รีวิว: Nikon 1 – 18.5mm f/1.8

ผมถือว่า

ไม่มีระบบกล้อง-เลนส์ไหนจะสมบูรณ์ หากปราศจาก “​Normal Prime ไวแสง”

ดังนั้นผมเลยขอเปิดซีรี่ส์บทความ “Nikon 1 – The 3 Lenses After” ด้วยเลนส์ตัวแรกที่ออกมา ก็คือ Nikkor 18.5mm f/1.8 ซึ่งเมื่อใส่กับ Nikon 1 ที่มี CX Sensor (Crop factor = 2.7) แล้วจะได้ Field of View เทียบเท่ากับเลนส์ 50mm ทำให้ถือได้ว่า “นี่คือเลนส์ Normal Prime ไวแสง” ตัวแรกของระบบ Nikon 1


DSCF4802.jpg

Nikon 1 – Nikkor 18.5mm f/1.8 บนโต๊ะเปื้อนฝุ่น


Disclaimer เกี่ยวกับรูปถ่าย: ทุกรูปที่ลงในบทความนี้ ไม่มีรูปไหนที่ “จบหลังกล้อง” ทุกรูปถ่ายเป็น JPEG Normal จากกล้อง และทำต่อนิดหน่อยเท่าที่ไฟล์ JPEG Normal มันจะทำต่อได้ใน Lightroom เพื่อให้เห็นผลจากการใช้งานจริงในแบบ Real-World Usage ไม่ใช่เน้นแบบ Lab-Test รูปทั้งหมดสามารถดูรูปใหญ่ได้ที่ Flickr ซึ่งผมลงไว้ที่ Photoset นี้ [Review] Nikon 1 – 18.5mm f/1.8 ซึ่งตอนนี้มีรูปเท่ากับที่ลงในบทความนี้ แต่อาจจะเพิ่มในอนาคต (ซึ่งจะลงใน Flickr แต่ไม่เอามาลงเพิ่มในบทความนี้แล้ว)


ความรู้สึกแรกตั้งแต่เห็นเลนส์ตัวนี้ที่ร้านประจำ ก็คือ “ใหญ่ว่ะ” ซึ่งอันที่จริงแล้วก็ไม่ได้เกินความคาดคิดมากไปนัก เพราะเลนส์ไวแสงยังไงๆ มันก็ค่อนข้างใหญ่อยู่แล้วล่ะ ยิ่งไวแสงมากยิ่งใหญ่มากขึ้น … แต่ .. เอ จำได้ว่า Panasonic 20mm f/1.7 รุ่นแรกมันเหมือนจะเล็กกว่านี้นี่หว่า! โดยเฉพาะเมื่อเอามาใส่กับ Nikon V1 เห็นได้ชัดเลยว่ามันค่อนข้างจะใหญ่เมื่อเทียบกับตัวกล้อง ดังนั้นความหวังที่จะมีเลนส์ Normal ตัวเล็กๆ (อารมณ์ 50mm f/2 Summicron เทียบกับขนาดบอดี้ของ Leica M8/9) ก็จบไปเรื่องนึง


DSC_0047.jpg

เจ้าหมาน้อยทำหน้าแบบ “พ่อจาปายหนายยยอีกแย้ววว?”
สถานที่: บ้าน


ความรู้สึกต่อมา เมื่อทดลองจับแล้วก็ถือเลนส์ดูจริงๆ ก็รู้สึกว่า “เบาว่ะ” เพราะเลนส์มันเบามาก ก็มันหนักแค่ 70 กรัมเท่านั้นเอง เบากว่าเลนส์แพนเค้ก 10mm f/2.8 (77 กรัม) หรือเลนส์แพนคิท (Kit Pancake) 11-27.5mm (80 กรัม) ซะอีก! เบาจนให้ความรู้สึกว่ามันเป็นของเล่น แล้วก็รู้สึก “ก๊อกแก๊ง” มากๆ เมื่อเทียบกับเลนส์ตัวอื่น

ผิวของเลนส์เป็นพลาสติกเรียบ ค่อนข้างเงานิดๆ ต่างจากผิวของพวกเลนส์คิท (10-30, 30-110) ที่เป็นลายหินขัดมี Texture เล็กน้อยแบบเดียวกับผิวของ Nikon 1 พอสมควร ก็เลยรู้สึกแปลกๆ นิดหน่อยว่า “จะเอาไงแน่?”


