นี่คือรีวิว/บทความที่ผม “ดองไว้นานที่สุดในชีวิต” เพราะว่าดราฟท์ไว้ 2-3 ย่อหน้าตั้งแต่ 08/29/2012 โน่นเลย จะว่าไปแล้วก็เกินปีแล้วสินะ … และวันนี้ก็คงจะถึงเวลาที่จะมานั่งเขียนมันให้เสร็จซะที
สารภาพเลยว่า เหตุผลหนึ่งที่ทำให้รีวิวนี้เสร็จก็คือว่า วันหนึ่งผมพบว่ามีท่านผู้อ่านหลงเข้ามาเว็บผมด้วยคำค้นนี้ครับ:
![searchterm.png](https://i0.wp.com/www.rawitat.com/wp-content/uploads/2013/09/searchterm.png?w=280)
แบบนี้ก็เลยบอกตัวเองว่า “ต้องจัดซะแล้ว” และสารภาพตามตรงครับ ว่านี่คือกล้องที่ “เขียนรีวิวยากที่สุด” ด้วยเหตุผลง่ายๆ ที่ผมจะบอกตรงๆ ตั้งแต่ตรงนี้เลย ไม่ต้องเสียเวลาอ่าน
Firmware: Fujifilm เข้าใจ เก็ท และใช้ประโยชน์จากความเป็น “คอมพิวเตอร์” ของกล้องสมัยใหม่คุ้มที่สุด อัพเดททีไร เหมือนได้กล้องใหม่ทุกที
แล้วเจ้า Firmware มันเกี่ยวอะไรกับเขียนรีวิวกล้องล่ะเนี่ย?!?! คำตอบสั้นๆ ก็คือ มันทำให้อะไรหลายอย่างเปลี่ยนไปครับ บางครั้งรู้สึกเหมือนได้กล้องใหม่เลยทีเดียว
![DSCF7023.jpg](https://i1.wp.com/farm8.staticflickr.com/7336/9775115124_ef3d1ecc0b_c.jpg?resize=584%2C390)
Product Shot … เอ๊ย! ไม่ใช่ล่ะ! ผิด Product แล้ว!
ผมบอกตามตรงเลยครับ ว่าทุกครั้งที่ผมจะเขียนรีวิว ก็จะมีข่าวว่าฟูจิจะออก Firmware ใหม่ ซึ่งจะปรับปรุงตรงนั้นตรงนี้ ผมก็จะรอไปก่อน แล้วพอมันออกมาให้ลองใช้จริง ก็จะมีหลายต่อหลายเรื่องที่เปลี่ยนไป ทำให้อยากจะเขียนใหม่ ผมกล้าพูดครับว่ารีวิวของ Fujifilm X-Pro1 ที่ออกมาตั้งแต่กล้องออกมาใหม่ๆ แล้วไม่ได้รับการปรับปรุงไปตาม Firmware เรื่อยๆ นี่มีข้อมูลที่ไม่จริงแล้วหลายต่อหลายอย่าง และจนกระทั่งวันนี้ผมคิดว่ามันน่าจะนิ่งมากแล้ว ดังนั้นก็เลยได้เวลาเขียนสักที
งั้นเริ่มกันที่เรื่องแรกกันเลยครับ
![DSCF7072.jpg](https://i1.wp.com/farm9.staticflickr.com/8512/8556723258_7ced262478_c.jpg?resize=584%2C390)
หมาน้อยบนโซฟา
Disclaimer เกี่ยวกับรูปถ่าย: ทุกรูปที่ลงในบทความนี้ ไม่มีรูปไหนที่ “จบหลังกล้อง” แทบทุกรูปถ่ายเป็น JPEG Normal จากกล้องเท่านั้น จะมีแค่บางรูปเท่านั้นที่ถ่าย RAW ทุกรูปมีการทำต่อใน Lightroom เพื่อให้เห็นผลจากการใช้งานจริงในแบบ Real-World Usage ไม่ใช่เน้นแบบ Lab-Test รูปทั้งหมดสามารถดูรูปใหญ่ได้ที่ Flickr ซึ่งผมลงไว้ที่ Photoset นี้ [Review] Fujifilm X-Pro1 ซึ่งตอนนี้มีรูปเยอะกว่าที่ลงในบทความนี้ และอาจจะเพิ่มในอนาคต (ซึ่งจะลงใน Flickr แต่ไม่เอามาลงเพิ่มในบทความนี้แล้ว)
![DSCF7120.jpg](https://i1.wp.com/farm9.staticflickr.com/8088/8556723794_f94777e4c1_c.jpg?resize=584%2C390)
ที่ บ.โค้ด แอพพ์ เราดราฟท์ไอเดียแอพด้วยกระดานดำ
มันคืออะไร?
