สองวันกับ Nikon V1

เพิ่งได้ของเล่นใหม่มาปลอบใจตัวเองหลังน้ำลด เพราะว่า Fujifilm X100 ที่เคยเขียนรีวิวไว้ที่นี่ เกิดเปียกน้ำ จากการที่วางไว้บนพื้นรถ และน้ำเข้ารถตอนหนีน้ำ แล้วก็ยังไม่ได้ส่งซ่อม GF1 ก็โดนขโมยไปเรียบร้อย แต่คิดว่าต้องมีกล้องตัวเล็กๆ คุณภาพดีหน่อยไว้พาไปไหนมาไหนง่ายๆ ….. ก็หาเรื่องเสียเงินเล่นอีก ว่างั้นเถอะ … และคราวนี้ก็มาถึงคราวของ Nikon V1 น้องใหม่ของค่าย Nikon ที่ผมใช้ D-SLR อยู่

ตอนท้ายรีวิวของ X100 ผมเขียนทิ้งท้ายไว้ว่า

ลึกๆ แล้ว ผมก็ยังหวังว่าจะได้เห็น Nikon SP กลับมาเกิดใหม่เป็นกล้องคอมแพคเซนเซอร์ใหญ่ แบบ X100 สักวัน

ฝันนี้จะเป็นจริงหรือไม่ ลองดูกันเลยครับ

หมายเหตุเกี่ยวกับรูป: ทุกรูปที่เห็นในนี้ เป็น Out-Of-Camera JPEG (นอกจากรูปที่ผมลองดึงเพื่อลอง Dynamic Range) ใช้โหมด Standard บ้าง Vivid บ้าง และเพิ่ม Sharpen ในกล้อง เพราะค่า Default มันต่ำไป ใช้ Auto White Balance ทุกรูป โดยมีปรับไปทางสีเย็นบ้างเป็นบางรูป (ปรับในกล้อง) และตั้ง Auto ISO ไว้ ถ่ายโหมด A, S, P แล้วแต่กรณี ทุกรูปย่อโดย Lightroom ซึ่งจะติด Sharpen เพิ่มมาอีกนิด … รูปทั้งหมดสามารถดูรูปใหญ่ได้ที่ Flickr ซึ่งผมลงไว้ที่ Photoset นี้ [Review] 2 Days with Nikon V1 ซึ่งตอนนี้มีรูปเท่ากับที่ลงในบทความนี้ แต่อาจจะเพิ่มในอนาคต (ซึ่งจะลงใน Flickr แต่ไม่เอามาลงเพิ่มในบทความนี้แล้ว)


DSC_0032.jpg

เจ้าไอโฟน (V1, 10-30, 19.6mm, 1/30s, f/5.6, ISO 450)

Nikon V1 (และ J1 ด้วย) เป็นกล้องที่ผมเชื่อว่า “คนเล่นกล้อง” หลายคนดู spec แล้วส่ายหัว เบือนหน้า เพราะว่ามันเป็นกล้องที่ “ขนาดเซนเซอร์ใหญ่ไม่จริง” คือ เล็กกว่า Micro 4/3 เสียอีก เรียกได้ว่าขนาดของเซนเซอร์ของ Nikon 1 ทั้งสองตัว จะอยู่ตรงกลางระหว่าง M4/3 และเซนเซอร์กล้องคอมแพคขนาดใหญ่ (พวก LX5, P7000 อะไรพวกนี้) พอดีเป๊ะ

แล้วถ้าเซนเซอร์มันเล็ก แล้วมันมีข้อเสียอะไรล่ะ? ที่เห็นง่ายๆ ก็ 2 ข้อเต็มๆ ครับ คือ

  • การถ่ายภาพในที่แสงน้อย ซึ่งเรื่องนี้ผมเคยทำ Pencast ไปแล้วครั้งหนึี่ง ลองย้อนดูได้ที่ Pencast: Digital Camera Image Sensor 101 …. แต่เรื่องการใช้งานในที่แสงน้อยนี่ผมไว้ใจ Nikon นะ เพราะผมเคยตาค้างมาแล้วกับ D3s แล้วก็จะว่าไป P7000 ก็ไม่ได้น่าเกลียดเลย
  • เรื่อง Shallow-Depth-of-Field (DoF) หรือการถ่ายชัดตื้น ซึ่งเป็นข้อจำกัดเชิงฟิสิกส์แบบเดียวกัน ที่ว่ายิ่งเซนเซอร์เล็ก ก็ยิ่งถ่ายชัดตื้นยาก (เหตุผลอยู่นอกเหนือขอบเขตของรีวิวนี้ ถ้าสนใจวันหลังจะทำ Pencast ไม่ก็เขียนบทความให้อีกครั้ง วันนี้ขอบายก่อน)

แค่นี้ หลายคนก็ยี้แล้ว โดยไม่ต้องสนใจการใช้งานจริงแต่อย่างใด … แต่เมื่อผมลองใช้งานจริงแล้ว ผมคิดยังไงกับมันล่ะ?


