sigma เชื่อว่าตัวเองมีดีพอจะตั้งราคา Premium ขนาดนั้น

แน่นอนว่า …. มันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยสักนิด และหลังจากนั้นไม่นาน Sigma ก็ลดราคา SD1 ลงมาเรื่อยๆ และมีการออก SD1 Merrill (ตั้งชื่อเป็นเกียรติให้ Dick Merrill ผู้คิด Foveon Sensor) ในราคาที่ถูกกว่ามากมายมหาศาล … เป็นราคาที่จับต้องได้ และนี่เอง ทำให้ผมเริ่มหวังนิดๆ หน่อยๆ ว่า Sigma จะอัพเดท DP2 ให้เป็น Merrill Edition ที่ใช้ 46MP Sensor ตัวนี้ ในราคาที่ “จับต้องได้” (และทำให้กล้องมันใช้งานได้มากขึ้น)


SDIM0010.jpg

พระพุทธรูปกลางแจ้ง, สถานที่: Kamakura, ญี่ปุ่น

และแล้ว ฝันก็เป็นจริงเมื่อ Sigma ประกาศ DP2 Merill (ต่อไปจะเรียกย่อๆ ว่า DP2M) ออกมาจริงๆ ..​… แต่มันหาลองเล่นในบ้านเรา “ยากมาก” … ไม่รู้ว่า Sigma ทำอะไรแสบๆ ในบ้านเราไว้บ้างหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ คือรุ่นเก่า (DP) ที่มันห่วยๆ มันขายไม่ค่อยออกด้วย ร้านก็เลยไม่ค่อยอยากจะสั่งมาเท่าไหร่ ขนาดถามผู้แทนจำหน่ายยังบอกว่าต้องสั่งจากนอกอย่างเดียว แถมต้องรอเป็นเดือนอีกตะหาก

ในเมื่อไม่มีของจริงให้ลอง เราก็เลยต้องลองแห้ง ด้วยการอ่าน Review หมดเน็ต (เท่าที่จะหาได้น่ะแหละ ในทุกภาษาที่อ่านออก) ว่าเป็นยังไง เน้นคนใช้จริงนะ ไม่ใช่แค่พวกทดสอบกับ Test-Chart อย่างเดียว … ก็อ่านจนแทบจะรู้ข้อเสียทุกอย่างมากมายของมัน และรู้ข้อดีของมันซึ่งมีไม่กี่อย่างหรอก


SDIM0154-2.jpg

Go Gothic, สถานที่ Disney Sea, ญี่ปุ่น

ก็ตัดสินใจอยู่พอสมควรล่ะนะ … ว่าคงจะสอยมาเล่นแน่ๆ … ทั้งๆ ที่มันข้อเสียมากมายมหาศาล และมีข้อดีแค่ข้อสองข้อเท่านั้นน่ะแหละ ……. บอกแล้วไง ว่ามันเป็นเรื่องหัวใจล้วนๆ ด้วยส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งก็คือ ไอ้ข้อดีข้อสองข้อของมันน่ะ มันน่าสนใจมากๆ น่ะแหละ

สั่งเมืองไทยรอนานไป …. ไปซื้อเมืองนอกก็ได้(วะ) พอดีตอนนั้นต้องไปญี่ปุ่นพอดี


SDIM0064.jpg

Empty Restaurant, สถานที่: สถานีรถบัส Lake Kawaguchi

ทริปที่ไปญี่ปุ่นครั้งนั้น ผมเอา Nikon D800 กับเลนส์ 24-120 f/4, 70-200 f/4 และ 14-24 f/2.8 ไปใช้งานเป็นหลัก แต่หลังจากวันแรกที่เดินเที่ยวแล้วก็มีเวลาแวะไปเยี่ยมเยียน Akihabara และแน่นอนว่า ….. ผมเดินตรงดิ่งไปแผนกกล้องทันที (จำไม่ได้ว่าไปตึกไหนนะ มันเยอะจัด) และหลังจากลังเลอีกพักเล็กๆ ก็จัดการสอยมาซะ … พร้อมกับ Hood และ View Finder ให้ครบชุด (ไม่งั้นคงจะหายากมากที่เมืองไทย)

กลับถึงที่พัก แกะมาเชยชมเล็กน้อย … ตัวกล้องออกแบบดี ประกอบดี น้ำหนักดีเลยเชียว หน้าตาก็เกือบๆ จะดีนะ (เอ๊ะ! ยังไง?!?) แล้วก็เอามาชาร์จแบตพร้อมกับตั้งค่าต่างๆ นอนอ่านคู่มือเล่นๆ นิดหน่อยเพราะว่ามันไม่มีอะไรให้อ่านมาก เป็นกล้องโง่ๆ ง่ายๆ แบบตรงไปตรงมามากพอตัว …. และแล้วมันก็พร้อมสำหรับการลองใช้งานในวันต่อไป … ในฐานะกล้องตัวที่ 2 (ตัวหลักคือ D800)


SDIM0067.jpg

Train Station, สถานที่: สถานี Suidobashi ในโตเกียว

ข้อเสียมากมาย … ในฐานะ “กล้องดิจิทัล 2013”

ก่อนที่จะเขียนถึงข้อดีแม้แต่ข้อเดียวของมัน ขอเขียนถึงข้อเสียมันให้หมดก่อนเลยก็แล้วกัน … เพราะว่าในการใช้งานจริงระหว่างลองถ่ายวันแรกนี่เรียกว่า “หาข้อดีแทบไม่ได้”