มันคือกล้องเปลี่ยนเลนส์ได้แบบ Mirrorless (ซึ่งทุกวันนี้ยังไม่มีตัวย่อที่เป็นมาตรฐาน บางคนเรียก EVIL บางคนเรียก CSC บางคนเรียก ILC) ลักษณะทำงานของกล้องแบบนี้ก็คือ ไม่ใช้กระจกสะท้อนภาพจากเลนส์ไปเข้าช่องมองภาพ (Viewfinder) ในแบบ SLR (DSLR) แต่ใช้เซ็นเซอร์รับภาพตรงๆ เลย แล้วจะเอาภาพนั้นไปโผล่ที่ไหน จะเป็นช่องมองภาพแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือใช้ LCD หลังกล้องแบบเดียวกับกล้องคอมแพคทั่วไป หรือแม้แต่การใช้ช่องมองภาพแบบกระจกแล้วเอาเส้นกรอบภาพไปวางซ้อนเอาแบบเดียวกับกล้อง Rangefinder ชอบใช้กัน (สรุปสั้นๆ: Mirrorless = ยังไงก็ช่าง แค่ไม่มีกระจกสะท้อนภาพจากเลนส์ไปเข้าช่องมองภาพ พอ)
![DSC_0948.jpg](https://i2.wp.com/farm4.staticflickr.com/3707/9787671391_c4b08ae094_c.jpg?resize=584%2C391)
นี่สิ Product Shot ของแท้ … บ้านๆ มาก สภาพใช้งาน+ไม่ได้เช็ดไม่ได้ขัดก่อนถ่าย
X-Pro1 เป็นกล้อง Mirrorless เปลี่ยนเลนส์ได้ตัวแรกของ Fujiflm หลังจากเขย่าวงการด้วยคอมแพคเซ็นเซอร์ใหญ่อย่าง X100 โดยคร่าวๆ X-Pro1 ใช้เซ็นเซอร์ขนาด APS-C (Crop Factor หรือตัวคูณ 1.5) แบบ X-Tran และมีเลนส์เมาท์ใหม่ที่เรียกว่า X-Mount
ส่วนรายละเอียดในแต่ละส่วนจะเป็นยังไง เดี๋ยวไปดูกันทีละเรื่องครับ
โครงสร้างและการออกแบบ
Fujifilm กลายมาเป็นชื่อที่ต้องจับตามองกันอีกครั้งในวงการกล้อง หลังจากเงียบหายไปนานมากจนคิดว่าจะเหลือแต่ชื่อซะแล้ว ด้วยการออก X100 กล้องอาร์ทตัวแม่ ที่สอบตกหลายเรื่อง แต่คนที่ชอบคนที่รักก็รักมันจริงจัง (ผมเป็นคนหนึ่งในนั้น อ่านจาก A Week with Fujifilm X100 ที่ผมเขียนไว้นานแล้วได้เลย) สาเหตุหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ ก็คือ “สไตล์ย้อนยุค” ของมันนั่นเอง
![DSCF8444.jpg](https://i0.wp.com/farm8.staticflickr.com/7326/9768233624_0005f3e761_c.jpg?resize=584%2C390)
พระหิน
สถานที่: วัดแห่งหนึ่งในเกาหลี (จำชื่อไม่ได้)
ซึ่งแวบแรกที่เห็นตั้งแต่รูปที่หลุดออกมา หรือแวบแรกที่เห็นในร้าน ก็รู้สึกแบบเดียวกันเลยกับ X-Pro1 ว่านี่คือ “กล้องสไตล์ย้อนยุค” ในสไตล์ของกล้อง Rangefinder คลาสสิค