DSC_0110.jpg

แมวมอง (V1, 30-110, 110mm, 1/30s, f/5.6, ISO 2800 — ยังพอดูได้)

รูปร่างและขนาด

ถึง V1 จะเป็นกล้องเซนเซอร์เล็ก แต่รูปร่าง ขนาด น้ำหนัก มันไม่ได้เล็กกว่าพวกตระกูลคอมแพคเปลี่ยนเลนส์ได้ทั้งหลายเลยนะ ยิ่งเทียบกับพวกตัวหลังๆ ที่พยายามทำให้ตัวกล้องมันเล็กๆ เช่นพวก NEX หรือ GF3 แล้วมันใหญ่กว่าด้วยซ้ำ ซึ่งทำให้เมื่อดูบนกระดาษแล้ว ต้องบอกว่ามันน่าสนใจน้อยกว่าตัวอื่น แต่ว่าเมื่อลองใช้จริงๆ แล้ว ต้องบอกว่า “ผมชอบมันว่ะ” เพราะ

  • ขนาดและน้ำหนักมันกำลังเหมาะกับมือพอดี ถ้าเล็กกว่านี้หรือบางกว่านี้ ผมคงจะถือมันลำบาก
  • “เลนส์” … เนื่องจากมันเป็นคอมแพคเปลี่ยนเลนส์ได้ ดังนั้นมีแต่บอดี้เปล่าๆ คงไม่มีประโยชน์เท่าไหร่แน่ แต่เมื่อใส่กับเลนส์แล้วมันจะบาลานซ์กันได้ดีแค่ไหน (ลองนึกถึง NEX กับเลนส์ 18-55 Kit ซึ่งผมลองจับดูแล้วรู้สึกว่ามันอยู่บนปากเหวของคำว่าบาลานซ์แล้ว ถ้าเป็นเลนส์ระยะไกลกว่านั้นคงรู้สึกมากกว่านั้นแน่ๆ หรือว่าจะลองนึกภาพ E-P, GF ใส่กับ Panasonic 45-200 ก็ได้ จะเห็นว่ามันไม่บาลานซ์เอาซะเลย นั่นแหละ ผมถึงแทบไม่เคยใช้ GF1 กับ 45-200 เลย)

ที่เคยมีการสัมภาษณ์ใครสักคน (ผมจำไม่ได้ ขออภัย) ว่า Nikon คิดเรื่องพวกนี้ “ทั้งระบบ” ไม่ใช่แค่เรื่องของเซนเซอร์ หรือขนาดตัวกล้อง เท่านั้น ท่าจะจริงแฮะ (แต่ว่าพอลองดูเลนส์ครอบจักรวาลอย่าง 10-110 แล้ว … เออ ตัวใหญ่อลังการเหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะหลุดบาลานซ์ขนาดไหน)


DSC_0086.jpg
วาล์วน้ำหลังตึก (V1, 30-110, 74.3mm, 1/60s, f/5.0, ISO 200)

เลนส์

ไหนๆ ก็พูดถึงเรื่องเลนส์แล้ว ก็ขอเขียนถึงเรื่องนี้หน่อยก็แล้วกัน

V1 ชุดที่ผมได้มา เป็นชุด Dual Lens ซึ่งจะมีเลนส์ 2 ตัว คือ 10-30mm, f/3.5-5.6 (ระยะประมาณ 27-80mm) และ 30-110mm, f/3.8-5.6 (ประมาณ 80-300) ซึ่งครอบคลุมการใช้งานประมาณ 90% ที่ผมใช้ จะติดหน่อยก็ตรงที่หลายครั้งยังรู้สึกว่าเทียบเท่า 27mm มันแคบไปหน่อย (ตามประสาคนติด 24-70 และมี 14-24) ทำให้รู้สึกอยากได้อะไรที่มันกว้างกว่านี้ไว้สักตัวเหมือนกัน เช่น 6-13mm (ประมาณ 16-35) แต่คงจะตามมาทีหลัง เพราะว่าตอน M4/3 ออกใหม่ๆ ก็มีแต่ Prime, Normal Zoom กับ Tele เหมือนกัน แล้วก็มี 7-14 เป็น Ultra-Wide Zoom ออกมาทีหลัง