ข้อเสียที่ใหญ่มากข้อแรกที่เจอตั้งแต่รูปแรกที่ถ่ายก็คือ “โฟกัส” …. ผมอาจจะถูก Spoil ด้วยโฟกัสสายฟ้าของ D3s, D800, V1 มากไปหน่อย ก็เลยรู้สึกว่ามันเต่ามาก เข็นกันหืดขึ้นกว่ามันจะโฟกัสได้นี่มันช้าพอดูเลย ถึงจะเร็วกว่า DP1 รุ่นแรกที่ผมเคยจำได้ก็เถอะนะ …. แต่ถ้าผมรู้สึกว่า X100 กับ firmware แรกสุด (ไม่ใช่ล่าสุด) ยังเข้าท่ากว่าซะอีก นี่แปลว่ามันห่วยเข้าขั้นแล้วล่ะ

อย่าเอาไปถ่ายอะไรที่เคลื่อนที่ได้เด็ดขาดครับ กว่ามันจะจับโฟกัสได้ก็หายไปหมดแล้ว ถ่ายของที่อยู่นิ่งๆ ให้ถ่ายเท่านั้นครับ


SDIM0096.jpg
สถานที่: Tsukuba Center, ญี่ปุ่น

หลังจากที่มันโฟกัสได้แล้ว ก็มาเจอข้อเสียที่ใหญ่กว่านั้น … “แชะ!” กดถ่ายภาพเรียบร้อย เสียงชัตเตอร์เงียบใช้ได้ … ลองกด Playback ดูรูปหน่อยซิว่าเป็นไง …. เห้ยยยยย … อะไรเนี่ย ทำไมมันค้างล่ะ?!?!? แล้วไฟอะไรเนี่ยทำไมมันกระพริบไม่หยุด?!?!?

ใช่แล้วครับ ในโลกของ Instant Feedback, Instant Gratification …. การที่จะต้องรอกว่า 10 วินาที กว่ามันจะยอมให้ดูรูปที่ถ่ายไปได้ นี่มันเป็นอะไรที่แหกความเคยชินของยุคสมัยเอามากๆ! … และนี่เราใช้ SD Card ที่เร็วที่สุดเท่าที่จะมีขาย เท่าที่จะซื้อได้แล้วนะ!


SDIM0110.jpg
เตรียมเล่นสองหมื่นลี้ใต้ทะเล, สถานที่: Disney Sea, ญี่ปุ่น

เหตุที่มันช้าขนาดนี้ก็พอเข้าใจล่ะนะครับ ว่า 46MP นี่ข้อมูลมหาศาลเลย ว่าจะเขียนลงไฟล์หมดนี่คงจะเล่นเอาเหนื่อยอยู่ (D800 ถ่าย RAW ก็อารมณ์เดียวกัน ขนาดหมอนั่น MP รวมน้อยกว่านี้ แล้วก็มีกำลังประมวลผลมากกว่านี้นะ) … แต่การกด Playback มันไม่ใช่แค่ “อ่านไฟล์” น่ะสิ มันต้อง Generate JPEG Thumbnail สำหรับแสดง Preview ด้วย … นั่นแปลว่ามันต้อง Sampling ข้อมูลจาก RAW 3 Layer มาประมวลผลเป็นภาพเพื่อแสดงให้เราเห็น … ถ้า Processing Hardware ไม่แรงจริง หรือว่า Algorithm แย่ ก็คลานได้ง่ายๆ …. อย่างที่เห็นเนี่ยแหละครับ

เข้าใจนะ … แต่มันก็รู้สึกว่า “ช้า” อยู่ดี … บอกตัวเอง “เอาน่า … อย่างน้อยก็ยังดีกว่าฟิล์ม …. รอไม่กี่วินาทีก็ยังดูรูปได้แหละ”


SDIM0106-2.jpg
เตรียมเล่นสองหมื่นลี้ใต้ทะเล, สถานที่: Disney Sea, ญี่ปุ่น

เมื่อดู Preview รูปหลังกล้อง ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากมายว่ามันดีหรือว่ามันห่วย เพราะปัจจัยหลายอย่างน่ะแหละ ไม่ว่าจะเป็น JPEG หลังกล้อง จริงๆ แล้วมันเป็นแค่ Preview ที่สร้างจาก RAW แบบคร่าวๆ ให้เหมาะกับ Quick Preview หรือตรวจสอบอะไรเร็วๆ เท่านั้น (แต่มันก็ไม่เร็วนะ) หรือว่าคุณภาพของจอหลังกล้อง ฯลฯ มีผลทั้งนั้น รอกลับไปดูกับคอมดีกว่า

ก็ลองถ่ายรูปเล่นเรื่อยเปื่อย … จนกระทั่ง … “เห้ย?!?!?!?” อีกครั้ง หลังจากถ่ายรูปไปแค่ไม่กี่รูปเท่านั้น แบตฯ ที่ชาร์จไว้เต็ม ก็ลดลงซะแล้ว?!?! …. โห … อันนี้โหดร้ายจริง! ถ้ามันลดแบบนี้ เดาได้เลยว่าถ้าถ่ายไปดูไปแบบนี้ รับรองได้เลยว่าแบตก้อนนึงชาร์จเต็มน่าจะใช้ได้แค่ 50-70 รูปเป็นอย่างมากเท่านั้น (ไม่แน่ใจ ยังไม่เคยใช้จนหมด) …