DSC_8900.jpg

รอรับได้เลย ไม่เคยบิดพริ้ว! (แต่รถติดก็ช่างมัน)
สถานที่: หน้าห้างแพลทตินั่ม ประตูน้ำ

สเปคของเลนส์ไม่มีอะไรซับซ้อนมากนัก มีชิ้นเลนส์ 8 ชิ้นใน 6 กลุ่ม มีชิ้นเลนส์ Aspherical และมีใบรูรับแสง (Aperture blade) แบบ 7 กลีบโค้ง ซึ่งน่าจะให้ภาพในบริเวณ Out-of-Focus หรือที่เรียกว่า Bokeh ที่สวย (จริงเหร้อ … เห็นโฆษณาแบบนี้กันทั้งนั้น แล้วส่วนมากก็ห่วยๆ ทั้งนั้นแหละ มันมีอะไรมากกว่าเรื่องนี้น่ะ เอาเป็นว่ามันช่วยได้บ้างก็แล้วกัน — เดี๋ยวเรื่องนี้ไปดูกันอีกที) ซึ่งเจ้า Bokeh นี่แหละเป็นสิ่งหนึ่งที่คนซื้อเลนส์ไวแสงต้องการเลยทีเดียวล่ะ (นอกจากถ่ายที่มืดนะ) โดยเฉพาะบน Sensor ขนาดเล็กอย่าง CX Sensor แล้วยิ่งแทบไม่มีทางเลือกอื่น


DSC_8903.jpg

Evening Break
สถานที่: หน้าห้างแพลทตินั่ม ประตูน้ำ

เหลือบดูราคา บอกได้คำเดียวว่า “น่าเล่นมาก” (คือ ถูก) ซึ่งเป็นคำตอบที่ดีเลยว่าทำไมมันไม่มีอะไรพิเศษทั้งงานประกอบทั้งโครงสร้าง ทั้งฯลฯ ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะโดยปกติแล้วเลนส์ Normal Prime ไวแสงระดับ 50/1.8 ก็เป็นเลนส์ที่ถือว่าเป็น Low-Cost ในหลายๆ ระบบอยู่แล้ว ใครริอ่านทำ 50/1.8 ออกมาแพง นี่คงโดนประนาม ยกเว้น Leica นะที่ทำ 50mm f/2 Summicron APO ASPH ออกมาราคาอลังการมาก .. แต่เลนส์ตัวนั้นมันข้อยกเว้น

ยิ่งเป็น Nikon 1 แล้ว คนยิ่งคาดหวังว่ามันจะ “ถูก” เข้าไปอีก ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่แบบนั้นนะ เพราะ Nikon 1 ถูกวางราคาตั้งต้นไว้ค่อนข้างแพงเลยแหละ แล้วมันก็ขายไม่ค่อยออกจนกระทั่งลดราคาแบบโหดร้ายมากถึงขายออก

จัดไปเลยครับ แล้วไปเดินเล่นกันสักหน่อยดีกว่า


DSC_8907.jpg

Amari Watergate Hotel at Dusk
สถานที่: หน้าห้างแพลทตินั่ม ประตูน้ำ

สิ่งที่ผมสนใจก็คือว่า “มันจะทำให้ Nikon 1 น่าใช้ขึ้นบ้างไหม” และโจทย์หนึ่งที่สำคัญมากเลย ก็คือ “ที่แสงค่อนข้างน้อย” ซึ่งปกติแล้วผมจะพึ่งพา Nikon 1 ไม่ค่อยได้เลย ก็เลยจัดไปซะด้วยการพาไปเดินเล่นที่ประตูน้ำในเวลาเย็นๆ

