RAW Converter นั้นสำคัญไฉน?

เหตุที่ผมมักจะแนะนำให้พวกบรรดามือใหม่ หรือบรรดาคนที่ถ่ายภาพแบบ “แค่ต้องการได้รูปสวยๆ เป็นที่ระลึก” ว่า “อย่าไปยุ่งกับ RAW ไฟล์ ให้ถ่ายแค่ JPEG” มีมากมายหลายประการ ซึ่งผมเคยเขียนถึงไว้ครั้งหนึ่งแล้วที่นี่ (RAW vs JPEG เมื่อ 21 มีนาคม 2010)

แต่สาเหตุหนึ่งซึ่งเป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้ ก็คือ “RAW มันเอาแน่เอานอนไม่ได้ (ขึ้นกับ RAW Converter)” ซึ่งอันนี้ผมยังไม่ได้เขียนถึงแต่อย่างใด

โดยเชิงเทคนิคแล้ว เราไม่สามารถมองเห็นภาพจากไฟล์ RAW ได้ตรงๆ เลย เพราะ RAW มันก็ตามชื่อครับ มันไม่ใช่ภาพ มันเป็น “ข้อมูลดิบๆ” จากเซนเซอร์ของกล้อง ที่ไม่ผ่านอะไรมาเลยทั้งสิ้น กล้องเก็บอะไรมาให้ได้แค่ไหน ยัดลงมาทั้งหมดแค่นั้น ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ภาพ แต่เป็นข้อมูลดิบๆ

ตรงนี้หลายคนจะงงล่ะ .. ว่าแล้วที่เราเห็นเวลาเอาภาพ RAW ลงเครื่องล่ะ มันคืออะไร?

อันที่จริงที่เราเห็นคือ JPEG ซึี่งถูกโปรแกรมอ่าน RAW แต่ละตัวแปลงขึ้นมาจากการอ่านและตีความข้อมูลดิบใน RAW ครับ ซึ่งตรงนี้แหละเป็นปัญหาล่ะ เพราะว่าโปรแกรมอ่าน RAW แต่ละตัวมันไม่เหมือนกันซะทีเดียวน่ะสิ เชื่อป่ะล่ะ

ไม่เชื่อลองดู 2 รูปต่อไปนี้นะครับ ทั้ง 2 รูปเป็น JPEG ที่ถูกสร้างจากไฟล์ RAW ไฟล์เดียวกัน (ไฟล์ NEF จาก D800) รูปแรกโหลดเข้า Lightroom 4 แล้ว Export เป็น JPEG เลย กับรูปหลังโหลดเข้า Capture NX 2 แล้ว Export เลยเช่นเดียวกัน ทั้งสองรูปสามารถ Click เพื่อดูรูปใหญ่ได้ทั้งคู่ครับ


D800_LR4_Export.jpg



D800_CNX2_Export.jpg

เห็นชัดพอสมควร ว่าต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสีสัน ที่ Capture NX 2 จะแม่นกว่าในการอ่านสีออกจาก RAW ของ Nikon (อันนี้เพราะว่าตอนที่ถ่าย ผมใช้ Standard Picture Control แต่มี +1 Saturation ไปในกล้องนิดหน่อย ดังนั้นจะเห็นว่า JPEG ที่แปลงจาก Capture NX 2 จะสีสันสดใสกว่านิดหน่อย เพราะมันอ่านตรงนี้ออกมาได้ด้วย) หรือรายละเอียดในที่แสงจ้าและในที่มืด (Highlight & Shadow)

ทีนี้ลองมาจัดการรูปกันต่อนิดหน่อย ซึ่งผมจะทำแค่ “ดึงข้อมูลในที่สว่างจ้า และที่มืด คืนมา เท่าที่จะทำได้” ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีอะไรมากกว่าการเลื่อน Slider ไปให้สุดเท่าที่มันจะมีให้เลื่อน ทั้งสองตัว


highlight_shawdow_sliders.png

ลองมาดูผลกันบ้าง ว่าเป็นยังไง เหมือนเดิมนะครับ รูปแรกคือ JPEG ที่ Export จาก LR4 และรูปหลังคือ JPEG ที่ Export จาก Capture NX 2


D800_LR4_DRP_Export.jpg



D800_CNX2_DRP_Export.jpg

จะเห็นได้ชัดขึ้นอีกว่า RAW Converter หรือโปรแกรมจัดการแปลง RAW แต่ละตัวนั้น ให้ผลไม่มีเหมือนกันตั้งแต่อ่าน RAW แล้วการนำมาใช้ต่อแล้ว ความสามารถในการประมวลผลข้อมูลต่างๆ ยังไม่เหมือนกันอีก คราวนี้ลองมา “ทรมาน RAW” กันเล่นนะครับ ด้วยการดันทุกอย่างแบบสุดโต่ง ว่าจะออกมาเป็นยังไง สิ่งที่ทำก็เหมือนๆ กัน คือ เร่งความต่างสี (Contrast) และความอิ่มสี (Saturation) ให้สุด พยายามดึงข้อมูลในที่มืด และตบเอาข้อมูลในที่สว่างให้ได้มากที่สุด และลดแสง (Exposure) ลงไป 1 Stop (พูดง่ายๆ คือให้แสงในภาพน้อยลงเท่าตัวหนึ่ง)


lr4_cnx2_sliders.png

ผลที่ได้ (รูปแรกจาก LR4 รูปที่สองจาก Capture NX 2 เช่นเดิม) ยิ่งต่างกันไปอีกมากมายมหาศาล