ส่วนเหตุที่มันแดร๊กแบตขนาดนี้ก็พอเข้าใจแหละครับ มันต้องเขียนข้อมูลมหาศาล ต้องประมวลผลข้อมูลมหาศาล มันก็ต้องใช้กำลังเครื่องมาก ก็กินพลังงานมากเป็นเงาตามตัว … อีกอย่างก็คงเป็นเรื่องของการออกแบบ ที่ต้องการจะรักษาขนาดของกล้องเอาไว้ไม่ให้มันตัวใหญ่กว่านี้ ก็เลยใช้แบตก้อนเล็กหน่อย …. มันก็เลยหมดเร็ว

ก็ต้องชม Sigma อยู่นิดหน่อยครับ ที่ให้แบตฯ มาสองก้อนเลย ก็พอกล้อมแกล้มไปได้อีกนิดหน่อย


SDIM0135-2.jpg

โดนความอลังการของตึกดึงดูดไปเล่นลิฟท์ผีสิงดิ่งพื้น …​ โหดร้าย, สถานที่: Disney Sea, ญี่ปุ่น

สรุปสั้นๆ … มันโหดร้ายมากพอดูเลยล่ะครับ ถ้าคิดว่านี่มันปี 2013 และไอ้หมอนี่มันเป็นกล้องดิจิทัลที่ขายในปี 2013 นะ …​ แต่ถ้าคิดว่ามันเป็นกล้องฟิล์มซะก็คงสบายใจขึ้นนิดหน่อย

ลืมๆ ไปซะว่ามันเป็นกล้องดิจิทัล … ใช้ Optical ViewFinder (ซึ่งบอกไม่ได้ว่ามันโฟกัสได้หรือเปล่า) อย่างเดียวก็ได้วะ ไม่ดูหลังกล้องล่ะ ไว้ใจ Auto Focus มันหน่อย (ถึงมันจะช้าและไว้ใจไม่ค่อยได้ก็เถอะ แต่อย่างน้อยตั้ง Center Focus ไว้อย่างเดียวก็ช่วยได้น่า) … แล้วก็พกแบตฯ สำรองหลายก้อนหน่อย คิดว่าพกกล่องฟิล์มสำรองละกัน อันนี้ถ่ายได้ตั้ง 50-70 รูป เยอะกว่าฟิล์มม้วนนึง (24-36 รูป) เป็นไหนๆ! … ถ่ายเสร็จแล้วก็ไม่ต้องดู Preview มันหรอก ค่อยกลับไปดูที่ห้อง ดูในคอมอย่างเดียวเลยก็พอ! .. มีอะไรอีกหว่า … เออใช่ อีกอย่างก็คือ เพราะว่ามันทั้งช้าทั้งกินแบตนี่แหละ ทำให้เราต้องคิดมากหน่อยกว่าจะถ่ายแต่ละรูป

โอ้วมายก๊อด … นี่มันกล้องฟิล์มชัดๆ! T_T


SDIM0131.jpg
เตรียมดูการแสดงกลางแจ้ง, สถานที่: Disney Sea,​ ญี่ปุ่น

การเป็น “กล้องดิจิทัลที่คิดว่าตัวเองเป็นกล้องฟิล์ม” ของเจ้า DP2M ยังไม่จบแค่นี้ … ต้องการ Scene Mode หรือ Digital Art Filter เรอะ อย่าหวังเลย ยังดีนะที่ให้ Basic Color Mode พวก Standard, Vivid, Neutral อะไรพวกนี้มาด้วย ไม่งั้นอาจจะแย่กว่าฟิล์มซะอีกนะ เพราะอย่างน้อยฟิล์มยังเปลี่ยน Provia, Velvia อะไรพวกนี้ได้

อีกอย่าง เลนส์ 30mm f/2.8 (เทียบเท่า 45mm) ที่ให้มา ก็ไม่ได้ไวแสงเท่าไหร่ … แต่ดันไม่มี Image Stabilization (ระบบกันสั่น) ใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งถ้าประสิทธิภาพ ISO สูงทำได้เจ๋งนี่ก็ยังพอรับได้ ถ้าแสงไม่พอก็ดัน ISO เอา แต่อันนี้มัน … เดี๋ยวจะเขียนถึงเรื่อง ISO ตอนที่ดูภาพละกัน

แล้วก็ … ลืมๆ ไปซะว่ามันถ่าย Video ได้ครับ


SDIM0269.jpg

City Sunset, สถานที่: สีลม, กรุงเทพ

มีอะไรอีกมั้ยที่ไม่ได้เข้าท่า … ที่เป็นข่าวร้ายคือ “มี” .. แต่จะร้ายแรงน้อยลงแล้วล่ะ (เย้!)

