คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายที่รอคอย #1: “The Butterfly Effect”

เรื่องเล่า ที่เรียบเรียงจากเรื่องจริงของผม และว่าที่เจ้าสาว คุณวัชรพรรณ โล่ห์ทองคำ ตอนที่ 1

อัพเดทล่าสุดเมื่อ 10 กันยายน 2555

1994-1996: เมื่อผีเสื้อกระพือปีก (The Butterfly Effect)

Does the flap of a butterfly’s wings in Brazil set off a tornado in Texas?
— Philip Merilees

การกระพือปีกของผีเสื้อน้อยๆ ตัวหนึ่ง สักที่หนึ่งในโลก จะทำให้เกิดพายุใหญ่ในอีกที่หนึ่งไหมนะ … ถ้าตามสามัญสำนึกพื้นฐานของเราแล้ว คงจะไม่เป็นแบบนั้น เพราะผีเสื้อนับล้านตัวก็กระพือปีกอยู่ทุกวี่วัน แต่ไม่ค่อยจะเห็นมีพายุใหญ่เกิดขึ้นเท่าไหร่เลย

แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่า โมเลกุลของอากาศรอบๆ ปีกผีเสื้อนั้น ได้รับผลกระทบจากการกระพือปีกนั้นๆ ไปแล้วอย่างเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ผลของมันจะส่งผลถึงอนาคตของสภาพอากาศตลอดกาล และหากเราไล่ย้อนรอยของเหตุการณ์ทางสภาพอากาศ กลับไปถึงต้นตอของการสั่นสะเทือนเล็กๆ ของโมเลกุลได้ … เราอาจจะเห็นว่าการกระพือปีกของผีเสื้อบางครั้ง ก็ส่งผลให้เกิดพายุใหญ่ หรือปัดเป่าให้เกิดฟ้าสวยใสหลังพายุใหญ่ได้จริงๆ

ผีเสื้อตัวหนึ่ง กระพือปีกเบาๆ เมื่อ 18 ปีก่อน …….. กับรอยยิ้มที่ผมไม่มีวันลืม


————————————————————————–

มิถุนายน 1994 ผมเข้าเรียนที่โรงเรียนสาธิตวิทยาลัยครูเทพสตรี (ขณะนั้น; ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี) จ.ลพบุรี หลังจากไปเรียนที่อเมริกาพักหนึ่ง ด้วยความที่ไม่ได้จบอะไรเป็นการเป็นงานจากโรงเรียนที่อเมริกา ก็เลยต้องมาเรียนซ้ำในระดับชั้นเดียวกับรุ่นน้อง ด้วยการเข้ามาเรียนระดับ ม.2 (ผมจบ ม.1 จากวชิราวุธวิทยาลัย ก่อนไปเรียนที่อเมริกา)

ด้วยอะไรหลายๆ อย่างที่ผ่านมาและผ่านไปในชีวิตผมช่วงประมาณ 2 ปีนั้น ทำให้ผมเบื่อการเรียน เบื่อสังคม เบื่อคน เบื่อทุกอย่างที่ผมต้องเจอ ผมไม่มีความสุขกับชีวิตที่ผมจำเป็นต้องอยู่เอาเสียเลย และจะมีความสุขในโลกของคอมพิวเตอร์เกมเท่านั้นแหละ ผมจำได้ลางๆ ว่าเวลาผมอยู่ที่โรงเรียนทีไร ผมจะชอบนั่งเหม่อมองอะไรแบบไร้จุดหมายอยู่เสมอ ในห้องเรียนก็ชอบมองไปนอกหน้าต่าง เวลาว่างๆ ก็ชอบนั่งเหม่อลอยอยู่ตามม้านั่งหรือทางเดิน และด้วยความที่ด้วยนิสัยตามธรรมชาติแล้วผมเป็นคนขี้อายและไม่มีความมั่นใจตัวเองเท่าไหร่นักเป็นทุนเดิม ก็เลยไม่ค่อยจะทักทายหรือทำความรู้จักกับใครด้วย เข้ากับใครก็ลำบาก ก็เลยยิ่งกลายเป็นคนที่อยู่คนเดียวมากขึ้นๆ ทุกวัน

จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังนั่งใจลอยอยู่ตรงทางเดินบนตึกเรียน เหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตผมไปอย่างไม่มีวันกลับก็เกิดขึ้น:

เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง .. เดินผ่านทางเดินนั้น แล้วก็ยิ้มให้ผม พร้อมกับแววตาที่สดใสแต่สะท้อนถึงความเขินอายในใจ

นี่คือภาพฝังใจที่ผมไม่มีวันลืม

ผมรู้จากเพื่อนคนหนึ่ง ว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นชื่อ “มีน” และเรียนอยู่ชั้น ม.3 ซึ่งทำให้เป็นรุ่นพี่ในโรงเรียน (แต่จริงๆ แล้วเป็นรุ่นเดียวกัน เพราะผมซ้ำชั้นไปอย่างที่บอกไปแล้ว และถ้านับอายุกันแล้ว ผมก็อายุมากกว่าด้วยซ้ำไป) แต่ด้วยความที่ผมเป็นคนขี้อายและไม่มั่นใจตัวเองของผม ก็ทำให้ใช้เวลาอีกระยะหนึ่งเหมือนกัน กว่าที่เราจะได้รู้จักกัน

ไม่รู้เป็นอะไรนะ ทั้งๆ ที่ปกติแล้วผมไม่ค่อยทักทายหรือทำความรู้จักกับใคร ชอบทำตัวเงียบๆ ดูเหมือนหยิ่ง หรือดูเหมือนเก๊กไปวันๆ แต่สุดท้ายเราก็รู้จักกันจนได้ ด้วยวันหนึ่ง ผมก็กล้าพอที่จะยิ้มให้และทักทายเด็กผู้หญิงคนนั้น คนที่ผมแอบมองหรือชะเง้อมองหามาตลอดทุกวันตั้งแต่เห็นรอยยิ้มครั้งนั้น

ตั้งแต่นั้น…. มีนกลายมาเป็นความสุขเดียวในการไปโรงเรียนของผม ให้ผมมีความสุขในการคิดถึงวันต่อไป และกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของความคิด ความรู้สึก ตลอดเวลาของผม

วันแรกที่ได้เบอร์โทรศัพท์บ้านมีน ซึ่งผมยังจำเบอร์นั้นได้ขึ้นใจจนถึงวันนี้ แม้ว่าทุกวันนี้เบอร์นี้จะไม่ได้ใช้แล้ว ผมดีใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ไม่ใช่จะกล้าโทรไปหรอกนะ การจะทำใจให้กล้าโทรไปได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยสักนิด ผมยังจำได้ว่าตอนที่โทรไปครั้งแรกน่ะ มือสั่น ปากสั่นพูดไม่ออก เป็นเบอร์ที่ใจเต้นแปลกๆ ทุกครั้งที่ทำใจหมุนโทรศัพท์ไป บางครั้งก็หมุนได้ครึ่งทาง แล้ววาง หมุนแล้ววาง อยู่ 3-4 รอบ กว่าจะหมุนได้ …

มีนเป็นคนแรกในชีวิต ที่ผมขอเบอร์โทรศัพท์ และเป็นคนแรกในชีวิต ที่ผมโทรศัพท์คุยด้วยแบบนั้น

ตอนนั้น การโทรศัพท์เป็นทางเดียวที่เราสองคนจะได้คุยกันนานๆ หน่อย เพราะตอนอยู่ที่โรงเรียนก็ไม่ได้มีโอกาสคุยกันมากนัก ด้วยเหตุผลอะไรหลายๆ อย่าง อาจจะเป็นเพราะว่าเรียนอยู่คนละชั้นกันด้วย และอาจจะเป็นเพราะว่าไม่ใช่แค่ผม ที่เป็นคนขี้อายและไม่มั่นใจตัวเอง แต่มีนเองก็เป็นคนขี้อายและไม่มั่นใจตัวเองเช่นเดียวกัน ดังนั้นการที่ผมเป็นรุ่นน้องในโรงเรียน ทำให้มีนรู้สึกอายว่าเพื่อนฝูงจะมองหรือคิดอย่างไร ที่เค้าไปนั่งคุยหรือเดินกับรุ่นน้อง มากกว่าจะเป็นรุ่นพี่หรือรุ่นเพื่อน ทำให้สุดท้ายแล้ว ส่วนมากเราก็ได้แต่แอบมองกัน หรือเดินสวนกันไปสวนกันมา แล้วก็ยิ้มให้กันอย่างเขินๆ ในโรงเรียน

