My Leica Story #2: The M9 (English Version)

[Note] This is a long-overdue, paragraph-by-paragraph English translation of the Thai version that I posted on September 30th, 2013.

This is a continuation from first part of the story (The M8), but more of a user review/impression story than a very personal story about photography like the previous part. You may want to read the first part if you haven’t.


Prelude

Not long after I go the M8, Leica did something they’d been telling people they couldn’t do: a full-frame digital M. They, naturally, called it the M9 and was announced on a very special day, the 09/09/09.

I wasn’t interested in the M9 even one bit when it came out. The main reason was the I still didn’t know how to make good photographs with the M8. I thought it wouldn’t be worth whatever price they were asking. You can read more about this in the previous part of the article, I won’t repeat those things here.

Things changed, after the M8 changed me. (And it took years).


Leica M9 Body

Leica M9 in Steel Grey, taken by the previous owner of this camera.

Continue reading

My Leica Story #1: The M8 (English version)

[Note] This is a long-overdue, paragraph-by-paragraph English translation of the Thai version that I posted on September 24th, 2013.


This series of articles is not “review” but rather the “story” of me with Leica, from M8 onward. Originally, it was intended to be 3-parts, M8, M9 and M240, then translate to English. However, since I became so busy with other things after that, the translation was put indefinitely on hold. Recently, since my acquisition of the M10, many readers asked me to write about it. So I thought it is a great time to get back to write about cameras and photography in general. I’d start with the long-overdue translation first. So, M10, you have to wait.

So, let’s begin with the camera that started it all: The M8


IMG_5045.jpg

My Leica M8 — taken from what used to be the best compact camera in the world

Again, this is not a review but rather the story. So if you expect professional review or technical test, you might be disappointed. You’d been warned ;-)

Continue reading

หนังสือ 30 เล่ม ที่จะอยู่กับผม (และเพิ่มอีก 10 เล่ม)

หลังจากกิจกรรม #IceBucketChallengeTH ผ่านไป ก็มีกิจกรรมลักษณะ Viral แบบเดียวกันมาเป็นดอกเห็ด หลายอันผมปล่อยผ่านไป ไม่สนใจ แต่มีอยู่อันหนึ่งที่คิดว่ามีประโยชน์มากๆ ก็คือ การบอกชื่อหนังสือที่จะอยู่กับตัวเองมา 10 เล่ม โดยไม่ต้องคิดอะไรมาก ไม่จำเป็นต้องเป็นหนังสือที่ดีที่สุด หรือหนังสือที่สุดยอดอะไรทั้งนั้น แค่ชอบอะไรบางอย่าง และเป็นเล่มแรกๆ ที่โผล่มาในหัว หรืออะไรก็ตาม …..

ทีนี้ … มีคน Tag ชื่อผมต่อมา 3-4 คน ผมก็เลยขอ “โกง” ด้วยการบอกมากกว่า 10 เล่ม (เพราะว่าเอาจริงๆ ให้เลือก 10 เล่มจากหลายพันเล่ม นี่ยากเอาเรื่อง) และหนังสือเหล่านี้ เป็นหนังสือที่ผมถือว่า 1) “เปลี่ยนผม” ในช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรู้ ความคิด ความเข้าใจโลก การมองเห็นโลก ฯลฯ หรือพูดอีกอย่างก็คือ “ทำให้ผมเป็นผมอยู่ทุกวันนี้” หรือ 2) มีความทรงจำพิเศษอะไรบางอย่างเกี่ยวกับมัน โดยความทรงจำที่ว่านี้อาจจะเป็นความทรงจำส่วนตัวมากๆ คนอื่นไม่อินไม่อะไรทั้งนั้น ก็ได้


L1000013.jpg

บางเล่มผมจะใส่ Link ใน Amazon ให้นะครับ บางเล่มไม่มีใน Amazon (ก็แน่นอนแหละ) และผมขี้เกียจหาจาก Store ไทย

Continue reading

Nikon Df: Impression, Review, Feeling, and More!

[อัพเดท: 01/04/2014] เพิ่ม Section “One More Thing”
[อัพเดท: 01/15/2014] เพิ่มเรื่อง “เสียงชัตเตอร์”


กล้องที่ผมสนใจที่สุดในปี 2013 ที่ผ่านมา ไม่มีทางพ้น Nikon Df แน่นอน สนใจถึงขนาดที่ตอนที่มันยังไม่ออกมา ผมยังเขียนบทความที่เกี่ยวกับมันไปแล้วถึง 2 เรื่องด้วยกันคือ Reflection on “Nikon’s Pure Photography” และ ไม่ใช่รีวิว: Nikon Df

หลังจากรอแล้วรออีก … ตอนนี้มันก็อยู่ในมือผมเป็นที่เรียบร้อย จริงๆ แล้วผมแทบรอเขียนรีวิวมันไม่ไหว แต่ต้องรอจนกระทั่งใช้งานจริงเสียก่อนเพื่อให้รู้ว่ากับสถานการณ์จริงต่างๆ แล้วมันเป็นยังไงบ้าง ไม่ใช่แค่เรื่องคุณภาพของภาพ หรือการควบคุมภายนอกต่างๆ และตอนนี้ผมได้ทำงานกับมันจริงจังมาสักพักหนึ่งแล้ว ดังนั้นก็ถึงเวลาแล้วที่จะ “รีวิว Nikon Df” ล่ะครับ

ก่อนที่จะเข้าเรื่อง ผมขอบอกสั้นๆ เลยครับว่า Nikon Df เป็นกล้องที่

“Love it, or Hate it — ไม่รัก ก็เกลียด”

เลยทีเดียวล่ะครับ ….​ เพราะมันเป็นกล้องไม่กี่ตัวที่ “ซื้อด้วยหัวใจ ไม่ใช่เหตุผล”





Nikon Df — ถ่ายจาก Sony A7 + Voigtlander 50mm f/1.1

แต่กล้องที่ “ซื้อด้วยหัวใจ ใช้ด้วยความรู้สึก” นี่ถ้าเอามาใช้งานจริงๆ แล้วจะรู้สึกยังไง ใช้แล้วเป็นยังไงบ้าง ดีมั้ย แย่มั้ย ฯลฯ ….. รีวิวนี้มีคำตอบจาก “มุมมองและประสบการณ์ส่วนบุคคล” ที่เป็นแค่คนธรรมดาๆ คนหนึ่งที่ชอบถ่ายรูป มีความสุขกับการเล่นอุปกรณ์ไปเรื่อยๆ ใช้เองจริง ถ่ายภาพเรื่อยๆ เล่าเรื่อง เวิ่นเว้อ (แต่ไม่เพ้อเจ้อนะ) :D

Continue reading

My Leica Story [3]: The M Typ 240 (M240) + Review

[อัพเดท: 10/17/2013] เพิ่มเรื่องไฟล์ RAW และภาพเปรียบเทียบ
[อัพเดท: 10/18/2013] เพิ่มเรื่อง JPEG Processing Capability


ความเดิม:

กล่องที่ยังไม่ได้แกะของ Leica M Typ 240 (ซึ่งต่อไปนี้ผมจะเรียกย่อๆ ว่า M240 นะ) วางอยู่ตรงหน้าผมแล้ว บอกตามตรงเลยว่าผมมี First Impression ที่ดีมากกับเจ้า M240 ตั้งแต่ผมเห็นกล่องล่ะครับ กล่องของ M240 มีรูปทรงเปลี่ยนไปจาก M8 และ M9 แบบเห็นได้ชัด ดูเล็กลง แต่ “Lean” ขึ้นอย่างรู้สึกได้ และเมื่อเปิดกล่องออกมายิ่งรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในเชิงการออกแบบในทางที่ดีขึ้น การออกแบบการจัดเก็บต่างๆ ภายในกล่องถูกออกแบบในรูปแบบของลิ้นชัก แยกชัดเจนระหว่างตัวกล้อง อุปกรณ์ และสายไฟต่างๆ (แล้วในส่วนเก็บสายไฟ นี่เปิดมาเจอสายชาร์จในรถด้วยนี่รู้สึกฟินมาก เข้าใจผู้ใช้งานจริงๆ)


DSC_1178.jpg

The M

ผมค่อยๆ แกะดึงกล่องที่บรรจุตัวกล้อง ที่วางอยู่ที่ชั้นบนสุดภายในกล่องออกมา แล้วค่อยๆ เอาตัวกล้องออกจากพลาสติกที่ห่อมันเอาไว้ เอาเลนส์ 50mm f/1.4 Summilux ASPH ที่เอาไปด้วย เมาท์กับตัวกล้อง … ตั้งแต่ความรู้สึกแรกที่เอาเจ้า M240 ออกจากกล่อง มาถือในมือหลังจากเมาท์เลนส์ … ทุกความรู้สึกผมมันบอกล่ะครับว่า มันคือ ….

“The Best Digital M”

แต่มันจะเป็นยังงั้นจริงหรือเปล่า … เรื่องนี้ “ยาว” ครับ

ก่อนจะอ่านต่อ ต้องบอกไว้ก่อนว่า .. นี่ไม่ใช่ “รีวิว” ของ M240 นะครับ แต่เป็นการเขียนถึงความรู้สึกต่างๆ จากการใช้งานจริงของผู้ใช้คนหนึ่ง ถึงจะออกแนวรีวิวมากกว่าทั้งสองตอนที่ผ่านมาก็เถอะ … ถ้าไม่ชอบบทความอารมณ์ “เล่าเรื่องราว” ก็ข้ามไปนะครับ อย่ากดเข้าไปอ่านต่อ :-)

Continue reading

My Leica Story [2]: The M9

ความเดิม: My Leica Story (Part 1): The M8

หลังจากที่ได้ M8 มาไม่นานเท่าไหร่นัก Leica ก็ทำสิ่งที่พวกเขาบอกมาตลอดว่า “ทำไม่ได้” หรือแม้แต่ “เป็นไปไม่ได้” สำเร็จ นั่นก็คือ Full Frame Digital M ซึ่งแน่นอนว่าจะกลายมาเป็นรุ่นต่อจาก M8 และใช้ชื่อว่า M9​ โดย Leica เลือกวันเลขสวยมาก คือ 09/09/09 ในการประกาศตัว

แต่ด้วยความที่ตอนนั้นเพิ่งจะแทบหมดตัวกับการได้ M8 มาไม่นานนัก แถมยังรู้สึกว่ามันโคตรห่วย ถ่ายยังไงก็ไม่สวย (อ่านรายละเอียดเรื่องนี้ได้จากบทความตอนที่แล้วตาม Link ด้านบน) ทำให้ผมค่อนข้างจะไม่สนใจมันเท่าไหร่ แต่พอเห็นรูปจากที่คนอื่นที่เค้าลองใช้คนแรก ถ่ายกัน อืมมม สวยนะ เอ .. เราเอามาใช้จะถ่ายสวยกว่า M8 มั้ยนะ (ตอนนั้นยังหวังพึ่งอุปกรณ์อยู่) แต่ก็คงเหมือน M8 มั้ง ที่ดูคนอื่นถ่ายสวยหมด แต่ตัวเองถ่ายไม่ได้เรื่อง ใช้ Nikon ต่อไปดีกว่า .. ทำให้กว่าผมจะได้เล่นมันจริงๆ น่ะอีกนานเลย … หลังจากที่ “ผมเปลี่ยนไป” แล้วน่ะแหละ


Leica M9 Body

Leica M9 … รูปถ่ายโดยเจ้าของเก่าของกล้องตัวนี้

เช่นเดียวกับตอนแรกของซีรี่ส์นี้นะครับ … นี่ไม่ใช่ “รีวิว” ถ้าไม่ชอบบทความอารมณ์ “เล่าเรื่องราว” ก็ข้ามไปนะครับ อย่ากดเข้าไปอ่านต่อ :-)

Continue reading

My Leica Story [1]: The M8

[อัพเดท: 09/24/2013] เพิ่มเรื่องเสียงชัตเตอร์ เพิ่มรูป เปลี่ยนตำแหน่งรูป แก้คำผิด
[อัพเดท: 09/25/2013] เปลี่ยนรูป
[อัพเดท: 09/30/2013] เพิ่มลิงค์ไปตอนต่อไป ท้ายเรื่อง


บทความชุดนี้ “ไม่ใช่รีวิว” แต่เป็น “เรื่องราว” แบบย่อๆ ของตัวผมเองกับ Leica Digital ตั้งแต่ M8, M9 และต่อด้วย Impression สั้นๆ ที่อาจจะไม่สั้นเท่าไหร่แบบก้ำกึ่งรีวิวของ “Leica M” (Typ 240) ที่ผมตั้งใจว่าจะไม่เขียนอะไรถึงมันเลย จนกระทั่งใช้เจ้า M (240) ไปอีกระยะหนึ่ง ให้แน่ใจว่าพอจะเขียนได้ซะก่อน แล้วค่อยเขียน … แต่ต้องบอกว่า “ไม่เขียนไม่ได้แล้ว”

แต่ก่อนที่จะเริ่มเขียนถึง M (240) นี่ผมอยากจะเล่าเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ของผมกับ Leica M ซะหน่อย ว่ามันเป็นมายังไง หลวมตัวมาเล่นได้ยังไง ฯลฯ .. อีกอย่าง ผมใช้ Leica M8 มาหลายปี ทุกวันนี้เป็นกล้องที่เก่าที่สุดในตู้เก็บกล้อง และเป็นกล้องที่ผมรักที่สุดในตู้ แต่ผมไม่เคยเขียนอะไรถึงมันเลย อย่างมากก็แค่พูดถึงนิดหน่อยในบทความต่างๆ เท่านั้น เพราะอะไรยังงั้นเหรอ … ในบทความนี้มีคำเฉลยครับ


IMG_5045.jpg

Leica M8 — ถ่ายจากกล้องคอมแพคที่ดีที่สุด ;-)

อีกครั้งหนึ่งนะครับ … นี่ไม่ใช่ “รีวิว” ถ้าไม่ชอบบทความอารมณ์ “เล่าเรื่องราว” ก็ข้ามไปนะครับ อย่ากดเข้าไปอ่านต่อ :-)

Continue reading

“Remember the Butterfly”

วันนี้ได้ฤกษ์อัพเดท เรื่องเล่าจากเรื่องจริง ‘คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายที่รอคอย’ ที่เคยเขียนลงบล็อกนี้ไว้ทั้งหมด 8 ให้เป็นเวอร์ชั่นเดียวกับที่จะพิมพ์เป็นหนังสือของชำร่วยงานแต่งงาน หลังจากเรียบเรียงใหม่หลายต่อหลายอย่าง แม้ว่าข้อเท็จจริงทั้งหมดจะเหมือนเดิม แต่ก็มีหลายอย่างที่ผมตั้งใจสื่อความรู้สึกออกมามากขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่ลำดับของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตเท่านั้น แต่เป็นลำดับเหตุการณ์และการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในใจผมและคุณเจ้าสาวด้วย