ถ้าใครเป็นคนชอบถ่าย JPEG นะ ต้องบอกว่า “ลืมมันไปซะ” เพราะว่า In-Camera JPEG Engine มันห่วยจัดจนไม่รู้จะว่ายังไงดี เคยคิดว่า JPEG Engine ของ Leica M8 หรือ Panasonic GF1 มันห่วยแล้วนะ ตัวนี้นี่ … ทำให้รู้สึกว่า 2 ตัวนั้นเทพขึ้นมากระทันหัน เพราะว่ามันห่วยยิ่งกว่าห่วย ต้องถ่าย RAW แล้วไป Process เองเท่านั้น แต่ที่มันห่วยที่สุดก็คือ มันดันห่วยไม่ทุกกรณีเนี่ยสิ บางกรณีมันดันดีกว่า RAW ซะได้ ไม่มีความ Consistent เอาซะเลย ตอนนั้นก็ยังศึกษานิสัยมันอยู่เลยว่าเมื่อไหร่ สถานการณ์ไหนมันจะดีกว่าหรือห่วยกว่า


SDIM0141.jpg
ตึกลิฟท์ผีสิงดิ่งพสุธา อีกรอบ .. อลังการได้ใจมาก! สถานที่: Disney Sea, ญี่ปุ่น

เมนูและปุ่มเข้าถึงต่างๆ .. ไม่แย่ แต่ … นิดนึงนะ

ข่าวดีเล็กน้อย ก็คือเนื่องจาก DP2M เป็นกล้องที่มีฟีเจอร์น้อยจัด และการดีไซน์ภายนอกที่เรียบง่ายจัด ดังนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องปุ่มนับร้อยหรือเมนูซับซ้อนแต่อย่างใด ต้องบอกว่าอันที่จริงแล้ว ปุ่มการควบคุมภายนอกมันน้อยได้ใจมากเลย

ตรงเพลทด้านบน จะมีแค่ปุ่มเปิด/ปิด ปุ่มเลือก Mode การถ่ายภาพ (PASM+Video) และ Command Dial เท่านั้น ส่วนด้านหลังจะมี AE-L, QS (Quick Setting), Menu, Playback และ Display Mode แยกเป็นปุ่มโดดๆ ในขณะที่ 4-Way Buttons ตรงกลาง (ที่มันหมุนไม่ได้ แต่ใช้ Layout ยังกะหมุนได้) จะมีปุ่มเลือก Manual Focus, Exposure Compensation, และเลือกตำแหน่ง Auto Focus เท่านั้น


SDIM0170.jpg

Rocks & Ice, สถานที่: Nikko, ญี่ปุ่น

บอกตามตรงว่าผมค่อนข้างจะรู้สึกก้ำกึ่งกับฟังก์ชั่น QS ของ DP2M นะ คือไอเดียมันดีใช้ได้แหละ เราจะเลือกฟังก์ชั่นสำหรับการตั้งค่าบางอย่างจากเมนูข้างในมาใส่ไว้ตรงนี้ เพื่อให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้นเวลาที่กดปุ่ม QS ตามด้วยปุ่มบน 4-Way Buttons แล้วก็เปลี่ยนค่าด้วย Command Dial … แต่ผมยังรู้สึกว่าชอบ Implementation ของ Quick Menu ของ Panasonic มากกว่าเยอะ หรือว่า Setting Command Dial ของ Nikon P7700 ก็ได้

แต่ต้องชมนะ ว่าเมนูซับซ้อนน้อยมาก แป๊บเดียวดูหมดแล้ว แถมการตั้งค่าก็ไม่มีอะไรยุ่งยาก การตอบสนองในส่วนของเมนูก็ไวมาก ต่างจากส่วนของการทำงานกับเรื่องถ่ายรูป ซึ่งก็แปลว่าจริงๆ แล้ว Processor ที่อยู่ข้างในมีกำลังพอตัวนะ ไม่ได้ห่วยแต่อย่างใด แต่มันคงจะไม่พอสำหรับปริมาณข้อมูลจริงๆ ไม่ก็ Algorithm ยังไม่ดีพอ (แปะโป้งไว้นิด เดี๋ยวกลับมาประเด็นนี้)


SDIM0176.jpg
สถานที่: Nikko, ญี่ปุ่น

หลังจากถ่ายไปสักพัก ต้องบอกว่าตอนแรกที่รู้สึกว่ากล้องออกแบบมาแปลกๆ ที่ให้เลนส์เยื้องไปทางซ้ายของตัวกล้อง แทนที่จะอยู่ตรงกลางเหมือนกับตัวอื่นๆ นี่เริ่มจะเข้าท่าขึ้นบ้างนิดหน่อย เพราะมันเหลือพื้นที่ให้จับได้ค่อนข้างถนัด ทั้งมือขวาที่จะต้องถือตัวกล้อง และมือซ้ายที่จับตัวเลนส์เลยล่ะ

ก็เลยนึกว่า …. ไหนๆ จะใช้มือซ้ายช่วยได้ถนัดขนาดนี้ แล้วเลนส์มันก็เป็นเลนส์ Fixed (คือเปลี่ยนไม่ได้) …. ทำไมมันถึงไม่ทำ Aperture Ring ไว้ที่เลนส์แบบ Fuji X100 เลยฟะ น่าจะใช้คล่องขึ้นอีกเยอะ

ถ่ายรูปมาทั้งวันแล้ว … ก็ได้เวลากลับที่พักไปดูรูปกันซะที


SDIM0201-2.jpg
Stream from Melting Snow, สถานที่: Nikko, ญี่ปุ่น

ความโหดร้าย … ที่แถมมา

ที่อ่านๆ มา ยังไม่เห็นข้อดีเลยสักข้อ … ยังไม่พอครับ ยังมีเรื่องโหดร้ายที่แถมมากับ DP2M อีกเรื่อง คราวนี้ไม่ใช่เรื่องกล้องครับ แต่เป็นเรื่อง “ซอฟต์แวร์” ที่จะต้องใช้ในการทำงานกับไฟล์ RAW ของ DP2M นั่นก็คือ “SIGMA Photo Pro” (SPP)