DSC_0670.jpg

สถานีสุดท้าย …​ ก่อนการเดินทางนิจนิรันดร์ (V1, 10-30, 10mm, 1/320s, f/7.1, ISO 100)

ทั้งสองตัวก็ทำงานได้ค่อนข้างดีนะ ผมยังไม่ได้ลองเอาภาพมาส่อง 100% ดูกลางภาพ ดูขอบ ดูอะไรเท่าไหร่ (ซึ่งปกติก็ไม่ค่อยได้ทำอยู่แล้ว) เอาเป็นว่าทั้งสองตัวนี้ใช้งานได้กำลังสบาย ขนาดและน้ำหนักกำลังดี ทำงานไวและเงียบ ก็คงจะพอแล้วมั้ง


DSC_0104.jpg

กองใบไม้ร่วงบนพื้น (V1, 30-110, 110mm, 1/250s, f/6.3, ISO 280)

สิ่งที่ผมรู้สึก “ชอบมาก” กับเลนส์ของ Nikon 1 ก็คือ “Telephoto Zoom ระยะ 80-300 ที่ตัวเล็กมาก” เวลาใส่กับกล้องแล้วไม่รู้สึกว่ามันไม่เข้ากัน หรือหน้าทิ่มแต่อย่างใด และทำให้เวลาเอาไปถ่ายคน มันดูเป็นมิตรมากขึ้นเยอะด้วย (ไม่รู้สึกเหมือนกำลังโดน “ซูม” ถ่าย) แบบนี้เวลาใช้งานคงมีความสุขขึ้นเป็นกองเลย

เรื่องเลนส์มีอีก 3 อย่างที่ไม่พูดถึงไม่ได้ ก็คือ การออกแบบ การ Focus และ Hood

เรื่องการออกแบบก่อน การออกแบบเลนส์ทั้งสองตัวนี้จะต่างจากเลนส์ตัวอื่นๆ ของระบบ D-SLR ของ Nikon ที่เมื่อเมาท์เข้ากับกล้องแล้วใช้งานได้เลย สำหรับเลนส์ของ Nikon 1 ทั้งสองตัวนี้ก่อนจะใช้งานจะต้องทำการ “เปิดเลนส์” เสียก่อน ซึ่งก็คือการเลื่อนออกจากตำแหน่ง Lock เลนส์ ซึ่งเมื่อเลนส์อยู่ในตำแหน่ง Lock จะทำให้เลนส์มีขนาดเล็กลงอีกนิดหน่อย (อารมณ์ Collapsible Design น่ะแหละ) และเมื่อเลื่อนเปิดเลนส์แล้ว ถ้ากล้องปิดอยู่ก็จะทำการเปิดกล้องให้อย่างอัตโนมัติด้วย ซึ่งไปๆ มาๆ ผมก็คุ้นเคยกับการเปิดกล้องจากเลนส์มากกว่าจากปุ่มเปิด/ปิดบนตัวกล้องเสียอีก และการเปิดเลนส์นี้ก็สามารถทำได้อย่างรวดเร็วพอสมควร


DSC_0499.jpg

แอบมอง (V1, 30-110, 74.3mm, 1/100s, f/5.6, ISO 200)

เรื่องการโฟกัส ก็ต้องยอมรับว่า “ไวและเงียบ” ทั้งสองตัว (ผมยังไม่ได้ลอง 10-110 และ 10/2.8) แต่มาตายเอาตรง Manual Focus เนี่ยแหละ คือ มันมีบางจังหวะที่ผมอยากจะปรับโฟกัสเองแบบด่วนๆ แต่ว่าเลนส์นี้มันดันไม่มีวงแหวนปรับโฟกัสบนตัวเลนส์เลยน่ะสิ ต้องปรับผ่านกล้อง (กดปุ่ม หมุนวงแหวนด้านหลัง ทำนองนั้น) ก็เลยรู้สึกว่า “อย่าดีกว่า ช่างมัน” หัดเรียนรู้นิสัย Auto-Focus ของมันให้ชินๆ จะดีกว่า


DSC_0106.jpg
ล้มในอ้อมกอด (V1, 30-110, 51.2mm, 1/125s, f/5.0, ISO 200)