ตัวอย่างปกหนังสือของชำร่วย ออกแบบโดยคุณวีร์ (คู่หู dualGeek) และทีมงานที่ Conscious

หนังสือเล่มนี้จะมี Tagline ซึ่งแสดงถึงงานแต่งงานของเราทั้งสองคนว่าเป็นจุดสิ้นสุดของเรื่องราวความรักที่ถูกสร้างมา 18 ปี และเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวใหม่ที่จะคงอยู่ตลอดกาล


‘The finale to a love story 18 years in the making
and the beginning of an everlasting one’

หนังสือเล่มนี้ และบทความที่เขียนลงบล็อก จึงเป็นบันทึกจากความทรงจำและความรู้สึกที่สำคัญทั้งหมด ที่ทำให้ผมมีมีน ที่ทำให้เรามีเรา ที่ทำให้การเดินผ่านเส้นทางชีวิตอย่างเดียวดายของผมมาถึงจุดสิ้นสุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุข หรือเรื่องทุกข์ เรื่องดี หรือเรื่องร้าย รอยยิ้ม หรือน้ำตา เรื่องจริงของทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกการเปลี่ยนแปลงของชีวิตและความรู้สึก ที่ทำให้วันนี้เปลี่ยนจากความฝันเป็นเรื่องจริงขึ้นมาได้

เส้นทางการเดินทางของเรา แบ่งเป็นช่วงๆ ตามกาลเวลา ดังนี้

ขอบคุณที่ติดตามอ่านมาตลอดนะครับ

ป.ล. สำหรับคนที่อยากได้เล่มฉบับพิมพ์ ผมคงจะพิมพ์เผื่อไว้จากงานแต่งไม่มากเท่าไหร่ แต่ถ้าไงก็บอกกันได้นะครับ

คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายที่รอคอย #8: “Remember the Butterfly”

เรื่องเล่า ที่เรียบเรียงจากเรื่องจริงของผม และว่าที่เจ้าสาว คุณวัชรพรรณ โล่ห์ทองคำ ตอนจบ

อัพเดทล่าสุดเมื่อ 10 กันยายน 2555

ความเดิม

บทส่งท้าย: รำลึกถึงผีเสื้อน้อย (Remember the Butterfly)

“คิดว่าคนเรา ถ้าเป็นคู่กันแล้ว จะแคล้วกันได้มั้ย”

คำถามที่ผมเฝ้าถามตัวเองมาตลอด วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่าในชีวิต นับจากที่ผมได้ยินคำพูดสุดท้ายของมีน สมัยที่ผมจีบเธอตอนเรียนมหาวิทยาลัย เสียงของเธอยังคงก้องอยู่ในหู ประโยคที่ตามหลอกหลอนผม

“ไม่ต้องคุย ไม่ต้องมาเจอกันอีกแล้วนะ”

มันทำให้ผมกับมีนไม่ได้ติดต่อกัน ไม่ได้คุยกันเหมือนเก่า แต่ผมก็ยังคิดถึงมีนอยู่เสมอ ไม่เคยลืมเธอได้เลยสักนิด และยิ่งมีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตผมเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งนึกถึงมีนมากขึ้น พร้อมกับคำถามในใจตลอดเวลาว่า

“ถ้าวันนั้น…… ผม……”

เหตุการณ์ครั้งนั้นมันส่งผลกับชีวิตเราสองคนมากมายเหลือเกิน การพูดไม่ระวังปากของผมเพียงครั้งเดียว และการพูดเพราะความเสียใจของมีนเพียงครั้งเดียว ทำให้ทุกอย่างมันไม่มีวันเหมือนเดิมอีกแล้ว ผมคงทำเรื่องที่แย่ที่สุดในชีวิตลงไป และชีวิตคงจะไม่มีวันให้อภัยผม ..

ในช่วงที่ผมได้แต่นั่งคิดถึงมีน แต่ไม่กล้าติดต่อไป ไม่กล้าทำอะไรมากมายกว่านั่งคิดถึงมีนและเห็นภาพมีนตลอดเวลาที่เปลือกตามันปิดลง เช้าวันหนึ่ง ในต้นเดือนพฤษภาคม 2544 ขณะนั้นผมเรียนอยู่ปี 3 ผมเดินเข้าไปนั่งฟังบรรยายวิชา Mathematical Foundations of Computational Science โดยอาจารย์ James B. Cole ผู้ซึี่งภายหลังกลายมาเป็นทั้งอาจารย์ที่ปรึกษา พี่ชาย เพื่อนสนิท และพ่อคนที่ 2 ของชีวิต

ช่วงนั้น … ผมค่อนข้างจะหมดอาลัยตายอยากกับชีวิตพอสมควร ผมทำทุกอย่างแค่ผ่านมันไปวันๆ ไม่ได้สนใจอะไรกับการเรียนวิชาเรียนต่างๆ หรือการทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์พาร์ทไทม์ให้กับบริษัทต่างๆ และสถาบันวิจัยบางแห่งที่ผมทำอยู่มากมายนัก ผมยังคงมองคณิตศาสตร์กับโลกความเป็นจริงแบ่งแยกกันอยู่ค่อนข้างมาก และไม่รู้จะเรียนมันไปทำไมด้วยซ้ำไป แต่การบรรยายครั้งนั้นมันก็เปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตผม เมื่ออาจารย์ผมพูดถึงเรื่องระบบที่เปลี่ยนแปลง (Dynamical System) ทฤษฎีเคออส (Chaos Theory) ผลแห่งการกระพือปีกของผีเสื้อ (Butterfly Effect) และวังวนประหลาดของการเดินทางของระบบ (Strange Attractor)

(ชื่อเหล่านี้ ผมบัญญัติขึ้นมาเองสำหรับหนังสือเล่มนี้ ตามความชอบ ความพอใจ และความเข้าใจที่มันสะท้อนโลกใบนี้ให้กับผม ไม่ใช่ชื่อเฉพาะที่ถูกต้องตามหลักวิชาการที่สามารถใช้อ้างอิงได้)

ตอนแรกผมก็ฟังผ่านๆ ไป ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก จนกระทั่ง

“เหตุการณ์เล็กน้อย จะส่งผลถึงการเดินทางของระบบที่เป็นแบบเคออสอย่างมหาศาล และตลอดกาล”

ภาพของเหตุการณ์เล็กๆ แค่เพียงวินาทีเดียว ของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง และรอยยิ้มของเธอ บนทางเดินตรงระเบียงวันนั้น ปรากฏชัดเจนขึ้นในความคิดผมทันที

“หากระบบที่เปลี่ยนแปลง (Dynamical System) ใดๆ ก็ตามเป็นระบบแบบเคออส (Chaotic System) แล้วการเปลี่ยนแปลงแม้เพียงน้อยนิดในค่าตั้งต้นของอะไรบางอย่าง ก็จะส่งผลต่อเส้นทางของระบบนั้นๆ อย่างมหาศาล เรียกได้ว่าเมื่อเวลาผ่านไปมากพอที่จะทำให้ผลของการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ ชัดเจนขึ้น มันอาจจะเปลี่ยนทุกอย่างจากหน้ามือเป็นหลังมือ

ทุกสิ่งทุกอย่างที่ดูเหมือนกับเกิดขึ้นแบบสุ่ม ไม่มีเหตุมีผลและโผล่มาเฉยๆ จริงๆ แล้วไล่ย้อนดีๆ มันเป็นผลที่เกิดจากเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่อาจจะฝังลึกอยู่ไกลในกาลเวลา ไม่มีอะไรเป็นเรื่องบังเอิญแม้แต่อย่างเดียวในโลกนี้ ต่อให้เมื่อเราดูผลของระบบที่เหมือนกับมั่วยังไง ก็ยังมีเหตุผลกลไกอะไรบางอย่างซ่อนอยู่เสมอ”

ผมหลับตาลง ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในชีวิตผมไหลผ่านตาอย่างรวดเร็วและชัดเจนทุกรายละเอียดราวกับทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้น ผมมานั่งอยู่ตรงนี้ได้เพราะอะไร ที่ผมต้องคิด ต้องเห็นภาพเหล่านี้ตลอดเวลาเพราะอะไร …. เหตุการณ์ทุกอย่างที่มันนิยามชีวิตผมขึ้นมาจนเป็นตัวตนของผมเอง มันมาจากรอยยิ้มครั้งนั้น ….