ปกติแล้วผมจะทำงานทุกอย่างใน Adobe Lightroom (LR) โปรแกรมเดียว ไม่ว่าจะเป็น RAW Converting หรือการปรับแก้ต่างๆ กับไฟล์ RAW/JPEG จากกล้องทุกตัวที่ผมมี (และปกติผมไม่ค่อยถ่าย RAW ถ้าไม่จำเป็น) ไม่ค่อยจะใช้โปรแกรม RAW Converter ของผู้ผลิตกล้องเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็น Capture NX หรือว่า SilkyPix หรืออะไรก็ตาม … แต่ความจริงง่ายๆ ที่ผมต้องอยู่กับมันก็คือว่า LR ยังไม่รองรับไฟล์ RAW ของ DP2M ก็เลยไม่มีทางเลือก


SDIM0212.jpg
Old House, สถานที่: Nikko, ญี่ปุ่น

ถ้าการใช้งาน DP2M ในฐานะ “กล้องดิจิทัลในปี 2013” นี่แย่แล้ว การใช้งาน SPP นี่โหดร้ายยิ่งกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเคยใช้ LR หรือ Aperture หรือ CaptureOne มาด้วยแล้วยิ่งเลวร้ายหนักเข้าไปอีกเยอะ … (ถึงแม้ว่าถ้าเทียบกับ Capture NX หรือ SilkyPix แล้วมันอาจจะไม่ได้แย่ขนาดนั้นก็ตามที)

เริ่มด้วยการตอบสนองของโปรแกรมที่เข้าข่ายแย่ ส่วนติดต่อกับผู้ใช้ที่ไม่ค่อยจะสื่ออะไร Workflow การทำงานของโปรแกรมที่ค่อนข้างจะประหลาด เช่นเราต้องสั่งโหลดข้อมูลภาพแบบ Full-Size จากไฟล์เอง (การ Double Click บนรูปไม่ทำแบบนั้นให้) การตอบสนองการทำงานประมวลผลภาพทุกอย่างที่แย่ซะหมด จนเหมือนกับว่ามี Algorithm ในการทำงานกับภาพที่ไม่น่าจะฉลาดเท่าไหร่นัก เท่านี้ไม่พอ … Option ในการทำ RAW Convertor ก็ยังค่อนข้างประหลาดซะอีก


SDIM0223.jpg
Famous Bridge, สถานที่: Nikko, ญี่ปุ่น

การทำงานกับ SPP ในการ Convert ภาพถ่ายที่เป็น RAW นับร้อยภาพนี่เป็นอะไรที่ “นรก” มาก แต่ก็ช่วยไม่ได้เท่าไหร่ เพราะว่ามันมีฟังก์ชั่นบางอย่างเหมือนกันที่ SPP น่าจะรู้จักตื้นลึกหนาบางของ DP2M​ RAW (X3F) ดีที่สุด เช่น การทำงานกับ Highlight, Shadow ที่ดูจะต่างจาก LR หรือว่าการจำลองการยิงแฟลชแบบ Fill-Light เข้าในเงามืด หรือที่เรียกว่า X3 Fill Light (ซึ่งผมยังลองๆ อยู่นะ ว่ามันต่างจากการดึง Shadow ใน TIFF ที่แปลงตรงไหนบ้างในรายละเอียด หรือว่าจริงๆ แล้วมันทำงานยังไงกันแน่) …. แต่ว่าที่แน่ๆ คือฟังก์ชั่นการปรับ WB นี่ใช้งานค่อนข้างยากมากเลยล่ะ

แต่ระหว่างทำงานนี่ ทำให้ผมค่อนข้างจะเห็นความสามารถที่จะเป็น “ข้อดี” ของ DP2M แล้วล่ะ …. แต่ผมคงจะต้อง Export มันทั้งหมดไปทำงานต่อใน LR ก่อน เพราะทำบน SPP นี่ไม่ไหว ไม่มีความอดทนขนาดนั้น


SDIM0249.jpg
ลูกๆ ที่บ้าน นอนเล่นในโรงรถ, สถานที่: บ้าน

ผมนั่งทำงานกับ SPP ในการสร้าง Export Preset กลางๆ ทีเรียกว่าน่าจะใช้ได้ดีกับภาพส่วนมากไว้ 2-3 ตัว จากนั้นทำการ Batch Export ภาพทั้งหมด … ซึ่งใช้เวลามากพอดูเลยล่ะ กว่าจะเสร็จ เรียกว่ากด Export แล้วเดินไปอาบน้ำหรือทำอะไรก็ได้รอได้เลย จำนวนรูปแค่ประมาณ 100 รูปนี่ผมอาบน้ำเสร็จเลยล่ะ (กับ Macbook Pro Retina 15″)

เมื่อเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เลยบอกลา SPP แล้วก็เปิด LR ขึ้นมา Import รูปเข้ามานั่งสำรวจรายละเอียด ….