หลังจากรู้จักกันได้ระยะหนึ่ง ผมก็กล้าที่จะขอไปส่งมีนขึ้นรถไฟเพื่อเดินทางกลับบ้านหลังเลิกเรียน ซึ่งเป็นความสุขมากมาย ผมยังคงจำความรู้สึกได้ว่า ผมรอเวลาเลิกเรียนมาถึงมากขนาดไหน แม้การไปส่งขึ้นรถไฟที่สถานี จะกินเวลาสั้นๆ แต่ก็มีความสุขมากที่ได้อยู่ใกล้ๆ และไม่เป็นเป้าสายตามากนัก จะมีก็แต่เพื่อนๆ มีนที่ขึ้นรถไฟกลับด้วยกันเท่านั้น ทำให้เราสองคนคุยกันแบบปกติได้หน่อยนึง …. มานึกย้อนไปแล้วก็ยังขำอยู่เลย ว่าลึกๆ แล้วผมจะแอบภาวนาให้รถไฟมาถึงช้าๆ หน่อยตลอดแหละ (และต้องขอขอบคุณการรถไฟแห่งประเทศไทยนะ ที่ทำให้คำภาวนาของผมเป็นจริงเกือบทุกวัน)

ต่อมาไม่นาน โรงเรียนก็มีนโยบายจะทดลองตั้งชมรมคอมพิวเตอร์ (แต่ไม่มีคอมพิวเตอร์สักเครื่อง –“) ด้วยความที่ผู้อำนวยการโรงเรียนพอจะรู้ว่าผมเป็นพวกเด็กบ้าคอม ก็เลยอยากให้ผมช่วยสอนเพื่อนๆ ….. มีนก็ยังอุตส่าห์มาเข้าชมรมด้วยตั้งครั้งนึงแน่ะ ทั้งๆ ที่มีนไม่มีความสนใจอะไรกับเรื่องคอมพิวเตอร์เลยแม้แต่น้อย แล้วก็ทนนั่งฟังที่ผมพูดเรื่องคอมๆ กับกระดานดำ ถึงมันจะเป็นเรื่องที่คงไม่มีคนรู้เรื่องก็เถอะ (สอนคำสั่งโน่นนี่ของคอมกับกระดานดำ ไม่มีเครื่องให้ลอง ใครจะไปรู้เรื่อง) ….. จะว่าไป นั่นน่ะ เป็นการสอน “ครั้งแรก” ในชีวิตผมเลยนะ

ผมเป็นคนแต่งกลอนเก่งมาตั้งแต่สมัยเรียนที่วชิราวุธ .. แต่เชื่อไหมว่าผมเคยแต่แต่งกลอนเพื่อประกวด ไม่เคยแต่งกลอนด้วยความสุข ด้วยความอยากแต่งอะไรเลย แต่มาวันหนึ่ง ผมได้ยินเพลง I’ll Have to Say I Love You in a Song ที่มีเนื้อความทำนองว่า “ทุกครั้งที่อยากจะบอก คำพูดมันออกมาผิดทุกที เลยต้องบอกรักในเพลง” ทำให้ผมอยากจะแต่งกลอนบอกมีนบ้าง ว่าผมรู้สึกยังไงกับเค้า ซึ่งจริงๆ ก็แต่งไว้หลายบทนะ แต่ด้วยความที่ผมเป็นคนขี้อาย ก็ได้ให้เจ้าตัวไปไม่กี่บทหรอก นอกนั้นเหรอ ก็เก็บไว้ในสมุดตัวเองน่ะแหละ ไม่ก็เก็บไว้ในความทรงจำ …. และอันนี้เป็นอันหนึ่งที่จำได้ อาจจะดูเว่อๆ น้ำเน่าๆ หน่อย ตามประสากลอนพาไป