“ผีเสื้อตัวเล็กๆ กระพือปีกในบราซิล จะทำให้เกิดพายุทอร์นาโดในเท็กซัสหรือเปล่า”

อาจารย์พูดถึงประโยคคลาสสิคของทฤษฎีเคออส ที่เราเรียกว่า “Butterfly Effect” ซึ่งในขณะนั้น คำตอบของผมคือ “ใช่” เพราะมันชัดเจนเหลือเกิน ชัดเจนอย่างปฏิเสธไม่ได้ ผมเริ่มอยากรู้มากขึ้น ว่าแล้วระบบเหล่านี้มันจะลงเอยเช่นไร ด้วยความหวังอะไรบางอย่างลึกๆ .. แต่แล้วอาจารย์ก็บอกมาง่ายๆ โดยที่ผมไม่ต้องถามว่า

“เราไม่สามารถคาดการณ์หรือคาดเดาอะไรที่เป็นระยะยาวกับระบบที่เป็นเคออสได้เลย”

ผมนั่งถอนหายใจเล็กน้อย

“แต่เส้นทางการเดินทางของระบบเหล่านี้ มักจะมีวังวนประหลาด (Strange Attractor) ที่คอยดึงดูดเส้นทางการเดินของมันเข้าไปสู่กรอบอะไรบางอย่าง ที่เมื่อเข้าไปแล้วไม่มีวันหลุดไปไหน ถึงมันจะไม่เคยซ้ำ ไม่เคยทับเส้นเดิม คาดเดาไม่ได้เหมือนเดิมว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร ก็จะอยู่ในกรอบของเรื่องนั้นๆ เสมอ และถ้าระบบนั้นๆ มันมีวังวนแบบนี้ล่ะก็ เรื่องที่น่าประหลาดก็คือ ไม่ว่าเราจะตั้งต้นยังไง มันก็จะถูกดูดเข้ามาอยู่ในกรอบนั้นๆ อยู่ดี แต่การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในค่าตั้งต้น ก็ยังมีผลมหาศาล เพราะเส้นทางของระบบวังวันนั้นก็ยังไม่เหมือนกันเลย ขึ้นกับค่าตั้งต้น)”



Lorenz Attractor หรือที่รู้จักกันอีกชื่อว่า “Butterfly Attractor”
เส้นทางเดินของระบบนี้ จะไม่ออกจากกรอบของรูปผีเสื้อนี้เด็ดขาด;
ภาพจาก Wikipedia

หลังจากจบการบรรยาย ผมรีบเดินไปหาอาจารย์ผมที่หน้าชั้นเรียน

“ผมอยากรู้อะไรบางเรื่องนะ”

พร้อมกับเดินไปที่กระดานดำ

“คิดว่าความคิดกับความทรงจำของคนเรา มันเป็นระบบที่มีวังวนประหลาดที่ว่านั่นหรือเปล่า”

ผมพูดพร้อมกับเขียนสมการอะไรบางอย่างลงไปในกระดานดำ แล้วคุยกับอาจารย์ไปเรื่อยๆ

“ไม่ว่าผมจะคิดอะไร ผมจะเห็นอะไร จะตั้งต้นจากอะไร สุดท้ายแล้วทำไมผมต้องคิดถึงเรื่องอะไรบางเรื่องอยู่ตลอดเวลาด้วย ถึงแม้ผมจะไม่คิดถึงมัน สุดท้ายความทรงจำบางอย่างก็ถูกดึงขึ้นมาให้เห็นทุกที ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม และเมื่อผมเริ่มคิดเรื่องนี้เมื่อไหร่ ความคิดทั้งหมดของผม ก็วนเวียนอยู่กับเรื่องเดิมๆ อยู่แค่เรื่องเดียว ไม่หลุดไปไหนทุกครั้ง”

อาจารย์ผมมองด้วยสีหน้าประหลาดใจ พร้อมกับพูดว่า

“น่าสนใจมาก ผมไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย .. น่าสนุกแฮะ”

เราเสียเวลากับการยืนเถียงกันหน้ากระดานอีกหลายสิบนาที กับสมการเต็มกระดาน ก่อนที่ผมจะถามคำถามใหญ่ๆ กับอาจารย์ผมว่า

“โอเค มันชัดว่าชีวิตคนเรามันเป็นระบบที่เปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว ผมก็คิดว่ามันเป็นระบบแบบเคออสซะด้วย แล้วมันจะมี วังวนประหลาดหรือเปล่าล่ะ” ….

ผมถอนหายใจยาวๆ ก่อนที่จะถามว่า

“แล้วมันจะอธิบายเรื่องของ ‘รักแรกพบ’ ได้มั้ย ความคิด ความรู้สึกทุกอย่างของชีวิตเรากับคนๆ หนึ่ง ถูกกำหนดโดยค่าตั้งต้นของวินาทีแรกที่เจอกัน ไม่เท่านั้นนะ การที่เราเจอคนๆ นั้นในวันนั้น กลายมาเป็นค่าตั้งต้นให้กับชีวิตเรา ที่ทุกอย่างในชีวิตมันถูกกำหนดโดยการเจอกันครั้งนั้น แล้วมันจะมีวังวนอะไรบางอย่างให้ต้องคิดถึงคนๆ นั้นตลอดเวลา ไม่ว่าจะเริ่มต้นคิดเรื่องอะไร แล้วการเดินทางของชีวิตเองล่ะ มันจะมีวังวนอะไรแบบนี้ได้บ้างมั้ย” ….

อาจารย์ผมไม่ตอบ เพียงแต่บอกว่า

“น่าสนุกมาก ทำไมไม่ลองเล่นเรื่องพวกนี้หนักๆ แล้วมาเล่าให้ผมฟังบ้างล่ะ แล้วไม่ต้องมาวิชานี้แล้วนะ นายได้ A”

อาจารย์ผมทิ้งท้ายไว้ให้ พร้อมขยิบตาครั้งหนึ่งว่า

“อย่าลืมนะ พื้นฐานของระบบพวกนี้ทั้งหมดคือ x[t+1] = f(x[t]) ;-)”

เพื่อหาคำตอบขอคำถามเหล่านี้ ผมเปลี่ยนไปเป็นคนละคนในเรื่องวิชาการ ผมเริ่มบ้าคณิตศาสตร์ เริ่มบ้าแบบจำลองทางคอมพิวเตอร์ของอะไรต่ออะไรหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะเรื่องการทำงานของสมองและความทรงจำของคน ผมเริ่มบ้า Computation Theory เผื่ออะไรก็ตามที่ผมรู้หรือเข้าใจในคอมพิวเตอร์จะทำให้ผมเข้าใจชีวิตตัวเองขึ้นมาบ้าง หนังสือวิชาการแทบทั้งหมดของชั้นหนังสือผม ถูกซื้อหลังจากวันนั้น เหตุการณ์วันนั้น วิชานั้น คลาสนั้น มันคงเป็นผีเสื้อตัวเล็กๆ กระพือปีกด้วยกระมัง …. แต่มันก็เป็นการกระพือปีกในระบบที่สภาพอากาศมันได้เปลี่ยนไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับ

ผีเสื้อตัวหนึ่ง กระพือปีกเบาๆ ครั้งเดียว ที่เปลี่ยนสภาพอากาศไปตลอดกาล ….