ข้อดี …​ แค่ข้อเดียว

จริงๆ แล้ว Sigma DP2 Merrill นี่จัดเป็นพวก One-Trick-Pony ครับ เป็นพวกมีข้อดีข้อเดียว สิ่งที่ทำได้ดีอย่างเดียว ท่ามกลางสิ่งที่ทำไม่ได้หรือทำได้แบบไม่ได้เรื่องมากมายมหาศาล แต่สิ่งที่ทำได้ดีแค่อย่างเดียว มันดันทำได้ดีมาก มาก มาก มาก เท่านั้นเอง เหมือนกับคนเราเรียกว่า “อัจฉริยะปัญญานิ่ม” แบบในหนังเรื่อง Rain Man น่ะแหละ

และข้อดีข้อเดียวของมันที่ว่านี้ก็คือ “ภาพที่ได้ ที่ ISO ต่ำ” ครับ


SDIM0273.jpg
Morning Coffee, สถานที่: บ้าน

รวมๆ แล้วภาพที่ได้ที่ ISO ต่ำ นี่บอกได้คำเดียวเลยว่า “สุดยอดมาก” ขนาดปกติผมคุ้นกับภาพจาก D800 ของตัวเอง และลักษณะภาพจาก D800E พอสมควร (ซึ่งผมดูแล้วรู้สึกว่าไม่ต่างกันเท่าไหร่ เลยเอา D800 มา) แล้วก็มี X-Pro1 ที่ใช้ X-Trans Sensor ซึ่งไม่มี Anti-Alias และน่าจะให้ภาพที่คมและมีมิติกว่าอยู่แล้วนะ … ความรู้สึกแรกเลยเมื่อเห็นภาพจาก DP2M ใน LR แบบละเอียดๆ นี่คือ “โอ้ว แม่เจ้า….!!!”

ปกติไม่ใช่คนที่ Pixel Peep นะ แต่ครั้งนี้อดไม่ได้จริงๆ ที่จะกดเข้าไปดูรายละเอียดทั้งหมดเท่าที่มันเก็บได้


SDIM0282.jpg

แผล็บ! สถานที่: บ้าน

ถ้าเมื่อกี้ผมมีความรู้สึกว่า “โอ้ว แม่เจ้า…” คราวนี้อุทาน “แม่เจ้าโว้ยยย” ออกมาเลย ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเก็บรายละเอียดได้มากขนาดนี้ ไม่ใช่แค่คมนะ แต่ “มิติ” ของมัน ความเปรียบต่างสีเล็กๆ น้อยๆ หรือที่เรียกว่า Micro-contrast ของมันนี่เจ๋งมาก ไม่น่าเชื่อว่าวันจะเก็บได้ขนาดนี้ ภาพ Landscape หรือ Still Life Object นี่บาดจิตมากๆ

เรียกว่าอะไรก็ตามที่มีรายละเอียดเล็กน้อยยิบย่อย มีมิติของสีเล็กน้อยยิบย่อยในรายละเอียด DP2M เก็บหมดไม่มีเหลือ และภาพที่ได้มี Character เฉพาะตัวที่อธิบายไม่ถูก .. ต้องเห็นเอง


SDIM0285.jpg

Small Lotus Pond, สถานที่: บ้าน

นี่เป็นกล้องตัวแรกนะ ที่ผมต้องทำ Negative Sharpen กับรูปหลายรูป เพราะว่าผลที่ได้มัน “คมเกินไป” จนเข้าไปดูแล้วบางทีรู้สึกว่ามันเก็บรายละเอียดแบบไม่ปราณี การที่เก็บข้อมูลแสงแยกกันไปเลยไม่มี Color-Interpolation นี่มันคงจะส่งผลแบบนี้สินะ เพราะ Interpolation มันทำลายความคมที่เป็นผลจาก Micro-contrast อยู่แล้ว (เพราะมันเล่นประมาณค่าสีของ Pixel หนึ่งๆ จากความเข้มแสงรอบๆ มาคำนวน ก็เลยออกแนวเฉลี่ยๆ กันไป — จริงๆ แล้วมันซับซ้อนกว่านี้ ถ้ามีเวลาจะเขียนถึงเต็มๆ)


SDIM0317.jpg
กระดูกข้าใครอย่าแตะ! สถานที่: บ้าน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเอาไปถ่ายคน … นี่ต้องกลับเข้าไปทำ Negative Sharpen ใน SPP เยอะเลยทีเดียว ไม่งั้นจะดูโหดร้ายมาก เพราะพี่แกเล่นเก็บรายละเอียดทุกเม็ดทุกอย่างแบบไม่ให้อภัยร่องรอยนิดหน่อยตามธรรมชาติเลย …. สรุปว่า “ถ่ายวิวกับต้นไม้ใบหญ้าและหมาๆ ต่อไป”


SDIM0340.jpg

น้องสาว, สถานที่: บ้านที่สระบุรี

ส่วนหนึ่งที่ภาพมันดีขนาดนี้ ก็เพราะว่า “เลนส์ 30mm f/2.8” ตัวที่ติดมากับกล้องเนี่ยแหละ ข้อดีของกล้องแบบ Fixed เลนส์แบบนี้ก็คือมันออกแบบเลนส์กับ Sensor มาให้พอดีกันแบบเป๊ะๆ ได้ นั่นหมายความว่าข้อเสียของเลนส์จะถูกแก้ไขด้วย Sensor และจุดอ่อนของ Sensor จะถูกกลบด้วยเลนส์ ซึ่งนี่คือเรื่องที่กล้องแบบเปลี่ยนเลนส์ได้จะทำไม่ได้ หรือกล้องแบบเปลี่ยนเลนส์ไม่ได้แต่เลนส์ดันซูมได้ จะทำได้ค่อนข้างลำบากกว่าเยอะ