อยากจะบอกออกไปใจจะขาด
อยากจะบอกแต่ขยาดกลัวพลาดหวัง
อยากจะบอกตะโกนเสียงดังดัง
อยากจะบอกให้เธอฟังแค่บางคำ
ก็แค่คำที่ไม่มากด้วยความหมาย
ก็แค่คำที่ไม่คลายหากใจมั่น
ก็แค่คำที่จะอยู่ตราบนิรันดร์
ก็แค่คำคำนั้น ฉัน….เธอ

(ดูนะ อุตส่าแต่งเป็นกลอน จะได้เบาลงหน่อย ไม่น่าเกลียดเท่าไหร่ ยังอายใส่ ….. ลงไปซะอีก)

หลายเดือนที่ชีวิตผมและมีนวนเวียนอยู่ในวัฏจักรแค่นี้ จนถึงวันหนึ่งที่ผมก็รวบรวมความกล้าพอ ที่จะนัด “เดท” กับมีน

จริงๆ แล้วมันก็ไม่ใช่เดทอะไรหรอก ก็แค่มีอยู่วันหนึ่งที่มีนจะต้องมาทำงานกลุ่มกับเพื่อนที่โรงเรียนในวันหยุด ผมก็เลยมาเจอกับมีน แล้วก็พอหาเวลานั่งคุยกันตามโต๊ะหินอ่อนที่โรงเรียนได้บ้างน่ะแหละ … แต่วันนั้น มีอะไรพิเศษกว่าวันอื่นนิดหน่อย เพราะผมไม่ลืมที่จะเอากล้องถ่ายรูปไปด้วย

การเจอกันวันนั้น แม้จะกินเวลาสั้นๆ ไม่นานมากเท่าไหร่นัก และอยู่ในสายตาของครูฝึกสอนคนหนึ่งตลอดเวลา แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่มีแต่รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความสุข … และผมต้องขอบคุณครูฝึกสอนท่านนั้นมาก ที่กรุณาช่วยถ่ายรูปคู่รูปนี้ให้



คงหายากมั้ง ที่จะมีคู่ไหน ที่จะมีรูปคู่ที่เก่ากว่าที่ผมมี .. 18 ปีแล้วนะ

สมัยนั้นกล้องยังเป็นกล้องฟิล์ม .. ผมยังคงจำได้ดีกับการกดชัตเตอร์รูปที่เหลือแบบทิ้งๆ ขว้างๆ ถ่ายนี่นั่นโน่นเล่น เจอเพื่อนไม่สนิทเท่าไหร่ก็ถ่ายรูปไว้ ฟิล์มจะได้หมดม้วนเร็วๆ และยังคงจำได้ดีกับความรู้สึกตอนที่ส่งฟิล์มม้วนนั้นไปล้าง ว่าเป็นยังไง .. วันที่ได้รูปกลับมาจากการส่งไปล้างฟิล์ม เป็นวันที่ผมดีใจมาก มากยิ่งกว่าได้ของขวัญหรือรางวัลใดๆ ทั้งหมด …

รูปนี้และอีก 4 รูปที่ถูกถ่ายในวันนั้น คือสมบัติมีค่าของชีวิตผม และเป็นรูปที่ผมจะต้องมีติดตัวอยู่เสมอตลอด 18 ปีที่ผ่านมา โดยจะในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง อาจจะอยู่บนโต๊ะทำงาน หัวนอน กระเป๋าสตางค์ หรือแปลงเป็นรูปแบบดิจิทัลลงอุปกรณ์พกพาแบบต่างๆ ที่ผมพกได้ (ทุกวันนี้ก็เก็บไว้ใน iPhone)