สุดท้ายก็เรื่อง Hood ซึ่งจริงๆ ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเลนส์โดยตรงหรอก … แต่ในกล่อง V1 มันมีมาให้แต่ HB-N103 สำหรับ 30-110 แต่ไม่ยักกะมี HB-N101 สำหรับ 10-30 มาให้ด้วย ตอนแรกผมคิดว่าผมเผลอทำตกหรือเอาไปวางไว้ไหน โทรไปถามที่ร้านก็ได้คำตอบว่า ไม่มีให้ (เหมือนกันทุกกล่อง) …. อันนี้พูดไม่ออก เพราะว่า Lens Hood นี่สำคัญมากเลยถ่ายรูปย้อนแสง มันช่วยเรื่อง Contrast เรื่องอะไรพวกนี้เยอะเลย ตอนนี้ก็เลยต้องยกมือป้องแสงเอา ลำบากเปล่าๆ ก็คงต้องรอใครเอาเข้ามาขาย ไม่งั้นก็ต้องสั่งจาก e-Bay อีกแล้ว

สุดท้าย … บ่นนิดหน่อย ที่ไม่มี Fast Prime (2.8 กับ Prime นี่ผมถือว่า “ไม่ Fast” แล้วนะ) สำหรับระยะ Normal หรือ Wide-Normal เลย 10mm เทียบเท่า 28mm นี่ ผมว่าใช้ยากไปหน่อย … ได้อิทธิพลมาจาก NEX มากไปหรือเปล่าไม่รู้ .. ถ้ามีประมาณ 18/1.8 (เทียบเท่า 50mm) จะน่าสนใจมาก แถมเลขด้วยซะด้วยนะ


DSC_0144.jpg
Lonely Chair (V1, 30-110, 110mm, 1/250s, f/6.3, ISO 180)

ก็คงต้องรอ Adapter ที่จะทำให้พวกเลนส์ AF-S จาก D-SLR มันใช้ได้นะ คิดๆ ดู 50/1.8 ก็ตัวไม่ใหญ่เท่าไหร่ เอามาใส่นี่ได้ระยะ 135 เลยทีเดียว (แถมได้ DoF เทียบเท่ากับ 135mm เปิดที่ประมาณ f/4.8 ซึ่งก็แคบพอดู ไม่น่าเกลียดเท่าไหร่เลย)

การใช้งาน

เท่าที่ลองใช้งานดู เห็นได้ชัดเจนว่า V1 ไม่ได้ถูกสร้างมาสำหรับพวกนักเล่นกล้อง ที่ชอบควบคุม ชอบเล่น DoF ชอบปรับค่าโน่นนี่ อะไรพวกนี้เลย แต่มันถูกสร้างมาสำหรับคนที่ต้องการยกกล้องขึ้นมาถ่าย ถ่าย ถ่าย แล้วก็ถ่าย ซะมากกว่า พูดง่ายๆ ว่าพวกชอบ D-SLR อาจจะหงุดหงิด จะปรับอะไรก็ต้องเข้าเมนู แต่ก็ยังดีนะที่เมนูมันไม่ซับซ้อนเท่าไหร่ ตรงไปตรงมา ง่ายพอควร ปรับไม่กี่ครั้งก็ชินแล้วว่าอะไรอยู่ตรงไหน ไม่ต้องอะไรมาก ขนาดการจะปรับ PASM ยังต้องเข้าเมนูเลย … แต่ว่าพวกที่เคยใช้คอมแพคตัวเล็กๆ (ที่ไม่ใช่พวก Advanced) มาก่อนจะรู้สึกเฉยๆ


DSC_0156.jpg
ถ่ายรูปวาด (V1, 30-110, 89.9mm, 1/10s, f/5.6, ISO 3200 — ก็ยังพอรับได้)