D800_LR4_EXT_Export.jpg



D800_CNX2_EXT_Export.jpg

จะเห็นว่า การเลือก RAW Converter ก็มีผลมากพอควรเลยทีเดียวกับผลลัพธ์ที่จะได้จากรูปดิบๆ ของเรา


ตรงนี้ผมอยากจะเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายๆ กันสักนิด ว่าไอ้เจ้า “RAW” นี่มันคืออะไรกันแน่

RAW ก็เหมือนกับ “ฟิล์มดิจิทัล … ที่ยังไม่ได้ล้าง ยังไม่ได้อัด” น่ะแหละครับ เมื่อก่อนเคยรู้สึกหรือเปล่าครับว่า เราเอาฟิล์มไปล้าง ไปอัดรูปแต่ละที่ สีสันของรูปที่ได้มันไม่เหมือนกันเลย เพราะอะไรล่ะ? ก็เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นใน “Dark Room” ซึ่งก็คือ “การล้าง” และ “การแต่งฟิล์ม” น่ะแหละครับ แต่ละที่ใช้น้ำยาไม่เหมือนกัน สิ่งที่กระทำโน่นนี่ไม่เหมือนกัน (ผมไม่ลงรายละเอียดนะ เกินไป) จนกระทั่งอัดรูปลงกระดาษมาให้เรา

ในขณะที่ JPEG ก็คือ “รูปที่อัดเสร็จแล้ว” ยังไงมันก็ไม่หน้าตาเปลี่ยนไปจากนั้น แต่ในกรณีของการถ่าย JPEG จากกล้อง เราจะเชื่อใจให้ “ร้านอัดรูปในกล้อง” หรือ Image Processing Engine ในกล้อง ทำหน้าที่แปลงข้อมูลดิบจากเซนเซอร์กล้องให้เราทันทีเมื่อถ่ายรูป ผลที่ได้ก็คือ รูปจะหน้าตาเหมือนเดิมไม่ว่าจะเปิดที่โปรแกรมไหน เปิดเครื่องใคร (เมื่อไม่มี “ความต่างของจอภาพแต่ละเครื่อง” นะ เพราะแน่นอนว่าคนละจอกัน มีการแสดงผลหรือค่าของสีต่างๆ ไม่เท่ากัน ตามอะไรต่ออะไรหลายอย่าง ภาพที่เห็นมันก็ต่างกันเป็นธรรมดา … มันก็มีเหตุผลของมันว่าทำไมจอบางจอมันแพงกว่าจออื่น)

ดังนั้น การถ่าย RAW ก็คือ เราต้องมา “ล้างรูปเอง” และ “อัดรูปเอง” ถึงจะได้ประโยชน์สูงสุด ถ้ามี RAW แต่เปิดมาแล้ว Convert เป็น JPEG เลยก็ต้องบอกว่าพลาดการได้รูปสวยๆ ไปอีกเยอะมาก แต่ถ้าคิดว่าจะไม่ทำแบบนั้น (คือถ่ายมาแล้วถ่ายเลย จะไม่มานั่งบรรจงทำอะไรทีละรูป) ก็ถ่าย JPEG เถอะ เพราะอย่างน้อยๆ การให้ Image Processing Engine ในกล้อง จัดการล้างรูปให้เรา ก็จะได้ “รูปที่เหมือนกับหลังกล้อง” ไม่ขึ้นกับความดีหรือความห่วยแตกของ RAW Converter ในเครื่องคอมพิวเตอร์เรา

ทั้งนี้ กล้องแต่ละตัว มี Image Processing Engine ที่เก่งไม่เท่ากันนะ กล้องหลายตัวของ Nikon นี่ผมไว้ใจ Image Processing Engine มันมากๆ จนแทบจะไม่ถ่าย RAW เลยนอกจากเจอที่แสงยากจริงๆ หรือที่ๆ อยากจะเก็บ “ฟิล์ม” ไว้ล้างเองจริงๆ ไม่ก็สำหรับงานสำคัญๆ ที่มันมีครั้งเดียวหรือถ่ายใหม่ไม่ได้แล้วจริงๆ เท่านั้น … แต่ในกรณี Panasonic หรือ Leica M8 นี่ถ่าย RAW ตลอด เพราะรับ JPEG จากกล้องมันไม่ได้เลย

ป.ล. แถมท้าย … ให้ดูว่า RAW มันทำอะไรได้บ้าง ในกรณีที่ “แสงยาก” และ “เป็นงานสำคัญ” … เป็นรูปจากงานแต่งงานผมเอง โดยฝีมือน้องชายและลูกศิษย์สุดที่รักคนหนึ่ง ถ่าย RAW จาก Nikon D3s และใช้ Capture NX 2 ในการล้างฟิล์ม


d3sraw.png