วันหนึ่ง มีนบอกว่าคุณพ่อคุณแม่จะพาไปรับน้องชายซึ่งเรียนอยู่ที่วชิราวุธ และวันนั้นเป็นวันที่มีการแข่งรักบี้ด้วย ผมก็อยากจะไปสิ ด้วยข้ออ้างว่าจะไปเยี่ยมโรงเรียนเก่า ทั้งที่ผมไม่เคยเดินทางเข้ากรุงเทพคนเดียวมาก่อนเลย แต่ก็ยังหาทางไปจนได้ เมื่อไปถึง แทนที่จะทักทายเพื่อนฝูงตามประสาคนเคยเรียนด้วยกัน ก็เปล่าเลย ผมเดินมองหามีนตลอดเวลา และในที่สุดก็เจอมีนและครอบครัวนั่งดูรักบี้อยู่ที่สนามหลังโรงเรียน ซึ่งผมไม่กล้าจะเดินเข้าไปทักทายหรอก ผมกลัวแล้วก็อายด้วย ก็เลยได้แต่เดินผ่าน สะกิดไหล่มีนครั้งนึง ยิ้มให้ แล้วก็เดินไปไหนก็ไม่รู้ .. แต่เชื่อไหม ว่าเจอแค่วินาทีนั้นแหละ ผมก็มีความสุขไม่รู้จะมีความสุขยังไงแล้ว

เรากลับมาเจอกันที่โรงเรียน แล้วก็ทักทายกันปกติ ยิ้มให้กันปกติ ชีวิตเป็นแบบนั้นไปอีกพักหนึ่ง และนับวันผมยิ่งรู้สึกดีกับมีนมากขึ้นเรื่อยๆ … ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะดีใช่มั้ยล่ะ …….. แต่ ………………..

ด้วยความที่มีนเองก็แคร์ความคิดของเพื่อนรอบๆ ตัว ว่าจะคิดอย่างไรกับการที่เหมือนจะมีแฟนเป็นรุ่นน้อง การที่มีนเป็นเด็กเรียบร้อยและค่อนข้างขี้อาย ทำให้มีนไม่ค่อยกล้าที่จะคุยกับผมมากนัก บางครั้งเวลาที่ผมจะเข้าไปทักไปคุยด้วยในโรงเรียน ก็ได้รับการบ่ายเบี่ยงที่จะคุยด้วย

นั่นเอง เป็นจุดที่ทำให้ผมกับมีนเริ่มห่างกันไป ผมเริ่มไม่คุยกับมีนเวลาไปโรงเรียน ไม่ได้โทรศัพท์ไปหาแทบทุกวันเหมือนที่เคย และด้วยความที่รู้สึกว่ามีนแคร์มากเรื่องรุ่นพี่รุ่นน้อง บางครั้งผมก็ประชดแรงมากๆ ด้วยการคุยกับเด็กผู้หญิงรุ่นพี่คนอื่นในโรงเรียนให้มีนเห็น ด้วยความที่อยากให้มีนเห็นว่าคนอื่นเขาก็ไม่แคร์สิ่งเหล่านี้กัน ซึ่งจริงๆ มันก็คงไม่ใช่วิธีที่ดีสักเท่าไหร่นักหรอก

และอย่างที่บอกว่าโดยพื้นเพแล้ว ผมเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเองอย่างรุนแรง และค่อนข้างจะมีปมที่ทำให้มีความรู้สึกว่าคนนั้นคนนี้ดีกว่าตัวเอง เห็นตัวเองด้อยกว่าคนอื่น รู้สึกตัวเองสู้ใครไม่ได้ ชอบคิดอะไรที่ทำร้ายความรู้สึกตัวเอง และชอบทำอะไรที่เป็นการประชดชีวิตตัวเองแรงๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว … นับวันผมจึงยิ่งมีความรู้สึกว่า ผมไม่เหมาะไม่คู่ไม่ควรอะไรกับเค้าเลย เพราะมีนเองก็มีคนชอบ คนสนใจเยอะ ทั้งรุ่นเพื่อนๆ มีนเอง และรุ่นพี่ มีนเป็นคนสวย เก่ง เด่น และอื่นๆ มากมาย เค้าคงเหมาะกับใครก็ได้ … “ที่ไม่ใช่ผม” เพราะผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไม่มีอะไรดีสักอย่าง