ใช่สินะ รอยยิ้มครั้งนั้นในวันนั้น ที่ผมจำฝังใจไม่มีวันลืมแม้กระทั่งวันนี้ที่ผมกำลังนั่งเขียนบรรทัดนี้อยู่ รอยยิ้มที่เป็นจุดเริ่มของทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเข้าใจ ความเป็นตัวตนของผมทุกอย่างใน 18 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน เรื่องเขียน/พัฒนาโปรแกรม และเรื่องความรู้เชิงลึกทางวิชาการ มันแทบจะถูกกำหนดไว้ด้วยเหตุการณ์ตั้งต้นเพียงเหตุการณ์เดียว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะดูเหมือนกับไม่เกี่ยวข้องไม่มีเหตุไม่มีผลไม่มีที่มาที่ไปอะไร แท้จริงแล้วมันต้องมีกลไกอะไรบางอย่างที่เรามองไม่เห็น ไม่เข้าใจ อยู่เบื้องล่างเสมอ จากการรกระทำทั้งหมดที่ต่อจุดทั้งหมดเข้าด้วยกัน ที่เชื่อมอดีตมายังปัจจุบัน และจะเชื่อมปัจจุบันไปเป็นอนาคต

แต่นั่นก็คือสิ่งที่ผมรู้มานานก่อนหน้านี้แล้วทั้งนั้น

แต่ก็เพิ่งจะวันนี้เอง … ที่ผมได้คำตอบที่ผมต้องการ คำตอบที่ผมถามหามานาน ตั้งแต่วันที่ผมถามอาจารย์ผมวันนั้น ที่เรายืนคุยกันหน้ากระดาน และตลอด 4 ปีเต็มๆ ที่ผมคุยกับอาจารย์ผมแทบจะเรื่องเดียวมาตลอด และตลอดมาหลังจากนั้น ที่ผมถามหาความจริงของเส้นทางของระบบที่ผมเรียกว่าชีวิตของผมเอง แต่ผมไม่เคยให้คำตอบตัวเองได้ชัดเจน นอกจากความหวังลมๆ แล้งๆ เท่านั้น

สิ่งที่ผมเพิ่งจะเข้าใจก็คือ … เรื่องวังวนประหลาดของชีวิต ที่ผมถามหามาตลอดว่ามันจะมีหรือไม่ …..

ก่อนหน้าที่ผมและมีนจะได้เจอกัน ชีวิตเราสองคนก็เหมือนกับเส้นทางของระบบที่ยังไม่ถูกชักนำเข้ามาในวังวน มันก็ต่างคนต่างไป ต่างคนต่างอยู่ จนกระทั่งวันหนึ่งที่เราได้เจอกัน วันนั้นที่มีนยิ้มให้ผม ที่มันกลายเป็นผีเสื้อกระพือปีกเบาๆ หลังจากนั้น ไม่ว่าเราสองคนจะทำอะไรก็ตาม ในส่วนลึกๆ แล้วชีวิตเราสองคนจะมีอีกคนอยู่เสมอ ไม่สามารถเดินออกไปจากเส้นกรอบของวังวนตัวนี้ได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตเราสองคน สุดท้ายก็เหมือนกับว่าเราสองคนต่างรอกันมาเสมอ ที่คนแรกของหัวใจ จะได้เป็นคนสุดท้ายของชีวิต

คำถามที่ผมอยากรู้วันนั้น …… ณ วันที่ผมถามอาจารย์ผม แต่ผมไม่ได้ถามไปตรงๆ ก็คือ

“คิดว่าเส้นทางชีวิตของเราไม่ว่าจะเดินกันไปยังไง จะเกิดอะไรขึ้นยังไง มันจะอยู่ในกรอบของการเดินอะไรบางอย่างได้มั้ย ไม่ว่าคนที่เป็นรักแรกพบ ที่เจอกันวันนั้น จะมีวันได้เจอกันอีกมั้ย จะลงเอยเป็นยังไง”

หรือตรงกว่านั้นก็คือ

“คิดว่าคนเรา ถ้าเป็นคู่กันแล้ว จะแคล้วกันได้มั้ย”

วันนี้ … ผมได้คำตอบนั้นแล้ว อย่างชัดเจนที่สุด …….. ตั้งแต่เมื่อเราเจอกัน จนถึงวันนี้ ที่เรากำลังจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป

“ใช่ครับ คู่กันแล้ว ไม่แคล้วกัน”

คำพูดสุดท้ายของอาจารย์ผมในวันนั้น

“อย่าลืมนะ พื้นฐานของระบบพวกนี้ทั้งหมดคือ x[t+1] = f(x[t]) ;-)”

มันหมายถึง

“อย่าลืมนะ อนาคต เป็นผลจากอย่างเดียวเท่านั้น คือ เราตัดสินใจทำอะไรกับสิ่งที่เป็นในปัจจุบัน และเราจะเห็นผลของมันเมื่อเวลาผ่านไป”

ไม่ใช่แค่เพียงโชคชะตา ที่ทำให้เราทั้งสองคนมีวันนี้ ชีวิตของเรา มีเพียงเราเป็นผู้กำหนดเท่านั้น ขอเพียงแต่เราตัดสินใจทำ และเชื่อมั่นในสิ่งที่เราทำ ว่ามันจะพาเราไปไหนสักแห่ง ทุกอย่างเป็นเพียงผลจากสิ่งนี้ทั้งสิ้น ดังนั้นทำอะไรทุกอย่างเท่าที่ทำได้ เพื่อให้กาลเวลาทำหน้าที่ของมันในการเชื่อมปัจจุบันไปสู่อนาคต และให้ทุกสิ่งทุกอย่างผ่านกาลเวลาไปด้วยกัน เพื่อให้เราเห็นผลจากสิ่งที่เราทำ


————————————————————————–

“Does the flap of a butterfly’s wings in Brazil set off a tornado in Texas?”
— Philip Merilees

การกระพือปีกของผีเสื้อน้อยๆ ตัวหนึ่ง สักที่หนึ่งในโลก จะทำให้เกิดพายุใหญ่ในอีกที่หนึ่งไหมนะ … ถ้าตามสามัญสำนึกพื้นฐานของเราแล้ว คงจะไม่เป็นแบบนั้น เพราะผีเสื้อนับล้านตัวก็กระพือปีกอยู่ทุกวี่วัน แต่ไม่ค่อยจะเห็นมีพายุใหญ่เกิดขึ้นเท่าไหร่เลย

แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่า โมเลกุลของอากาศรอบๆ ปีกผีเสื้อนั้น ได้รับผลกระทบจากการกระพือปีกนั้นๆ ไปแล้วอย่างเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ผลของมันจะส่งผลถึงอนาคตของสภาพอากาศตลอดกาล และหากเราไล่ย้อนรอยของเหตุการณ์ทางสภาพอากาศ กลับไปถึงต้นตอของการสั่นสะเทือนเล็กๆ ของโมเลกุลได้ … เราอาจจะเห็นว่าการกระพือปีกของผีเสื้อบางครั้ง ก็ส่งผลให้เกิดพายุใหญ่ หรือปัดเป่าให้เกิดฟ้าสวยใสหลังพายุใหญ่ได้จริงๆ

ผีเสื้อตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง กระพือปีกเบาๆ เมื่อ 18 ปีก่อน …….. กับรอยยิ้มที่ผมไม่มีวันลืม


————————————————————————–

มีนครับ .. ผมอยากจะบอกคุณเบาๆ ตรงนี้ว่า

“ชื่อของผมในภาษาไทยมันแปลว่า ‘ผู้ให้แสงสว่าง’ แต่ผมกลับไม่เคยให้แสงสว่างอะไรกับตัวเองได้เลย และต้องรอแสงสว่างของชีวิตตัวเองมานานแสนนาน ขอบคุณนะครับ ที่เป็นผู้ให้แสงสว่างกับชีวิตคนๆ นี้ให้มีความหมายขึ้นมา”

มีนครับ .. และผมอยากจะบอกคุณดังๆ ตรงนี้สักครั้งว่า

“คุณเป็นยิ่งกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตผมที่ผ่านมา ตั้งแต่คุณเข้ามาในชีวิตผมเมื่อ 18 ปีก่อน โลกของผมก็เปลี่ยนจากโลกที่เคยว่างเปล่า กลายเป็นโลกที่มีความหมาย เหมือนกับคำพ้องเสียงของชื่อคุณในภาษาอังกฤษ (Mean ที่แปลว่า
‘ความหมาย’) รอยยิ้มเพียงครั้งเดียวของคุณ คุณทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างมีความหมายในตัวของมันเอง และคุณคือความหมายของทุกสิ่งทุกอย่าง … แม้แต่ ‘ตัวผมเอง’ ถ้าชื่อคุณแปลว่าความหมาย คุณก็คือความหมายของชีวิตผมครับ”

มีนครับ … สุดท้ายที่ตรงนี้ ผมขอบอกคุณดังๆ กับสิ่งที่ผมบอกตัวเองมาตลอดตั้งแต่เรียนมัธยม แต่ครั้งนี้ผมจะบอกให้คุณได้ยิน และให้ทุกคนได้อ่าน ได้รับรู้

“สักวัน … ผมจะดีพอสำหรับมีนครับ”

…จบบริบูรณ์…


ขอบคุณ …

  • มีนที่รัก ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมเป็นทุกอย่างที่ผมเป็นในวันนี้ และที่คุณให้โอกาสผมเป็นทุกอย่างของชีวิต ด้วยเวลาที่เหลืออยู่ของชีวิตเราสองคน
  • ครอบครัวทั้งสองครอบครัว ที่ไฟเขียวให้เราได้แต่งงานกัน และดีใจกับเราทั้งคู่
  • เพื่อนๆ ทุกคน ที่คอยสนับสนุน และดีใจกับเราสองคน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนจากสมัยไหน จากสังคมไหน ของช่วงไหนในชีวิตเราทั้งสองคนก็ตาม
  • เพื่อนๆ สี่สาว ที่ไปเที่ยวเกาหลีด้วยกัน คุณนก คุณดาว คุณพีท น้องแจง ที่แอบเชียร์และช่วยลุ้นตลอดทริป
  • คุณนก เป็นกรณีพิเศษมากๆ ที่สมัคร Facebook ให้มีน ไม่งั้นเราคงไม่ได้เจอกัน แล้วยังมาช่วยเป็นพิธีกรงานแต่งงานให้ด้วย
  • คุณวีร์ และทีมงาน Conscious สำหรับการออกแบบทุกอย่าง ตั้งแต่การ์ดแต่งงาน การออกแบบหน้าปกและภายในหนังสือ “Remember the Butterfly” ซึ่งก็คือเป็นเวอร์ชั่นที่พิมพ์เป็นหนังสือของเรื่องราวที่ลงบนเว็บนี้
  • น้องเก้า น้องฟอร์ด ที่ช่วยถ่ายรูป Pre-Wedding ให้ตั้งหลายอัลบั้ม แล้วก็ยังมาช่วยเป็นช่างภาพและพิธีกรในงานแต่งงานด้วย
  • iHearBand: วงดนตรีงานแต่งงาน ที่จัดคิวมาเล่นให้ (เป็นวงเดียวกับที่เคยเล่นให้กับงาน Talkshow ผมด้วยนะ)
  • เจ้า KOSY โปรแกรมสุดที่รัก ที่ช่วยค้นหามีนมาตลอดสิบปีที่ผ่านมา อย่างไม่เคยเหน็ดเหนื่อยอะไรเลย
  • ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทุกสิ่งที่เราทำ ที่ทำให้เรามีกันและกันได้ในวันนี้

คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายที่รอคอย #7: “The Sunshine I’ve Waited”

เรื่องเล่า ที่เรียบเรียงจากเรื่องจริงของผม และว่าที่เจ้าสาว คุณวัชรพรรณ โล่ห์ทองคำ ตอนที่ 7

อัพเดทล่าสุดเมื่อ 10 กันยายน 2555

ความเดิม

05-06/2012: แสงตะวันที่ฉันรอคอย (The Sunshine I’ve Waited)

“หาก ‘ความรัก’ คือความรู้สึกแบบนี้ …. ที่ผ่านมาเราทั้งสองก็ไม่เคยรู้จักกับมันเลย”

หลังจากที่เรากลับมาจากเกาหลี ชีวิตของเราสองคนก็เปลี่ยนไปอย่างมากจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากที่แทบไม่เคยที่จะได้เจอกัน ในวัฏจักรที่เหมือนไม่รู้จบสิ้นของอาการคนหนึ่งอยากเจอ อีกคนบ่ายเบี่ยง แล้วก็กลับไปนั่งเหงาอยู่คนเดียวที่คอนโด จนกระทั่งคนหนึ่งเริ่มรู้สึกท้อและอยากถอย แต่คนที่นั่งเหงานั่งคอยก็ตามกลับมา … ทั้งที่ลึกๆ ในใจแล้วต่างก็รักกันมาตลอด และต่างก็รอคอยกันมาตลอด แต่ก็ปฏิเสธหัวใจตัวเองมาตลอดเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุผลเงื่อนไขต่างๆ นานาในชีวิต …

ชีวิตของเราสองคนกลายมาเป็นสิ่งที่เราเห็นตรงกันว่า มันน่าจะเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ก็คือ เราคุยกันได้ตรงๆ บอกความต้องการจากหัวใจของตัวเองได้ตรงๆ และเมื่อไหร่ที่เราเจอกัน เราแค่มองตากันก็แทบจะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไงอยู่ ไม่ต้องพูดไม่ต้องถามไม่ต้องอะไรทั้งสิ้น หากจะมีการถามอะไร ก็เพียงแต่ต้องการได้ยินสิ่งที่หัวใจมันรู้อยู่แล้ว และสายตามันสะท้อนอยู่แล้ว ก็เท่านั้น