เพื่อตอกย้ำความคลาสสิคและการเป็น “กล้องซีเรียส” ให้ชัดเจนขึ้นอีก Fujifilm ก็เลือกทำตรงข้ามกับ Nikon 1 ด้วยการเปิดตัวพร้อมกับเลนส์แบบ Prime ทีเดียว 3 ตัว คือ 18mm f/2, 35mm f/1.4 และ 60mm f/2.4 macro ซึ่งเทียบเท่ากับระยะ 28mm, 50mm, 90mm ตามลำดับ (บางคนจะถามล่ะ ว่าเทียบเท่า 35mm กับ 75mm หายไปไหน :-P)
![DSCF7152.jpg](https://i2.wp.com/farm9.staticflickr.com/8226/8555614013_a6b57af07e_c.jpg?resize=584%2C390)
ถ่ายรูปวาดที่บ้าน
พูดถึง Rangefinder ใครๆ ก็คงคิดถึง Leica และถ้ามองผ่านๆ ก็คงคิดว่า X-Pro1 นี่มันหน้าตาละม้ายคล้ายกับ Leica M อยู่ไม่น้อย ถึงกับมีคนพูดกันว่ามันคือ Poor Man’s Leica กันเลยทีเดียว … ส่วนหนึ่งก็คงเพราะว่า Leica เป็นเจ้าเดียวที่ทำกล้อง Digital Rangefinder ในปัจจุบัน (Epson เคยร่วมกับ Cosina Voigtlander เอากล้องฟิล์มตระกูล Bessa มา Modify ทำเป็น Digital Rangefinder ตระกูล R-D1 แล้วตอนนี้ไม่รู้เป็นไงบ้าง)
แต่เมื่อมองนานๆ และเทียบไปเทียบมาดีๆ แล้วมันไม่ใช่ Leica M นะ ต้นแบบของมันจริงๆ คือ Contax G2 มากกว่า (ลองค้น Google Images ดูครับ เหมือนกันแทบจะเด๊ะเลย)
![DSCF7223.jpg](https://i0.wp.com/farm4.staticflickr.com/3715/9768191305_32285a860a_c.jpg?resize=584%2C390)
ดอกไม้ในวัด
สถานที่: วัดพระพุทธบาท สระบุรี
จะได้ต้นแบบมาจากตัวไหน รูปทรงมันก็เหมือนกับกล้อง Rangefinder อยู่ดีแหละ หลายต่อหลายคนถึงกับเรียกมันว่าเป็น Digital Rangefinder ด้วยซ้ำ … เว้นแต่ว่ามัน “ไม่ใช่” เพราะว่าจริงๆ แล้ว X-Pro1 ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับ Rangefinder (ซึ่งเป็นวิธีการโฟกัส) เลย แต่มันถูกออกแบบให้มีรูปร่าง รวมถึงลักษณะการควบคุมต่างๆ ในแบบกล้อง Rangefinder
อันที่จริงก็แบบเดียวกับ X100 น่ะแหละ ที่แพ็คเอาเทคโนโลยีการโฟกัสแบบปัจจุบัน รวมถึงเทคโนโลยีอื่นๆ ไว้เพียบ แต่ให้วิธีการควบคุมปรับเปลี่ยนค่าของพารามิเตอร์ที่ใช้ในการถ่ายภาพบ่อยๆ บนส่วนต่างๆ ของตัวกล้องอย่างตรงไปตรงมา เช่นเดียวกับกล้องฟิล์มเก่าๆ นั่นเอง
![DSCF7726.jpg](https://i0.wp.com/farm9.staticflickr.com/8523/8555619805_13f02a0fc9_c.jpg?resize=584%2C390)