Sigma ค่อนข้างขึ้นชื่อเรื่องทำเลนส์ Prime (เลนส์ระยะเดียว ที่บ้านเราชอบเรียกว่าเลนส์ Fix) อยู่แล้ว เลนส์ DSLR สำหรับ Nikon, Canon รุ่นหลังๆ นี่เรียกว่าต่อยเลนส์ค่ายร่วงไปหลายตัว ไม่ว่าจะเป็น 50/1.4, 35/1.4 สำหรับ Full-Frame หรือ 30/1.4 สำหรับ APS-C


SDIM0333.jpg
ท่อระบายน้ำ, สถานที่: จำไม่ได้… แต่คงหาได้ทั่วไป

เลนส์ 30/2.8 ตัวนี้ขั้นเทพล่ะครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Distortion เรื่องการเสียแสง เรื่องความคมตั้งแต่ขอบยันขอบ เรื่องการถ่ายทอดสีสัน เรื่องการเก็บรายละเอียด ฯลฯ ถูกออกแบบมาเพื่อประกบกับ Sensor ข้างล่างโดยเฉพาะ และเจ้า Foveon Sensor ตัวนี้ก็เก็บรายละเอียดมันทุกเม็ดแสงซะด้วย ผลที่ได้มันก็เลยออกมาแบบนี้แหละ

เสียดายมาก ถ้า Sigma มี Designer ของ Fujifilm หรือ Leica (หรือแม้แต่ Sony) ผมเชื่อว่า Sigma DP2M และเลนส์ 30/2.8 ตัวนี้จะเป็นอะไรที่ “Killer” มากๆ อย่างน้อยๆ ตัวเลนส์มันก็คงจะดูกิ๊กก๊อกน้อยกว่านี้ ดูสมศักดิ์ศรีของสิ่งที่มันทำได้กว่านี้หน่อย

อารมณ์มันเหมือนกับหุ่น Jaeger รุ่น Mark-V ที่แข็งแกร่งสุดยอด แต่ดีไซน์ได้น่าเกรงขามราวกับ C-3PO ขยายส่วนจริงๆ ให้ตายเถอะ [ถ้าไม่ได้ดู Pacific Rim จะงงๆ หน่อยนะ]


SDIM0341.jpg
สวนบนกำแพง, สถานที่: บ้านที่สระบุรี

สรุปสั้นๆ ง่ายๆ

ภาพที่ ISO ต่ำ … Sigma DP2 Merill ต่อย X-Pro1+35/1.4, D800+Sigma 50/1.4, Nikon 50/1.8 ร่วงสบายๆ

แต่ว่า ……………..


SDIM0383.jpg
รากไทร, สถานที่: พัทยา

ส่วนภาพที่ ISO สูงน่ะเหรอ ลืมๆ ไปเลยเช่นกัน อย่าคิดว่ากล้องตัวนี้ถ่ายได้เกิน ISO 800 ซึ่งเป็นอะไรที่โหดร้ายมากในยุคที่แม้แต่กล้อง Compact ตัวเล็กๆ นี่ยังมี ISO 1600 ที่พอใช้งานได้ …. ผลที่ได้จาก ISO 800 ขึ้นไป นี่มันแบบ … ห่วยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ล่ะ สีเพี้ยนกระจาย Noise เยอะแบบไม่รู้จะว่าไง

ผมไม่แน่ใจว่ามันเป็นเพราะอะไร แต่ถ้าจะให้ “เดา” (แบบมีหลักการ) ก็คงเป็นเพราะ Foveon Sensor เนี่ยแหละ


SDIM0368.jpg
ลมทะเล, สถานที่: พัทยา

เนื่องจากหลักการพื้นฐานของ Foveon Sensor ก็คือ แสง R, G, B มันมีความยาวคลื่นไม่เท่ากัน มันก็เลยเข้าถึง Sensor ที่ระดับต่างกัน … และ Sensor ก็จะแยกเก็บ R, G, B ที่เข้ามาถึงแยกๆ กันไปเลย ในขณะที่ Bayer-Sensor จะทำตรงข้ามกัน ก็คือไม่ได้เก็บ R, G, B แต่จะรับความเข้มแสง (เป็นขาวดำน่ะแหละ) แล้วก็เอาใช้ Filter Array ในการประมาณค่าสีทีหลัง

ทีนี้มันก็เลยเป็นแบบนี้ ว่ามันคงเป็นไปได้แหละ ที่เมื่อแสงน้อย (มืด) คลื่นแสงในแต่ละความยาวคลื่นของ R, G, B มันดันอ่อนลงไม่เท่ากัน ก็ลยเหลือข้อมูลมาลงใน Sensor แต่ละ Layer ต่างกัน ในขณะที่ Bayer จะไม่มีปัญหานี้ เพราะพี่แกเล่นรับความเข้มแสงอย่างเดียว ซึ่งถ้าจะอ่อนลงก็จะอ่อนลงไปทั้งหมด


SDIM0379.jpg
After Sunset, สถานที่: พัทยา

ทีนี้การดัน ISO ในกล้องดิจิทัลก็คือ การทำ Digital Signal Processing (DSP) เพื่อพยายามเพิ่มข้อมูลขึ้นมา ซึ่งถ้าเกิดมันมีข้อมูลเพียงพอก็จะดันได้เนียน แต่ถ้าข้อมูลมันหมดเมื่อไหร่ Noise ก็จะเริ่มตามมา ยิ่งดันสูงขึ้นไปอีก Noise ก็ยิ่งจะมา … เหมือนกับเร่งเสียงลำโพงน่ะแหละ ถ้าเพลงอัดมาไม่ดี เสียงก็แตกละเอียด … และนี่เป็นเหตุให้ Sensor ใหญ่มี Noise น้อยกว่า Sensor เล็ก เพราะมันเก็บข้อมูลได้เยอะกว่าเป็นทุนเดิม