เราเจอกันทุกวัน ทุกวัน และทุกวัน ถึงผมจะทำงานที่ ม.ศิลปากร นครปฐม เป็นหลัก (บางวันอาจจะอยู่โฮมออฟฟิศที่นนทบุรี) และมีนจะทำงานอยู่นอร์ธปาร์ค หลักสี่ กรุงเทพ เราก็ยังเจอกันทุกวัน กินข้าวกันทุกเย็น หาเวลาอยู่ด้วยกันตลอดเท่าที่จะทำได้

การได้เจออีกคนหนึ่งตอนเย็น การจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันแม้เพียงเล็กน้อยในตอนค่ำ กลายเป็นเหตุผลสำคัญเพียงข้อเดียวที่เราลืมตาตื่นขึ้นมาตอนเช้า การได้เจอกันในวันรุ่งขึ้น เป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้คำว่า “วันพรุ่งนี้” ยังมีความหมายกับชีวิตเราสองคน แค่เพียงได้เจอกัน แค่เพียงมีกันและกัน ชีวิตเราคงไม่ต้องการอะไรมากมายไปกว่านี้อีกแล้ว

เบอร์โทรศัพท์มีน เปลี่ยนจากเบอร์ที่ผมอยากโทรหาที่สุด แต่ทำใจกดโทรออกยากที่สุด กลายมาเป็นเบอร์ที่ผมกดโทรหาบ่อยที่สุด โทรหาแทบจะตลอดเวลาและทุกครั้งที่มีโอกาส … แต่ว่าโอกาสที่ว่านั้นก็ไม่ค่อยจะมีเท่าไหร่ เพราะมีนจะเป็นคนโทรมาหาผมเองมากกว่า มีนจะโทรมาหาทุกเช้า ทุกเที่ยง ทุกเย็นก่อนเจอกัน และก่อนนอน บ่อยครั้งที่เราแทบจะกดโทรศัพท์หากันพร้อมกัน นี่ยังไม่นับถึงข้อความนับร้อยข้อความถูกส่งไปส่งมาระหว่างกันและกันในแต่ละวัน

แต่ไม่ว่าจะติดต่อกันเท่าไหร่ เจอกันบ่อยแค่ไหน ก็ไม่เพียงพอที่ใจอยากจะได้ … ก็มันควรจะเป็นได้แบบนี้มาตั้งแต่สิบกว่าปีที่แล้ว … หรืออย่างน้อยที่สุด ก็ตั้งแต่เราต่างคนต่างสามารถกลับเข้ามาในชีวิตของกันและกันได้ ทำไมเราไม่ยอมเปิดใจคุยกัน ทำไมเราต้องทำตรงข้ามกับใจด้วย

วันหนึ่ง มีนกดเพลง “ให้รักเดินทางมาเจอกัน” ให้ผมฟังจากมือถือ … มันช่างเหมือนกับความรู้สึกของเราสองคนมากจริงๆ

ต้นเหตุของความเสียใจก็คือความจริงที่สองเราไม่พูดกัน
ไม่เคยจะมองตากันได้แต่คิดและทำอะไรไปตามต้องการโดยไม่สนใคร

ต้นเหตุของรอยน้ำตาไม่เคยเยียวยารักษาด้วยความเข้าใจ
มันเป็นเพราะความไม่รู้ไม่เคยดูให้ลึกลงไปข้างในหัวใจ
ได้แต่ทนเก็บไว้ผิดอะไรไม่เคยคิดถาม

เมื่อไหร่จะเข้าใจเมื่อไหร่จะรักกัน
หากเราทั้งสองไม่ยอมเปิดใจ
ให้คำว่ารักเดินทางมาเจอกัน
เมื่อไหร่จะเข้าใจได้ไหมคนดีช่วยพังทลายกำแพงที่มี
ให้ใจของเรามีวันที่ดีที่สวยงาม

จากผมคนที่เคยกลัว กลัวว่ามีนจะไม่รัก กลัวว่ามีนจะไม่ชอบ กลัวว่าตัวเองไม่ดีพอ ทำให้ไม่กล้าที่จะคุยด้วย และจากมีนคนที่เคยมีปมว่าตัวเองไม่ดีพอสำหรับอีกคนหนึ่งหรือ เธอจึงต้องไม่คุยกับฉัน และทำห่างเหินกับฉันตลอดเวลาที่ผ่านมา กลายมาเป็นคนที่เริ่มมั่นใจในตัวเองขึ้นมาได้มากขึ้นเรื่อยๆ และที่เป็นแบบนี้ ไม่ใช่เพราะอยู่ดีๆ มันรู้สึกมั่นใจตัวเองขึ้นมาเฉยๆ แต่เป็นเพราะเวลามองตาอีกคนหนึ่ง แล้วรับรู้ความรู้สึกของความรักที่มันถูกเก็บซ่อนมาตลอด 18 ปี ทีมันล้นออกมาจนไม่รู้จะเอาไปเก็บไว้ที่ไหน เหมือนกันทั้งคู่ต่างหาก

แม้แต่สิ่งที่เราสองคนกลัวมากที่สุดในขณะนั้น ก็คือทั้งที่รักกันขนาดนั้น แต่จะเข้ากันได้มั้ย ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ในการศึกษาซึ่งกันและกัน ถ้ามีเรื่องที่เข้ากันไม่ได้ หรือชอบไม่ตรงกัน และบังเอิญดันเป็นเรื่องสำคัญของความรัก ของชีวิตที่อาจจะต้องอยู่คู่กันต่อไปล่ะ … ก็กลับกลายเป็นว่า เราสองคนเข้ากันได้ดีมากอย่างน่าประหลาดในแทบทุกเรื่อง เราสองคนมีลักษณะพื้นฐานที่เหมือนกันในเรื่องที่ควรเหมือน (เมื่อเปิดใจคุยกันได้แล้ว) และต่างกันในเรื่องที่ควรต่าง ตัวอย่างเช่น ไม่ว่าจะเป็นการที่เราทั้งสองคนเป็นคนที่อะไรก็ได้ง่ายๆ ไม่เรื่องมาก กันทั้งคู่ แต่ผมจะเป็นคนมองเห็นภาพรวมในเรื่องที่มีนเป็นคนเห็นรายละเอียด แต่เป็นคนที่ละเอียดในเรื่องที่มีนเห็นภาพรวมๆ ทำให้เราไม่ต้องเถียงกันหรือทะเลาะกันในเรื่องของรายละเอียดที่ไม่ตรงกัน แต่มันเสริมกันได้ทั้งคู่ในแทบทุกจุด …. เท่านั้นไม่พอ รสนิยมและความชอบต่างๆ ของเรามันช่างตรงกัน ตรงกัน และตรงกัน แบบไม่น่าเชื่อเลย จนแทบจะเรียกได้ว่า ไม่ต้องมองตา ก็รู้ใจกันได้ ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร

และนับวัน ความรู้สึกของเราที่มีมาตั้งแต่กลับมาจากเกาหลี มันก็ยิ่งชัดเจนขึ้นๆ ทุกทีๆ


“ใช่แล้วล่ะ”
“คนนี้แหละ ที่รอคอยมานานแสนนาน”
“คนนี้แหละ ที่เราอยากจะใช้เวลาที่เหลือทั้งหมดของชีวิตกับเค้า”
……..
“คนนี้แหละ คือความสุขของชีวิต”

ในขณะที่หลายคนอาจจะเห็นว่า เพิ่งรู้จักกัน เพิ่งคบกัน ลองดูใจกันไปอีกหน่อยจะดีไหม ลองใช้เวลาหลายๆ เดือน หลายๆ ปี เหมือนคนนั้นคนนี้ไหม … ผมกลับไม่คิดเช่นนั้นเลยมาตั้งแต่ต้น