ถ้าใครเคยใช้กล้องคอมแพคของ Nikon มาก่อน ก็คาดหวังได้ไม่ยากว่ามันจะมีอะไรให้ปรับได้บ้าง นอกจาก PASM แล้วก็มีพวก Picture Control, Auto ISO, Vibration Reduction, อะไรพวกนี้น่ะแหละ แต่ที่ผมผิดหวังมากที่สุดก็คือ การตั้ง Auto ISO นี่เราไม่สามารถกำหนด “ความไวชัตเตอร์ต่ำสุด” ได้เลย นั่นคือ กล้องมันจะเลือก ISO ให้เราเองตามใจมัน โดยที่เราไม่สามารถควบคุมอะไรเลย อันนี้เป็นผลเชิงลบอย่างมากสำหรับผม เพราะว่าโดยปกติแล้วผมจะชอบตั้งความไวชัตเตอร์ต่ำสุดไว้เหมาะกับประเภทภาพที่จะถ่าย เช่น ถ้ารู้ว่าจะไปที่ๆ ต้องถ่ายคนเยอะหน่อย ก็จะตั้งความไวไว้สูงหน่อย (อย่างน้อย 1/125s) ถ้าลดลงต่ำกว่านี้เมื่อไหร่ เตะ ISO ขึ้นได้เลย ยอม ..​ แต่ว่าตัวนี้นี่ ไม่มีการตั้งพวกนี้เด็ดขาด ก็เลยต้องเลี่ยงไปใช้โหมด Shutter-Priority แทนอย่างเลี่ยงไม่ได้ (ปกติผมจะใช้โหมด Aperture-Priority และตั้ง Auto-ISO พร้อมกำหนด Shutter-Speed ต่ำสุดเอาไว้)


DSC_0120.jpg
สงบ (V1, 30-110, 71.6mm, 1/15s, f/5.6, ISO 800)

อ่อ แล้วก็ทุก Option จะแทบไม่มีปรับละเอียดนะ เช่น Active D-Lighting จะมีแค่ On/Off ไม่มีรายละเอียดแต่อย่างใด

ที่ผม “ไม่ชอบเลย” กับการใช้งาน V1 ก็คือ ปุ่มเลือกรูปแบบการถ่าย (ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ฯลฯ) มันอยู่ใกล้ตำแหน่งวางนิ้วมือ และแม่เจ้าประคุณก็เปลี่ยนง่ายซะเหลือเกิน ไปแตะๆ หน่อยก็เปลี่ยนซะแล้ว ยกกล้องขึ้นมากดชัตเตอร์ คิดว่าจะถ่ายภาพนิ่ง กลายเป็นภาพเคลื่อนไหวซะงั้น ใครออกแบบตรงนี้สมควรโดนด่าจริงๆ …. แล้ว Dial ก็มีไม่เต็มวง แบบนี้จะช่วยเอา PASM มาใส่ไว้ตรงนี้หน่อยก็ไม่ได้ (เหมือนพวก D-SLR ที่ยังมี PASM อยู่ปนกับ Scene-Mode เลย)


DSC_0486.jpg
นางรำ (V1, 30-110, 110mm, 1/500s, f/6.3, ISO 100)

สรุปว่า ถึงมันจะตั้งค่านี่นั่นโน่นได้บ้าง แต่อย่างคิดและคาดหวังว่าจะตั้งโน่นตั้งนี่ได้ง่ายและปรับโน่นนี่ได้บ่อยๆ เหมือนกับ D-SLR (ยิ่งผมใช้ D3s ด้วย ยิ่งไปกันใหญ่ ตัวนี้แต่งได้ยิ่งกว่าได้ซะอีก) ลองคิดว่ามันให้เราปรับๆ เป็นค่าตั้งต้นไว้ แล้วก็ลืมๆ มันไปซะว่าปรับได้ แล้วก็ถ่ายอย่างเดียวจะดีกว่า แบบนั้นมีความสุขกว่าเยอะ ถ้าไปถ่ายรูปแต่มัวแต่ปรับกล้อง หลายคนอาจจะไม่มีความสุขเท่าไหร่ (สำหรับผมก็แล้วแต่อารมณ์)

แต่ Auto Focus มันไวจริงๆ นะ ;-) แล้วก็ถ้าเลือกใช้ Electronic Shutter ล่ะก็ เงียบเป็นเป่าสาก ไม่มีเสียงใดๆ ทั้งสิ้น และเนื่องจากเลนส์ Tele ระยะไกล (เทียบเท่า 80-300) มันตัวเล็กมาก มาก มาก ดังนั้นมันเป็นกล้อง Sniper ชั้นดีชัดๆ .. โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าใช้ J1 ที่สีสันเป็นมิตร ไม่เป็นภัยนะ ยิ่งดูโอเคเข้าไปอีก


DSC_0380.jpg
เณรกระซิบ (V1, 30-110, 110mm, 1/200s, f/7.1, ISO 100)

ภาพที่ได้

หลายคนคงสนใจตรงนี้ที่สุด (หลายคนเลิกสนใจตั้งแต่ spec แล้ว)


DSC_0236.jpg
หลับปุ๋ย (V1, 30-110, 53.1mm, 1/15s, f/5.0, ISO 900)

จากข้อจำกัดของเซนเซอร์อย่างที่รู้กันดี ทำให้ผมบอกได้ว่า ถ้าเราคาดหวังคุณภาพระดับ D-SLR ละก็ ผิดหวังแน่นอน ก็แหงล่ะ ขนาดเซนเซอร์มันใกล้เคียงกับคอมแพคมากกว่า D-SLR นี่นา แต่มันทำได้ขนาดไหนล่ะ?

