“แสงจันทร์” เคยเป็นแสงที่สว่างที่สุดในเวลากลางคืนมาเนิ่นนาน ถึงมันจะสว่างไม่ได้เสี้ยวหนึ่งของแสงอาทิตย์เวลากลางวัน แต่มันก็สว่างพอจะให้อุ่นใจเวลากลางคืน
แต่เดี๋ยวนี้เรากลับรู้สึกว่าแสงจันทร์มันมืดมาก มืดจนไม่ได้ช่วยอะไรในตอนที่เรามองไม่เห็นอะไร
Moonlight Sonata, 1st Movement
คงเพราะว่าเรามีไฟฟ้า เราแหล่งกำเนิดแสงต่างๆ มากมาย มีไฟฉาย มีไฟหน้ารถ มีไฟบ้าน มี ฯลฯ แสงจันทร์ก็เลยดูด้อยลงไป
แต่ส่วนหนึ่งมันก็เพราะเราไม่ได้นั่งอยู่นิ่งๆ ให้นานพอ ให้แสงจันทร์มันค่อยๆ ส่องกระทบสิ่งต่างๆ สะท้อนเข้าตาเราให้นานพอกระมัง … หลายครั้งถ้าเราทำแบบนั้นกลางป่ากลางเขา เราอาจจะเห็นเลยว่า แสงจันทร์มันก็สว่างและทำให้เราเห็นอะไรต่ออะไรได้มากพอดู
ก็เหมือนกับ “ความรู้” และ “ความเข้าใจ” ล่ะนะ เวลาที่เรา “รับรู้” มัน อาจจะเหมือนกับแสงไฟประดิษฐ์ต่างๆ ที่ทำได้เร็ว ทำได้ทันที เปิดสวิทซ์ปุ๊บก็ติดปั๊บ ไฟติดแล้วมองเห็นสว่างไสว … แต่ก็อยู่จำกัดกับที่แคบๆ เท่าที่แสงไฟประดิษฐ์หรือไฟฟ้าหล่านั้นจะส่องไปถึง
Moonlight Sonata, 2nd Movement
แต่กับความ “เข้าใจ” มันกลับเหมือนกับแสงจันทร์นะ ที่จะต้องค่อยๆ ให้ความรู้นั้นๆ มันส่องลงไปบนสิ่งต่างๆ รอบตัวเราให้มากพอ ให้นานพอ ถึงจะมองเห็นมันได้
เรามองสิ่งต่างๆ ในความมืดให้นานพอจนกระทั่งมองเห็นมันด้วยตัวเองหรือยัง …. หรือว่าใจเราจะรีบร้อน มองหาไฟฉาย มองหาแหล่งกำเนิดแสงมาฉายมันอยู่เรื่อย ….
Moonlight Sonata, 3rd Movement
มันต่างกันแค่ .. เมื่อสายตาเราปรับเข้าหาความสว่างของแสงจันทร์ได้แล้ว เราจะมองเห็นทุกอย่าง แต่ถ้าเราต้องอาศัยไฟฉาย เมื่อไฟฉายกระบอกนั้นหันไปทางอื่น เราก็จะมองไม่เห็นอะไร และอยู่ในความมืดต่อไป
ภาษาที่ใช้ในการบรรยายสละสลวยมาก ราวกับว่าจบเอกอักษรศาสตร์มาเลยคะ