คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายที่รอคอย #2: “The Cloudy Horizon”

เรื่องเล่า ที่เรียบเรียงจากเรื่องจริงของผม และว่าที่เจ้าสาว คุณวัชรพรรณ โล่ห์ทองคำ ตอนที่ 2

อัพเดทล่าสุดเมื่อ 10 กันยายน 2555

ความเดิม

1996-1999: เมฆฝนที่ปลายฟ้า (The Cloudy Horizon)

ผมกลับมาเริ่มเรียนอย่างจริงจัง หลังจากที่ผมทิ้งการเรียนแบบไม่สนใจไยดีและทำตัวเหลวไหลมาตลอดสองปีกว่าตั้งแต่กลับมาจากอเมริกา แต่ถึงจะขยันอย่างเป็นบ้าเป็นหลังแค่ไหนมันก็ลำบากเหมือนกันนะ เพราะไม่ว่าโดยพื้นฐานแล้วจะเป็นคนฉลาดแค่ไหน เคยเรียนเก่งตั้งแต่เด็กแค่ไหน แต่การทิ้งมันไปนานแบบนั้น ก็ทำให้ผมลำบากมากในการรื้อฟื้นทุกอย่างใหม่อีกครั้ง (ผมบอกได้อย่างไม่อายใครครับ ผมจบ ม.3 ด้วยการแยกตัวประกอบไม่เป็น ทำฟิสิกส์ง่ายๆ ระดับกฏนิวตันธรรมดาๆ ไม่ได้ ไม่เก็ทอะไรเลยว่าอะไรคืออะไร อ่านหนังสือเรียนอะไรก็ไม่เข้าหัวเลย ไม่ว่าจะวิชาอะไรก็ตาม เรียกว่าคะแนนสอบและเกรดนี่แค่พอจะรอดตลอด ม.ต้น จะรอดสบายๆ ก็ภาษาอังกฤษ เพราะบุญเก่าเยอะ)

แต่ครั้งแล้วคร้ังเล่าที่ผมท้อ ผมก็ได้แต่บอกรูปถ่ายที่ผมเก็บไว้ว่า “มีนครับ วันหนึ่ง ผมจะดีพอ และเมื่อผมดีพอ ผมจะกลับมาจีบคุณใหม่ .. อีกครั้ง” ……

ผลจากการบ้าเรียน ทำให้ผลการเรียนผมดีขึ้น ถึงจะยังไม่ถึงขนาดเก่งมากมายอะไรเท่าไหร่ แต่ผมก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองน่าจะดีขึ้นบ้างแล้วมั้ง

ผมหาโอกาสคุยกับมีนมาตลอดเวลาที่เรียน ม.ปลาย แต่ด้วยช่องว่างระหว่างชั้นเรียน และช่องว่างจากความห่างกันที่ผมสร้างมันขึ้นมาเองนั้น ทำให้โอกาสนั้นยิ่งหายากขึ้นไปอีก เบอร์โทรศัพท์บ้านที่ผมมี ถึงผมจะจำได้อย่างขึ้นใจแค่ไหน ผมก็ไม่กล้าโทรไปหาอีกแล้ว คงจะเพราะกลัว กลัวว่าจะโดนถามว่า “โทรมาทำไม ถ้าไม่มีอะไรก็แค่นี้นะ” แล้วผมก็จะหาเหตุอันควรในการรั้งให้คุยต่ออีกสักนาทีหนึ่งไม่ได้

และแล้ววันหนึ่ง โอกาสที่ผมรอคอยก็มาถึง พร้อมๆ กับเป็นวันที่หัวใจผมเกือบสลายเป็นครั้งแรก ….

วันนั้น ผมบังเอิญเจอมีนบนรถทัวร์ขากลับจากกรุงเทพฯ ต่างคนต่างไปเรียนพิเศษแล้วบังเอิญเจอกันตอนเดินทางกลับ ตอนนั้น … ผมรู้สึกดีใจมากที่มีโอกาสได้นั่งข้างๆ เธอคนนี้อีกครั้ง