จากการใช้งานจริงๆ ผมพบว่ามันทำได้ดีกว่าที่ผมคาดไว้ … โดยความคาดหวังของผมคือ “P7000 ที่ถ่าย ISO สูงดีกว่า P7000 อยู่ 1 Stop และมี DoF ที่ตื้นกว่า P7000 ที่ความยาวโฟกัสเทียบเท่ากันในระบบ 35mm อยู่ 1 Stop เช่นเดียวกัน” พูดง่ายๆ ว่า P7000 ใช้ ISO 1000 ได้ผลเป็นไง หมอนี่ต้องใช้ ISO 2000 ได้ผลประมาณนั้น และ P7000 ที่ทางยาวโฟกัสเทียบเท่า 140mm เปิด f/5.6 ได้ผลยังไง หมอนี่ที่เทียบเท่า 140mm เปิด f/8 ต้องได้ผลประมาณนั้น


DSC_0454.jpg
เล่นลม (V1, 30-110, 110mm, 1/1250s, f/8, ISO 100)

เริ่มจากเรื่อง ISO สูงกันก่อน โดยหลังจากถ่ายรูปใช้ Auto ISO โดยใช้เพดานบนสำหรับ ISO คือ 3200 ผมพบว่าผมรับ ISO สูงของกล้องตัวนี้ได้สบาย ถ้าจะเอาแค่โพสท์ภาพลงเว็บ หรือว่าใช้ภาพทั่วๆ ไป ไม่ได้พิมพ์อะไรใหญ่มาก ไม่ได้โพสท์ Crop 100% ลงเว็บ ผมว่ามันใช้งานได้สบายๆ ถึง ISO 3200 นะ ปกติภาพลงเว็บก็ไม่ค่อยจะเกินกรอบขนาด 800×800 กันอยู่แล้ว แต่แน่นอนว่าเมื่อดูที่ 100% ก็จะเห็น Noise มาเพียบ และรายละเอียดหายไปบ้าง แต่สำหรับการใช้งานของผมกับกล้องตัวนี้ ก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว และผมเชื่อว่ากลุ่มเป้าหมายของกล้องตัวนี้ก็คงไม่มีปัญหาเช่นกัน


DSC_0248.jpg
เงาสะท้อนในกระจก (V1, 30-110, 110mm, 1/125s, f/5.6, ISO 500)

ถัดมาก็เป็นเรื่องสีสันของภาพ …. และนี่คงจะเป็นคำตอบสำหรับสิ่งที่ผมค้นหามานานเสียที เพราะว่ามัน “น่าจะ” ให้สีได้ “Nikon” อย่างที่ผมคุ้นเคยมากพอสมควร แต่ว่าจะเป็นแบบนั้นจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะผมยังมีความรู้สึกนิดๆ ว่ามันต่างจากภาพจาก D3s ที่ผมคุ้นเคยอยู่หน่อย อาจจะเพราะว่า Auto White Balance มันให้ผลต่างกันก็เป็นได้ อันนี้เป็นความรู้สึกล้วนๆ เพราะว่ายังไม่ได้ลองเอา D3s มาถ่ายภาพเดียวกันเทียบดู แต่สำหรับ Auto White Balance นี่เราสามารถปรับแต่งค่าของมันใน 2 แกน (Temp และ Tint) ได้ไม่ยาก ก็ลองๆ ปรับเอาตามที่ชอบ เช่น ผมรู้สึกว่าภาพมัน “อุ่น” เกินไป ก็ไปปรับ Auto White Balance ให้มัน “เย็น” ลง 1 ช่อง เป็นต้น .. แต่สรุปว่า สีสวยครับ เขียวเป็นเขียว ฟ้าเป็นฟ้า ดูเป็นธรรมชาติ อาจจะติดอุ่นนิดๆ