ถ้าข้อมูลมันเป็นความเข้มแสง การทำ DSP เพื่อเพิ่มข้อมูลก็จะเป็น Uniform มาก เพราะจะเพิ่มที่ความเข้มแสงเลย แล้วไปคำนวนแบ่งสีทีหลัง … ทีนี้จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าข้อมูล R, G, B มันแยกกันอยู่แล้ว และมันมีไม่เท่ากัน? ถ้าคิดตื้นๆ ง่ายๆ ในการทำ DSP ก็คือ ข้อมูลที่เพิ่มขึ้นจะเริ่ม “เอียง” และมี Noise ประหลาดๆ เกิดขึ้นเยอะมาก ทำให้สีเพี้ยนและมี Noise สีแปลกๆ ที่เกิดขึ้นเฉพาะในบางคลื่นแสง


SDIM0403.jpg
ลูกชาย นอนเล่นที่บันได, สถานที่: บ้าน

วิธีแก้ … ก็ใช้มันเป็นกล้องขาวดำซะ นั่น … ย้อนยุคหนักเข้าไปอีก ตอนแรกเป็นกล้องฟิล์ม … และเมื่อแสงน้อยก็จะกลายเป็นกล้องฟิล์มขาวดำ -_-“

จะว่าไป จริงๆ แล้วไม่ต้อง ISO สูงมากนะ แต่เอาแค่ที่ๆ แสงมันน้อยๆ หน่อย แค่ ISO 320 นี่ก็อาจจะเห็น Color-Banding แปลกๆ นิดหน่อยแล้วล่ะ ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะข้อมูลใน Sensor จริงๆ หรือว่า Algorithm การทำ RAW Conversion ใน SPP มันห่วยกันแน่ (ขอให้เป็นอย่างหลังเถอะ เพี้ยง!)


SDIM0404.jpg
ริมสระน้ำ, สถานที่: Cher Report ชะอำ

ข่าวดีเล็กน้อยก็คือว่า ได้ข่าวว่า Adobe กำลังเริ่มทำ RAW Conversion สำหรับ RAW ของ Sigma อยู่นะ ถ้าได้เมื่อไหร่คงจะได้บอกลาขาดกับ SPP และมีความสุขกับการใช้ DP2M ขึ้นอีกเยอะ

สรุป….

Sigma DP2 Merrill เป็นโคตรกล้อง One-Trick-Pony ครับ เป็นกล้องที่เรียกว่า Do-One-Thing-And-Do-It-Very-Well มากๆ ท่ามกลางข้อเสียมากมายมหาศาลที่ใช้แล้วปวดใจปวดจิต และให้ผลลัพธ์ที่คาดเดาไม่ค่อยได้เท่าไหร่ในตอนแรกๆ แต่เมื่อเราเรียนรู้สิ่งที่มันทำได้ สถานการณ์ที่เหมาะกับมัน ที่ๆ ควรนำมันไปใช้ รับรองได้เลยว่ามันไม่เคยทำให้ผิดหวังเลยสักนิด

มีคนเคยเทียบ Leica M ว่า “ลองคิดว่าเป็นแฟนกับ Pamela Anderson (ถ้าตัวอย่างประเทศไทย ก็คงบรรดาสาว Maxim มั้ง) .. อย่าไปคาดหวังว่าเธอจะทำงานบ้าน อยู่บ้าน เลี้ยงลูก …. ถ้าแบบนั้นจะขัดจิตมาก แต่ถ้าปล่อยให้เธอทำสิ่งที่เธอเก่งล่ะก็ รับรองว่าลืมเธอไม่ลงเด็ดขาด”


SDIM0004.jpg
Ume สถานที่: Kamakura, ญี่ปุ่น

Sigma DP2 Merrill ก็อารมณ์เดียวกันเลยครับ

ทุกสิ่งทุกอย่างน่ะแหละ ถ้าเราเรียนรู้ที่จะอยู่กับ “ธรรมชาติของมัน” และปล่อยให้มันทำสิ่งที่เป็นธรรมชาติของมันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ มากกว่าไปคาดหวังคาดคั้นให้มันเป็นสิ่งที่มันไม่ได้เป็น สิ่งที่มันทำไม่ได้ …. เรามีความสุขกับมันได้ทั้งนั้นครับ


SDIM0191.jpg
Under the Melting Snow, สถานที่: Nikko, ญี่ปุ่น

แถมท้าย: วันแรกที่ได้กล้องมา โพสท์ภาพลงเน็ตไป 2 ภาพ (คือรูป “ดอกไม้บานหน้าวัด” และ “พระพุทธรูปกลางแจ้ง” ที่อยู่ในบทความนี้) …. เพื่อนสนิทคนหนึ่งเห็นภาพแล้วรีบส่ง Message มาบอกว่า “ฝากซื้อด้วยตัวนึง ได้โปรด” แล้วผมก็เห็นคนเพ้อเวิ่นเว้ออยู่ใน Twitter พักนึง อยากได้มาก ลงแดง ถึงกับยกเลิกการซื้อ Sony RX1 ที่จองไปแล้วด้วย ฮ่าๆ เลยต้องวิ่งไปซื้อให้อีกตัวก่อนจะกลับไทย