ผมไม่รู้หรอกนะ ว่าเวลานั้นมีนจะรอให้ผมง้ออยู่หรือเปล่า จะรอให้ผมชวนคุยอยู่มั้ย แต่ด้วยความที่ผมไม่มั่นใจตัวเอง คิดเข้าข้างตัวเองไม่เป็น ผมก็ไม่กล้าจะคิดไปแบบนั้นเลย และด้วยความที่เป็นคนขี้อายยังไงก็ไม่เปลี่ยน ปากหนักมากเรื่องการบอกความรู้สึกของตัวเอง ทำให้ผมพูดอะไรก็ลำบากไปหมด ทุกคำพูดที่มันหลุดจากปากมา มันไม่เคยเป็นคำที่อยากจะพูดออกไปเลยแม้แต่คำเดียว อยากจะชวนคุยดีๆ นะ แต่ก็ขรึมใส่ อยากจะง้อนะ แต่ก็ทำหยิ่ง ทำไมก็ไม่รู้เหมือนกัน

มีนเองก็อยากคุยนะ แต่ก็ไม่รู้จะชวนคุยเรื่องอะไร เพราะความห่างเหินระหว่างเราสองคน และแล้ว มีนก็ถามผมถึงเพื่อนเก่าผมสมัยเรียนที่วชิราวุธคนหนึ่ง … ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับผม นั่นหมายความว่าเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับมีนด้วย (แต่สำหรับสังคมของมีนแล้ว ผมก็คือรุ่นน้องในโรงเรียน) ถึงมันจะเป็นเรื่องไม่มีอะไร ก็คงแค่พูดถึงเฉยๆ อาจจะพูดถึงเพราะอยากจะชวนผมคุย แต่เพราะความห่างเลยไม่มีเรื่องอะไรที่รู้ร่วมกันเลย ก็เลยเอาเรื่องคนที่คิดว่าผมจะรู้จักมาถามไถ่ เผื่อจะได้คุยกันต่อได้ ก็เป็นไปได้นะ

แต่ด้วยความที่ผมคิดทำร้ายตัวเองเก่งอยู่แล้ว ด้วยความที่ผมคิดว่าคนอื่นเหมาะกับมีนมากกว่าตัวเองอยู่แล้ว ด้วยกำแพงของคำว่ารุ่นพี่รุ่นน้อง ด้วยฯลฯ มันกลับทำให้ผมรู้สึกเจ็บมากที่ขั้วหัวใจ แต่ตอนนั้นก็ยังทำเก่ง ทำปากแข็งไปเรื่อย พูดยิ้มไปเรื่อย แต่ใจมันไม่เป็นแบบนั้น ก็ยังอยากจะด่าตัวเองอยู่ว่าจะเก็บอาการไปถึงไหน ….

เราแทบไม่ได้คุยกันอีกเลยตลอดเวลาที่เรียน ม.ปลาย เพราะผมก็มัวแต่บ้าเรียน เรียน เรียน แล้วก็เรียน ผมกลายเป็นคนเก็บตัวมากขึ้น จากที่เพื่อนน้อยอยู่แล้ว ก็ยิ่งน้อยลงไปอีก ผมไม่ค่อยจะคบเพื่อนรุ่นเดียวกันด้วยซ้ำ และผมไม่ค่อยจะคบเพื่อนรุ่นมีนด้วย จะมีแต่คบรุ่นพี่ไปอีกรุ่น หรือพวกนักศึกษาราชภัฏไปเลย อาจจะเพราะปมลึกๆ ที่มีนสร้างให้ผมด้วย ผมเลยต้องพยายามทำตัวแบบนั้น

ผมออกมาอยู่หอหลังโรงเรียน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง และจะได้อ่านหนังสือได้เต็มที่มากขึ้น ผมโดดเรียนหลายต่อหลายวิชา เพื่อเอาเวลาไปนั่งอ่านหนังสือเอง ฝึกทำโจทย์เอง เพราะคิดว่ามันตรงประเด็นกว่า โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาที่ผมคิดว่าทำไปทำมา ผมถนัดที่สุด และน่าจะเป็นอาวุธสำคัญในการทำคะแนนสอบของผม (แต่หลายครั้งก็ชอบนั่งเล่นหมากรุกเรื่อยเปื่อยไปวันๆ)

แต่.. มีนจะรู้มั้ยนะ ว่าบางวันที่ผมเห็นเธอนั่งอยู่ตรงทางเดินด้วยท่าทางเหงาๆ ที่ถึงเธอจะไม่แสดงออกยังไงผมก็เห็น … ผมก็อยากจะเดินผ่านแล้วยิ้มให้บ้าง เหมือนกับที่ผมเคยจำรอยยิ้มครั้งนั้นได้ … แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงต้องทำเป็นรีบเดินผ่านเร็วๆ แบบไม่สนใจไยดีอะไรด้วย ทั้งที่อยากมอง แต่ทำไมผมกลับแค่เหล่มองด้วยหางตา ไม่หยุดมองเค้าเต็มๆ ตาด้วย …. ทุกอย่างที่ทำมันตรงข้ามกับใจเลยจริงๆ ให้ตายเถอะ