DSC_0306.jpg
ประจันหน้า (V1, 30-110, 71.6mm, 1/125s, f/4.8, ISO 160)

ถัดมาก็เรื่อง “ชัดตื้น” ที่หลายคนฟันธงว่า “ไม่ได้” ตั้งแต่เห็น spec ของเซนเซอร์ (และเลนส์ที่ออกมา ไม่ใช่ Fast Tele-Prime) ทั้งที่จริงๆ แล้วการทำชัดตื้นขึ้นกับปัจจัยไม่กี่อย่าง คือ ระยะห่างสัมพัทธ์ระหว่างวัตถุ ฉากหลัง และตัวรับแสง ซึ่งพอเป็นเซนเซอร์ขนาดเล็ก ก็ต้องใช้เลนส์กว้าง และ Crop ตรงกลางมาใช้งาน (ที่เรียกว่า Crop factor ว่ากี่เท่าๆ น่ะแหละ กรณีของ APS-C คือ 1.5 M4/3 คือ 2 และ Nikon 1 คือ 2.7) ทีนี้พอเป็นเลนส์กว้าง จะให้ระยะห่างสัมพัทธ์มันได้มากพอที่จะทำชัดตื้น ก็ใช้วิธีง่ายๆ คือ อยู่ใกล้วัตถุที่จะถ่ายให้มากที่สุด จ่อได้ยิ่งดี ใช้รูรับแสงกว้างที่สุด และเลือกฉากหลังที่อยู่ไกลที่สุด และถ้าเป็นเลนส์ทางยาวโฟกัสยาว จะช่วยได้มากขึ้น

จะเห็นว่า ถ้าเรารู้ว่าเราทำอะไรอยู่ ก็เล่นชัดตื้นได้ไม่ยากไม่เย็นอะไรเท่าไหร่


DSC_0730.jpg
ผลิใบ (V1, 30-110, 110mm, 1/400s, f/5.6, ISO 100)

แต่พอมาถ่ายคน ก็ยากขึ้นไปอีกนิด ที่จะให้หลังมันละลายหายไปเลย เพราะข้อจำกัดทางฟิสิกส์ทั้งหมดที่มีน่ะแหละ


DSC_0360.jpg
คุณพ่อ (V1, 30-110, 110mm, 1/200s, f/6.3, ISO 400)

จะเห็นว่าฉากหลังที่ไกลหน่อย เบลอจะไม่กวนใจกวนสายตาก็จริง แต่ตรงต้นไม้เนี่ยสิ “รก” มาก … และที่สำคัญ เจ้าเลนส์ 30-110 นี่ไม่ใช่เลนส์ที่ Bokeh สวยแต่อย่างใดเลย ลักษณะแย่ๆ ของ Bokeh เห็นชัดเจนมาก ไม่ว่าจะเป็นพวก Double-Line หรือพวกขอบหนานุ่มยัดไส้กรอก ดังนั้นยิ่งต้องเลือกฉากหลังดีๆ เพราะว่าถ้ามันไกลไม่พอแล้ว มันจะรกจนบางทีรู้สึกว่า “แล้วจะเบลอทำไมวะ ยิ่งเบลอยิ่งรำคาญ”

แต่เนื่องจากมันเป็นกล้องเซนเซอร์เล็ก ที่ทำ “ชัดตื้น” ยาก … ดังนั้นมันจึงทำ “ชัดลึก” ง่าย ซึ่งแน่นอนว่าหลายคนก็ต้องการแบบนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ผมคิดว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายของกล้องตระกูลนี้ ซึ่งก็คือ ผู้ทั่วไปที่อยากถ่ายรูปคนในครอบครัว งานปาร์ตี้ ใช้ถ่ายแบบ Snap เวลาไปเที่ยวเป็นที่ระลึก ฯลฯ


DSC_0513.jpg
เศร้ากันถ้วนหน้า (V1, 10-30, 16.3mm, 1/50s, f/5.6, ISO 400)

ผมเคยถ่ายรูปเวลาไปเที่ยวให้กับคนในกลุ่มเป้าหมายที่ว่านี้ด้วย D3s แล้วฉากหลังมันเบลอนิดหน่อย ด้วยธรรมชาติของกล้อง Full-Frame ถึงจะเปิดถึง f/8 ก็ยังมีปัญหา … คนในภาพบอกผมว่า “ภาพเสีย เพราะมันมีส่วนเบลอ” นี่แหละคือ “กลุ่มเป้าหมาย” ก็ลองคิดดูขำๆ เล่นๆ ว่ารูปที่ต้องการชัดทั้งรูปแบบข้างบนนี้ ถ้าใช้ Full-Frame ถ่าย จะต้องเปิดรูรับแสงเท่าไหร่