รูรับแสงกว้างสุดที่ f/1.8 ทำให้ใช้งานในเวลาเย็นๆ ได้สะดวกขึ้นเยอะ เพราะมันกว้างกว่า f/3.5 ของเลนส์คิทที่มีอยู่มากมายถึง 2 stop เลยทีเดียว พูดง่ายๆ ที่เคยต้องใช้ ISO 1600 นี่เหลือแค่ ISO 400 เท่านั้น สบายล่ะ! ทีนี้จะได้ใช้ความไวชัตเตอร์สูงใน ISO ที่ต่ำลงซะที


DSC_8925.jpg

Evening Break
สถานที่: หน้าห้างแพลทตินั่ม ประตูน้ำ

ผลเป็นอย่างที่เห็น Nikkor 18.5mm f/1.8 เป็นเลนส์ที่ถ่าย Street สนุกทีเดียว ส่วนหนึ่งก็เพราะว่า Nikon V1 เป็นกล้องที่โฟกัสไวและแม่นอยู่แล้ว การเดินผ่านแล้ว Snap การยกกล้องขึ้น Snap แล้วได้ภาพโดยไม่ต้องคิดต้องเล็งอะไรเท่าไหร่ เป็นเรื่องค่อนข้างง่ายดายมาก โดยเฉพาะถ้าเป็นพวกที่คุ้นเคยกับระยะ 50mm ดีอยู่แล้วยิ่งสบาย ไม่ต้องปรับตัวมากมาย

แล้วยิ่งถ้าไม่ใช้ EVF ของกล้อง แต่ดูหลังกล้องเป็นหลัก นี่จะดูนักท่องเที่ยว ดูเป็นพวกถ่ายรูปขำๆ มาก แรงต่อต้านหรือความสนใจจากคนที่กำลังถูกถ่ายอยู่จะค่อนข้างน้อยมาก เมื่อเทียบกับการเอา DSLR หรือแม้แต่เอากล้อง Leica M ที่ต้องยกกล้องขึ้นมามอง View Finder ไปเดินถ่าย


DSC_8940.jpg

Checking the paper
สถานที่: หน้าห้างแพลทตินั่ม ประตูน้ำ

ส่วนหนึ่งก็คงเพราะว่ากล้องเดี๋ยวนี้ใช้มองจากจอหลังเป็นหลัก จะมีก็แต่ DSLR ที่ยังใช้ Eye-Finder เป็นหลักอยู่ Social-Psychology ง่ายๆ ที่ว่าใครยกกล้องขึ้นมองเป็นพวกถ่ายรูปจริงจังมากกว่าถ่ายเล่น ก็เลยเกิดขึ้น ดังนั้นไม่ว่าจะใช้กล้องอะไรหากยกมองล่ะก็ โอกาสโดนรู้สึกว่า “จะถ่ายไปทำไม” เกิดขึ้นสูงกว่าเดินมองหลังกล้อง กดไปเรื่อยๆ เยอะแยะ

เรื่อง Depth of Field ไม่ต้องห่วง เพราะเนื่องจากว่า CX Sensor มันเล็กแค่นิ้วเดียว (เท่ากับ Sony RX100 และเล็กกว่า Micro 4/3 อยู่เท่าตัว) ดังนั้นจึงมี Depth of Field ให้แบบเหลือๆ ขนาดเปิด f/1.8 ยังให้ Depth of Field เท่ากับเลนส์ 50mm แท้ๆ เปิด f/4.8 (อย่าลืมว่ายังไงๆ มันก็คือเลนส์ 18.5mm มันก็เลยยังมี DoF แบบเลนส์ 18.5mm)

คนที่ชอบพูดว่า “f/8 and be there” คงชอบ :-P

ไอ้เรื่องไว้ใจ Auto Focus แล้วมันไปโดนตรงไหนไม่รู้ หูชัดหน้าเบลอ เวลาถ่าย Live-Street ไม่เกิดขึ้นแน่นอน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มี “หลังเบลอ” ซะทีเดียว .. เบลอขนาดไหน ถ้าใครมีกล้อง Full-Frame ก็ลองเอาเลนส์ 50mm มาเปิดประมาณ f/5 แล้วถ่ายดูครับ ได้ประมาณนั้นแหละ