และนั่นเอง ทำให้แผลในใจของมีน ที่ผมเป็นคนกรีดไว้เอง มันยิ่งลึกขึ้น ร้าวขึ้น เพราะมันยิ่งตอกย้ำที่มีนรู้สึกว่าผมไม่ได้ชอบเค้าอีกต่อไปแล้ว ให้กลายเป็นความรู้สึกว่าผมคงจะเกลียดเค้ามาก ถึงขนาดเดินผ่านยังไม่มอง ไม่สนใจ และเหมือนจะรีบๆ เดินให้ผ่านไปให้เร็วที่สุด เท่านั้นไม่พอ ยังมองเค้าด้วยหางตา ด้วยสายตาเย็นชาที่สุดอีกต่างหาก ซึ่งเค้าเจ็บปวดและเสียใจมาตลอด

ในวันนั้น ความรู้สึกของเราทั้งสองคน ก็คงจะเหมือนกับเพลง “โลกทั้งใบให้นายคนเดียว” ทั้ง 2 เวอร์ชั่น ที่เริ่มต้นเหมือนกัน

ต่างคนเข้าใจ
ต่างก็เรียนรู้ทุกอย่าง ด้วยสองเรา
แค่มองสายตา ก็พอรู้ใจ มีเธอมีฉัน
ก่อเป็นความหมาย ให้ใจผูกพันธ์
ให้เรารักกัน ทุกทุกนาที

แต่ท่อนต่อมากลับแตกต่างกัน คงจะเหมือนกับความรู้สึกของผมและของมีน ที่คนหนึ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอจนไม่กล้าที่จะคุยด้วย ในขณะที่อีกคนก็รู้สึกไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้

สิ่งเดียวที่มี / แต่วันนี้เธอ
นั่นก็คือรักยิ่งใหญ่ ที่ให้เธอ / กลับไม่เป็นเหมือนคนเก่า ไม่เข้าใจ
แต่วันนี้เรา ไม่ควรพบกัน / ก็ความรักเรา ที่เคยมากมาย
เพราะฉันไม่ดี / น้อยลงไปทุกที
เหตุการณ์วันนั้น ต่างจากวันนี้ / บอกกันได้ไหม ที่ทำอย่างนี้
แหละเรารู้ดี ว่าต้องทำใจ / เหตุผลที่มี นั้นคืออะไร

ผมนึกขอบคุณมีนอยู่ลึกๆ ที่่เลือกจะเรียน ม.6 ไม่รีบร้อนเข้ามหาวิทยาลัยด้วยการสอบเทียบไปก่อน ทำให้ผมได้เห็นเธอนานขึ้นอีกหน่อย แต่แล้ววันเวลาก็ผ่านไปและผ่านไป ปีสุดท้ายของการจากลาจริงๆ ก็มาถึง เมื่อมีนอยู่ ม.6 และผมอยู่ ม.5 ซึ่งเป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่มีนอยู่ ม.3 และผมอยู่ ม.2 แต่ครั้งนี้ไม่มีระดับชั้นต่อไปในโรงเรียนให้ผมลุ้นอีกแล้ว มีแต่การจากลาเท่านั้นที่รอเราทั้งสองคนอยู่

ผมไม่รู้เลยว่ามีนตั้งใจจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยไหน อยากเรียนคณะอะไร ทั้งๆ ที่ผมอยากจะรู้มากๆ แต่ด้วยความกลัวทำให้ผมก็ไม่กล้าเข้าไปถาม แต่ผมก็ตั้งใจจะสอบเทียบเพื่อที่จะสอบ Entrance ให้ได้รุ่นเดียวกับมีน เหตุผลเล็กๆ น้อยๆ เรื่องหนึ่งก็คือ อย่างน้อยกำแพงบ้าๆ ในความรู้สึกของเธอที่ว่าผมเป็น “รุ่นน้อง” มันจะได้หมดลงไปเสียที

แต่ที่สำคัญกว่านั้น ผมนึกไม่ออกว่า เมื่อเหตุผลเดียวที่ผมเคยมีในการไปโรงเรียนมาตลอดนั้นหายไป ผมจะมีแรงมีใจจะไปที่นั่นได้อย่างไร ผมคงทำใจไม่ได้ กับการมองเห็นเงาของเค้าอยู่ในที่ๆ เค้าเคยนั่ง ตรงทางเดินระเบียง ตรงโต๊ะหินอ่อนริมสนามฟุตบอล ฯลฯ แต่วันหนึ่งผมจะมองไปแล้วไม่เห็นใครเลย