DSC_0638.jpg
ดอกไม้ช่อสุดท้าย (V1, 10-30, 30mm, 1/125s, f/5.6, ISO 110)

เรื่อง Dynamic Range เป็นอะไรที่ผมยังไม่ได้ลองแบบจริงจัง ว่ากล้องตัวนี้เก็บรายละเอียดในเงาและในจุดจ้าได้ดีแค่ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีถ่าย JPEG (คนอ่าน blog นี้จะทราบว่าผมถ่าย JPEG เป็นหลัก และถ่าย RAW เมื่อจำเป็นจริงๆ คือต้องตั้งใจจะเก็บ RAW เพราะจะเอาไปทำอะไรบางอย่างจริงๆ เท่านั้น) แต่เท่าที่ลองเล่นๆ ดู ก็พบว่ายังดึงโน่นตบนี่ได้บ้าง อาจจะไม่ได้ดีขนาดกล้องอีกหลายตัว ซึ่งก็แน่นอนตามธรรมชาติของเซนเซอร์ ลองดูตัวอย่าง 2 รูปต่อไป


DSC_0398-before.jpg
JPEG จากกล้อง (V1, 10-30, 30mm, 1/320s, f/5.6, ISO 100)

ลองทำรูปนี้ง่ายๆ ด้วยการดึง Shadow ตบ Highlight และปรับโน่นนี่นั่นนิดหน่อยแบบลวกๆ ใน Lightroom 3 ก็จะเห็นว่าหลายอย่างยังอยู่


DSC_0398-after.jpg
ลองปรับ Highlight, Shadow ง่ายๆ ใน LR3

ส่งท้าย

สรุปง่ายๆ เรื่องรูปและการใช้งาน ว่าให้คิดว่ามันเป็น “กล้องเซนเซอร์เล็ก ที่เซนเซอร์ใหญ่กว่าปกติ และเปลี่ยนเลนส์ได้” ดีกว่าจะมองว่ามันเป็น “กล้องเซนเซอร์ใหญ่ ที่ขนาดเล็ก และเปลี่ยนเลนส์ได้” อย่างที่หลายคนได้เคยมองมัน คือให้คิดว่ามันเป็น P7000 ที่เซนเซอร์ใหญ่กว่า P7000 และประสิทธิภาพการทำงานน้องๆ D-SLR ดีกว่าจะคิดว่ามันเป็น D-SLR ขนาดย่อส่วน


DSC_0726.jpg
ใบไม้ในสวน (V1, 30-110, 110mm, 1/250s, f/5.6, ISO 200)

เป็นรีวิวที่ตอนแรกตั้งใจจะเขียนสั้นๆ แต่ไปๆ มาๆ ก็เขียนยาวอีกจนได้ และเป็นรีวิวที่มาจากการใช้งานจริงจังวันเดียว (และใช้เล่นๆ ถ่ายในบ้านอีกวัน) ดังนั้นหลายอย่างก็ยังไม่ได้ลอง เช่นพวก Motion ทั้งหลายทั้งแหล่ (จริงๆ อยากลองเล่นมากเลย) ก็เลยขาดเรื่องพวกนี้ไป .. ถามว่าผมพอใจกับมันมั้ย ก็ถ้าเรายอมรับมันในอย่างที่มันเป็น ที่ผมเขียนเมื่อกี้นี้ มากกว่าไปยัดเยียดให้มันเป็นในสิ่งที่มันไม่ได้เป็น จะดีที่สุด เราก็จะมีความสุขกับมันอย่างที่มันเป็น และเราจะเห็นตัวเราสะท้อนในสิ่งที่มันเป็นมากขึ้น


DSC_0679.jpg
แม้ร่างตน เขาก็เอา ไปเผาไฟ (V1, 30-110, 30mm, 1/1600s, f/4.0, ISO 100)

ไว้ F-Mount Adapter ออกมาเมื่อไหร่ ผมคงจะกลับมาเขียนถึงตัวนี้อีกครั้ง ว่าเป็นอย่างไรบ้าง สำหรับตอนนี้คงต้องจบแค่นี้ก่อนครับ


DSC_0656.jpg
ลาก่อนครับ คุณยาย (V1, 10-30, 15.7mm, 1/500s, f/5.6, ISO 100)