แต่กรณีถ่าย Live Street ทั่วไปแบบนี้ Bokeh จะยุ่งๆ นิดๆ ไม่ค่อยจะสวยเนียนสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไรเลยนะ เอาเป็นว่าหา Bokeh น่าเกลียดกว่านี้ในราคาแพงกว่านี้ไม่ใช่เรื่องยาก แต่หา Bokeh สวยกว่านี้ในราคาประมาณนี้หรือน้อยกว่านี้ไม่ง่ายเท่าไหร่ (แต่ก็มี)


DSC_0043.jpg

Mugetsu!
สถานที่: บนโต๊ะทำงานผมที่บริษัท

ระยะโฟกัสใกล้สุดสำหรับเลนส์ตัวนี้อยู่ที่ 20cm ซึ่งเรียกว่าใกล้พอตัวที่จะเล่นอะไรสนุกๆ ได้เยอะ แล้วไม่ต้องห่วงเลยว่า DoF จะบางไป เพราะ CX Sensor มันช่วยให้ DoF เยอะโดยธรรมชาติอยู่แล้ว กลายเป็นว่าถ้าอยากจะถ่าย Close-Up โดยที่ของที่ต้องการถ่ายยังชัดทั้งชิ้นหรือแทบทั้งชิ้นจะเป็นอะไรที่ง่ายมาก ไม่ต้องเปิดรูรับแสงแคบๆ แล้วดัน ISO ก็ได้สบายๆ

แล้วเมื่อถ่ายของที่อยู่ใกล้ๆ ฉากหลังมันก็ละลายสวยของมันไปโดยธรรมชาติเองแหละ อย่างกรณีรูปข้างบนนี่ชัดเจนว่าฉากหลังที่เป็นโต๊ะรกๆ ละลายหายเกลี้ยงเลย แต่ Figure ที่อยากถ่ายก็ยังชัดเจน แถมเลนส์คมพอที่จะเห็นไยแมงมุมนิดๆ ที่อยู่ที่โมเดลแบบชัดเจนด้วย


DSC_8887.jpg

ไร่ข้าวโพด
สถานที่: แปลงทดลองข้าวโพดของคุณพ่อที่พระพุทธบาท


หลังจากได้เลนส์ตัวนี้มา ก็แทบจะใช้มันเป็นเลนส์ติดหน้ากล้อง แทบลืมเลนส์คิท 10-30 ไปเลย รูปที่ได้ออกมาดีกว่าแบบรู้สึกได้ มีมิติมากกว่าแบบรู้สึกได้ ใสกว่าแบบรู้สึกได้ สีสันดีกว่าแบบรู้สึกได้ (แน่นอนว่าเลนส์มีผล) เวลาไปไหนมาไหนและคิดจะเอาเลนส์ 50mm ไป ก็ใช้ตัวนี้แหละ (ถ้าจะใช้ 35mm … อืมม Nikon ยังไม่มีเลนส์ระยะนี้สำหรับตัวนี้นะ ไม่เห็นแผนด้วย แต่คงยากแฮะ ท่าทางจะชอบ 28mm มากกว่า)

ประกอบกับการที่ Nikon V1 เป็นกล้องที่โฟกัสไวและแม่น สีก็สวยแบบ Nikon ปกติอยู่แล้ว ดังนั้นก็เลยไม่มีอะไรต้องคิดมากเท่าไหร่ ใช้งานประจำวันค่อนข้างสนุกขึ้น