ในการบรรยายวิชาการครั้งแรกของผม กับเรื่อง “Calculus in Love” เมื่อกว่า 10 ปีก่อน ซึ่งผมได้อธิบายการเปลี่ยนแปลงของความรัก โดยใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่ผมถนัดที่สุด ผมเคยพูดเอาไว้ว่า

“เวลาไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไรเลย เวลาเป็นเพียงแค่ตัวสำคัญที่เชื่อมโยงจากเหตุไปหาผล เชื่อมจากสิ่งที่เราทำหรือไม่ทำ ไปยังสิ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้น สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราตัดสินใจต่างหาก ที่เป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่ากาลเวลา”

ผมชอบยกตัวอย่างง่ายๆ ว่า คนสองคนที่ไม่ว่าจะรักกันหรือไม่รักกัน นั่งอยู่ในห้องไม่คุยกัน 10 ปี ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน คนสองคนไม่รักกัน นั่งอยู่ในห้อง 3 เดือน แต่คุยกันทุกวัน ก็อาจจะรักกันได้ แต่ถ้าคนสองคนรักกัน นั่งอยู่ในห้องและคุยกัน แค่เพียงวันเดียวก็อาจจะกลายเป็นคู่รักกันไปได้เลย … นั่นคือ เวลาไม่มีผลอะไรเท่าที่หลายคนคิด สิ่งที่สำคัญและมีค่าคือต้นทุนทางจิตใจ และการกระทำที่จะสื่อสารมันออกมาต่างหาก

ระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน ซึ่งอาจดูเป็นเพียงช่วงสั้นๆ ในความรู้สึกของใครหลายๆ คน มันมีเรื่องอะไรต่างๆ เกิดขึ้นมากมายระหว่างผมและมีน มันเป็นช่วง “จีบกัน” (ช่วงโปรโมชั่น หรือที่ผมชอบอ่านว่า “ช่วงโปรโมทฉัน”) ที่แปลกที่สุดที่ผมเคยรู้จักมา คือเป็นช่วงเวลาที่มีแต่ความไม่เข้าใจ เป็นช่วงเวลาที่มีแต่ความสับสน ความทรมาน ความทุกข์ของความไม่แน่นอน อันเกิดจากความกลัว ปมต่างๆ และธรรมชาติของเราสองคนเอง ที่สุดท้ายเราก็ผ่านมันมาได้ทั้งคู่ …. และยิ่งช่วงโปรโมชั่นมันยิ่งแย่เท่าไหร่ เรากลับยิ่งเข้าใจกันมากขึ้นๆ ทุกที เพราะสุดท้ายเมื่ออีกคนแสดงท่าทางจะไป เราก็ต้องยอมพูดความจริงของหัวใจออกมาดังๆ

ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นในช่วงนั้น บวกกับเวลาช่วงสั้นๆ ที่เกิดขึ้นตอนที่ไปเกาหลี เป็นเพียงเหตุการณ์สุดท้าย ในเรื่องราวของความรักและความรู้สึกที่มันมากมายมหาศาล … ต้นทุนทางความรู้สึกที่เรามีให้กัน ที่เราสะสมมา 18 ปี …..
… ตั้งแต่ที่มีนเริ่มถามเพื่อนเค้าว่าเด็กที่เข้ามาเรียนใหม่เป็นใคร
… ตั้งแต่ที่ผมเห็นรอยยิ้มครั้งนั้นที่ระเบียง
… ตั้งแต่วันที่ผมขอเดินไปส่งที่สถานีรถไฟ
… ตั้งแต่วันที่เราถ่ายรูปคู่กันเป็นครั้งแรก สมัยเรียน ม.ต้น
… ตั้งแต่ช่วงที่เห็นหน้ากันทุกวัน แต่ไม่เคยคุยกันทั้งๆ ที่ใจอยากจะคุย อยากให้อีกคนสนใจ สมัยที่เรียน ม.ปลาย
… ตั้งแต่ช่วงเวลาแสนสั้นที่แสนมีความสุข เมื่อเราติดต่อกันสมัยเรียนมหาวิทยาลัย
… ตั้งแต่ช่วงเวลาของการตามหา การรอคอย การปิดขังหัวใจ มานับสิบปี …
… ตั้งแต่เราได้กลับมาเจอกันใหม่อีกครั้ง …

ต้นทุนทางความรู้สึกที่มากมายนี้ กับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างเรา ที่ค่อยๆ เปลี่ยนจากความรักและความไม่เข้าใจ ที่ครอบงำด้วยความกลัว ให้กลายมาเป็นชีวิตที่มีความสุขที่มีคนที่รักและเข้าใจอยู่ใกล้ๆ คนที่ใช่ทุกอย่าง อย่างที่ปฏิเสธความรู้สึกใดๆ ไม่ได้

เมื่อเรายิ่งเจอกันทุกๆ วัน และได้แสดงออกถึงความรัก ความห่วงใย ความคิดถึง ความโหยหาที่เหมือนกับอยากชดเชยสิ่งที่เป็นมาตลอดชีวิต มันยิ่งตอกย้ำทุกสิ่งทุกอย่างมากขึ้นๆ …

กาลเวลา ก็ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว เมื่อมันพาเรามาถึงวันที่เป็นผลจากทุกสิ่งทุกอย่าง

ชีวิตของเราทั้งสองคน ต่างเจอวิญญาณอีกครึ่งดวงที่ขาดหายไป คนที่จะทำให้ชีวิตได้เป็นอย่างที่มันถูกสร้างมาให้เป็น เรารู้สึกตรงกันว่า อีกคนหนึ่งคือความสุขเดียวในชีวิต และเราต้องการที่จะมีชีวิตต่อไป โดยมีอีกคนหนึ่งอยู่ด้วย จนกระทั่งวันเวลาสุดท้ายของลมหายใจจะมาถึง

ในวันหนึ่ง … วันที่ไม่มีความหมายใดๆ ทั้งสิ้น ผมขับรถไปส่งมีนที่คอนโดของเธอ ณ ลานจอดรถซึ่งไม่มีอะไรโรแมนติก ไม่มีบรรยากาศให้ชวนฝันใดๆ … มีแต่ความรู้สึกในใจ ที่มันล้นออกมาในสายตา และสัมผัสของมือที่กุมกันอยู่ บรรยากาศข้างนอกน่ะช่างมันปะไร แต่บรรยากาศในใจมันเรียกร้องเหลือเกิน …. น้ำตาผมเริ่มที่จะคลอตา กับความรู้สึกที่สะสมบ่มเพาะมานานถึง 18 ปี เมื่อผมก็พูดว่า

“มีนครับ … แต่งงานกับผมนะที่รัก”

ผมเห็นทั้งรอยยิ้มและน้ำตา อาบอยู่บนหน้าผู้หญิงคนที่รักที่สุด คนที่เป็นคนแรกของหัวใจ และคนสุดท้ายที่ผมรอคอยมานานแสนนาน หัวใจผมมันรับรู้คำตอบของเธอคนนี้ก่อนที่เธอจะตอบอะไรออกมาเสียอีก … แต่ถึงกระนั้น มันก็ไม่ได้เสี้ยวเลยกับความรู้สึกที่เธอจับมือผมไว้แน่น และตอบเบาๆ ว่า

“ค่ะ .. ที่รักของมีน”

(จบตอน … ตอนต่อไปคือตอนอวสาน)