เนื่องจากผลการเรียนของผมมันคาบเส้นที่จะสอบทุนพอดี (สอบทุนต้องใช้ 3.5 ขึ้นไป และผมได้ 3.51 นะ ถ้าจำไม่ผิด) ทำให้ผมสมัครสอบทุน ก.พ. ด้วย ซึ่งผลออกมา ผมได้ทุนรัฐบาลไทยไปเรียนที่ประเทศญี่ปุ่น และยังสอบติดที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย….. ในขณะที่มีนสอบติดที่ ม.นเรศวร

ผมดีใจนะ แต่ก็ใจหายมากมายในเวลาเดียวกัน ตอนนั้นผมต้องเลือกระหว่างเรียนที่จุฬาฯ หรือไปญี่ปุ่น ใจหนึ่งน่ะมันอยากเรียนในเมืองไทย เผื่อจะได้ติดต่อมีนได้บ้าง แต่ก็มีความรู้สึกหนึ่งที่ว่า คนติดจุฬาฯ เยอะแยะมากมาย แต่น้อยคนนักจะได้ทุนไปเรียนตั้งแต่ปริญญาตรี ด้วยความคิดโง่ๆ ของผมในตอนนั้น คำว่า “นักเรียนนอก” มันคงจะทำให้ผมดีพอขึ้นได้บ้างกระมัง

ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง ที่ไม่ใช่แค่เรื่องมีน ในที่สุดผมก็ตัดสินใจที่จะไปเรียนที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 1998 โดยที่ผมไม่ได้บอกอะไรกับมีนเลยแม้แต่คำเดียว … และตลอดเวลาที่ผมเรียนภาษาก่อนที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้น ผมก็ไม่ได้ติดต่อเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียวเช่นกัน … ตอนนั้นผมไม่รู้ว่ามีนจะเป็นยังไง จะยังจำผมได้อยู่หรือเปล่า หรือจะลืมผมไปแล้ว

หลังจากที่ผมเข้ามหาวิทยาลัย Tsukuba ได้ในช่วงเดือนมีนาคม 1999 (หลังจากเรียนภาษาไปหนึ่งปี) และทุกอย่างเริ่มลงตัว มันก็คงจะถึงเวลาแล้ว ที่ผมรู้สึกว่าผมดีพอ และกล้าที่จะติดต่อมีนอีกครั้ง …… เดือนมิถุนายนปีนั้น ผมก็ยกหูโทรศัพท์ขึ้น และหมุนไปเบอร์ที่ผมคุ้นเคย เบอร์ที่จำขึ้นใจ แต่ไม่ได้โทรไปเลยมาเกือบ 4 ปี ..

ถึงตรงนี้ผมคงต้องบอกว่า ถ้าไม่มีมีน ผมคงไม่มีวันที่จะกลับมาบ้าเรียน ไม่มีวันที่จะได้ทุนรัฐบาลไปเรียนถึงประเทศญี่ปุ่น และคงไม่มีวันที่จะมีวันนี้ …… ผมคงไม่รู้จะเอาอะไรเป็นแรงบันดาลใจ ไม่มีอะไรเป็นตัวกระตุ้นเลย

คุณแม่ของมีนเป็นคนรับสาย ผมค่อนข้างจะเกร็งมาก แต่สุดท้ายผมก็ขอเบอร์โทรศัพท์หอมีนจนได้ และแล้ว หลังจากทำใจอยู่นาน และนอนคิดว่าจะพูดอะไรอยู่นาน จะทักทายว่าอะไรดี จะชวนคุยเรื่องอะไรดี จะ ฯลฯ อะไรดี คิดแล้วคิดอีก คิดจนไม่รู้จะเสียเวลาคิดไปทำไม … ผมก็รวบรวมความกล้า ทำสิ่งที่อยากจะทำมานานแล้ว ก็คือ … “หยิบโทรศัพท์ โทรหามีนเสียที” (แต่กว่าจะหมุนได้ ก็หมุนแล้ววาง หมุนแล้ววาง อยู่นั่นแหละ … เหมือนเดิม)

แต่ฟ้าที่กำลังจะเริ่มสดใสครั้งนี้ กลับมีเมฆดำตั้งเค้าอยู่ไกลๆ ที่ปลายฟ้า โดยที่ตอนนั้นไม่มีใครรู้เลย ….

(จบตอน)