DSC_0210.jpg

ปลาแย่งอาหาร
สถานที่: คลองหลังวัดใกล้ๆ บ้าน

ก็ได้เวลาตอบคำถาม “มันจะทำให้ Nikon 1 น่าใช้ขึ้นบ้างไหม” ที่ตัวเองตั้งไว้แล้วล่ะ

จริงๆ แล้วคำตอบโดยทั่วไปของการใช้กล้องแบบเปลี่ยนเลนส์ได้แล้วมีเลนส์ใหม่ ที่ต่างจากของเก่า ไม่ว่าจะระยะต่าง ความไวแสงต่าง ระยะโฟกัสต่าง หรือแม้แต่เรื่องเล็กน้อยอย่างลักษณะ Bokeh ต่างกัน ก็ทำให้กล้องน่าเล่นน่าใช้ขึ้นแล้วล่ะ งั้นถามใหม่ว่า “มากแค่ไหน” ไม่ใช่แค่เลนส์ตัวนี้นะ แต่เป็น “Nikon 1 ทั้งระบบ”


DSC_0220.jpg

คลาสสิคแท้หรือแค่เก่า
สถานที่: ที่จอดรถในวัดแถวปากเกร็ด

ตามที่ผมบอกไปตอนแรกครับว่า “ไม่มีระบบกล้อง-เลนส์ไหนจะสมบูรณ์ หากปราศจาก Normal Prime ไวแสง” ผมถือว่าเลนส์ตัวนี้ทำให้เรามอง Nikon 1 เป็นระบบที่สมบูรณ์ได้มากขึ้นเยอะ เทียบกับที่มันเคยเป็น (คือเป็นแค่ Compact เปลี่ยนเลนส์ได้ ในระดับเดียวกับ “กล้อง Compact” เท่านั้น) ผมรู้สึกได้ชัดเจนจากคุณภาพของรูปที่ได้ และความรู้สึกตอนมองรูปที่ตัวเองถ่ายจากกล้องตัวนี้เปลี่ยนไปพอสมควร จากที่รู้สึกว่ากำลังมองภาพจาก “กล้อง Compact” กลายเป็นกำลังมองภาพจาก “Serious Photographic Tool” มากขึ้นเยอะ อัตราภาพระดับ Keeper ที่ผมได้จากกล้องตัวนี้ก็มากขึ้นด้วย

สิ่งที่หลายคนมองว่าเป็น “ข้อด้อย” ของ Nikon 1 ที่มีอยู่จากการที่ “Sensor เล็ก” ซึ่งทำให้แทบไม่สามารถเล่น DoF ตื้นได้เลย หรือทำให้ถ่ายที่แสงน้อยลำบาก เพราะทำให้ ISO สูงไม่ดีเลย และไม่มีเลนส์ไวแสงมาชดเชยตรงนี้ ถูกตอบอย่างชัดเจนและทำให้มันกลับกลายเป็น “ข้อดี” เสียด้วยซ้ำ เพราะเราได้ความไวแสงของเลนส์ f/1.8 แต่ได้ DoF ของเลนส์เทียบเท่า f/5 ที่ระยะ 50mm ทำให้การถ่ายเล่นในชีวิตประจำวันในที่แสงน้อย ต้องระวังกับเรื่อง DoF น้อยลงเยอะมาก


DSC_0310.jpg

เปียโนใต้แสงไฟ
สถานที่: ร้านอาหารแห่งหนึ่ง

บทสรุป: เป็นเลนส์ตัวหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าไม่เสียดายเงินในการซื้อมันมาเลย ยิ่งราคาแค่นั้นด้วยแล้ว จัดว่าถูกมากกับสิ่งที่มันทำได้ ..​ ไม่สิ กับสิ่งที่มันทำให้ Nikon 1 System ทั้งระบบ … ใครมี Nikon 1 ต้องจัดไปอย่าให้เสียครับ (นอกจากจะไม่ถูกโรคกับเลนส์ซูมเท้านะ) … แต่สำหรับคนที่ยังลังเลว่าจะซื้อ Nikon 1 ดีไหม หรือซื้อระบบ Mirrorless อื่นๆ ดี อันนี้คงจะต้องว่ากันยาวนิดนึงล่ะครับ ไว้มีโอกาสจะเขียนบทความเรื่องนี้บ้างครับ

บทความที่เกี่ยวข้อง