อีกเรื่องหนึ่งก็คือ ด้วยความที่มีนอยู่ ม.3 แล้ว เดี๋ยวก็ต้องขึ้น ม.ปลาย ก็อาจจะต้องย้ายโรงเรียนไปเรียนที่อื่น แค่คิดผมก็ใจเสียและเสียใจแล้ว ผมคงทำใจไม่ได้ หากการจากลา ….. มันมาในนาทีสุดท้าย …. แค่นึกถึงภาพที่มีนพูดกับผมว่า “เราจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วนะ” แค่นี้ผมก็ใจหายมากมาย แต่แทนที่ผมจะใช้เวลาที่เหลือให้คุ้มค่าที่สุด ผมกลับเลือกที่จะทำลายมันทิ้งซะตรงนั้น … ทั้งๆ ที่ความรู้สึกที่เรียกว่า “รัก” มันยังไม่เคยหายไปไหน (ถึงจะเป็นรักแบบเด็กๆ ก็เถอะนะ)

ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้ มันได้สร้างแผลในใจเอาไว้ให้กับมีน และได้สร้างแผลในความรู้สึกให้กับตัวผมเอง เพราะโดยพื้นเพแล้วเราเป็นคนที่ไม่ต่างกันเลย ปากแข็ง ปากไม่ตรงกับใจ ไม่มั่นใจตัวเอง แต่แสดงออกตรงข้ามไปงั้นทั้งหมด แคร์นะ แต่ปากบอกว่าไม่เป็นไร อยากเจอนะ แต่ทำเมินเฉย อยากคุยด้วยนะ แต่ทีท่าปฏิเสธ …. ดังนั้น การที่ผมห่างจากเค้าไปตอนนั้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม ทำให้มีนรู้สึกว่า ผมคงไม่ชอบเค้าอีกต่อไปแล้วใช่มั้ย เพราะเค้าไม่ดีพอหรือเปล่า เช่นเดียวกัน

และชีวิตของเราสองคนก็เริ่มเปลี่ยนไป ….. ตอนนั้นใครมองก็คงคิดว่าเป็นธรรมชาติของเด็กมัธยม ที่ชอบใครเป็นความรู้สึกแบบ Puppy Love ชอบใครประเดี๋ยวประด๋าว ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน

แต่เชื่อไหมล่ะ ว่าผมก็ยังแอบมองเค้าอยู่เสมอๆ ในโรงเรียน โดยที่ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าผมจะแอบมองเค้าอยู่ทำไม ผมลุ้นมากมาย ให้เค้าเรียน ม.ปลาย ต่อที่โรงเรียนเดิม และผมก็รู้สึกขอบคุณสวรรค์ ที่เค้ายังคงเรียนต่อ ม.ปลาย ที่เดิมจริงๆ

เมื่อผมขึ้น ม.4 ผมก็ยังคงแอบมองมีนเหมือนที่เคยเป็นมาตลอด แม้ว่าจะมีใครเข้ามาคุยกับผม กับเค้า หรือยังไงก็ตาม ลึกๆ แล้วผมคงยังไม่ลืมความรู้สึกที่เคยมีเมื่อก่อนหน้านั้น แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอที่จะคุยกับเค้าอยู่ดีน่ะแหละ แต่ด้วยความรู้สึกที่ว่า แล้วจะทนอยู่แบบนี้น่ะเหรอ ไม่ทำอะไรสักอย่างเหรอ มันก็จะไปยากอะไร “แค่ทำตัวเองให้ดีพอก็หมดเรื่อง ใช่มั้ย” มันเริ่มมีมากขึ้นๆ เรื่อยๆ

จนกระทั่งวันหนึ่งผมก็ตัดสินใจพูดกับรูปถ่ายมีน ที่ผมเก็บไว้ว่า

“มีนครับ วันหนึ่ง ผมจะดีพอ และเมื่อผมดีพอ ผมจะกลับมาจีบคุณใหม่ .. อีกครั้ง”

และนั่นเอง เป็นจุดเริ่มของการบ้าเรียนอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ในช่วง ม.ปลายของผม

ชีวิตผมไม่มีทางมีวันนี้ …. หากไม่มีผู้หญิงคนนี้

(จบตอน)