ดอกไม้ บนบันไดหิน
สถานที่: วัดมหาธาตุ ลพบุรี
แวบแรกที่เห็นกล้อง รู้สึกเลยมันเป็น X100 ขยายส่วนให้ใหญ่ขึ้น มี Lens Mount (เพราะว่ามันเปลี่ยนเลนส์ได้) และเปลี่ยนสีให้ดูซีเรียสจริงจังขึ้น ความรู้สึกที่ตามมาคือ “มันน่าจะหนัก” อาจจะเพราะว่าผมใช้ Leica M8 อยู่ ซึ่งขนาดตัวไม่ต่างกันเลยกับ X-Pro1 แต่จัดได้ว่าหนักมากในมาตรฐานปัจจุบัน โดยที่ผมก็ลืมไปว่า X100 มันโคตรเบา
และเมื่อลองจับ X-Pro1 ดูจริงๆ ก็พบว่ามันเบามากเมื่อเทียบกับรูปลักษณ์และขนาดภายนอก ก็เหมือนกับ X100 ที่เบาจนรู้สึกว่ามันกลวงนิดๆ เลยล่ะ แต่ไม่รู้สึกว่ามันถูกสร้างมาแบบถูกๆ หรือไม่ดีนะ ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ งานสร้างงานประกอบจัดได้ว่าทำได้ดี ให้ความรู้สึกทนใช้ได้ แต่ไม่ค่อยรู้สึก “ถาวร” เท่ากับ Leica M8 (ทั้งๆ ที่เจ้า M8 นี่ปัญหาโคตรเยอะเลย .. แต่เป็นปัญหาอิเล็กทรอนิกส์แทบทั้งนั้น)
![DSCF8149.jpg](https://i2.wp.com/farm9.staticflickr.com/8531/8556732842_80ec90f7aa_c.jpg?resize=584%2C390)
แปลงดอกไม้
สถานที่: เกาหลี (แต่ที่ไหนก็มีมั้ง แบบนี้)
และเมื่อประกอบกับเลนส์ 35mm f/1.4 ซึ่งเป็นชุดคิทในตอนแรก บอกได้เลยว่าน้ำหนักดีขึ้นเยอะ เหมาะมือใช้ได้ ยิ่งเมื่อเทียบกับ M8 (รายนั้นถือนานๆ มีเมื่อยแน่ๆ) และที่สำคัญคือมันเข้ากับเลนส์มากเลย .. แต่เรื่องเลนส์เดี๋ยวว่ากันทีหลัง
สิ่งหนึ่งที่ผมชอบกับกล้อง Fujifilm โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ Leica M ก็คือการออกแบบให้มี “Grip” ภายนอกที่ทำให้จับถนัดขึ้น (แม้จะแลกมาด้วยการที่มันดูไม่สวยไม่เรียบไม่หรูเท่า) ยิ่ง Leica M8/M9 ไม่มีที่พักนิ้วให้เหมือนกับตัวเลื่อนฟิล์มเมื่อก่อน ยิ่งจับลำบากขึ้นอีก ส่วน Grip ของ X-Pro1 นั้นทำจากยางและมี Texture คล้ายกับตัวกล้องที่ช่วยให้จับถนัดขึ้นอีกนิดหน่อย ส่วนด้านหลังจะมีการออกแบบให้สามารถวางพักนิ้วโป้งได้ง่ายและไม่โดนปุ่มอะไรเวลาที่วางนิ้ว แต่ขยับนิดหน่อยก็สามารถเข้าถึงปุ่มสำคัญบางปุ่มได้เลย ซึ่งถือว่าออกแบบมาได้เยี่ยมในการใช้งานจริง
![DSCF7620.jpg](https://i1.wp.com/farm9.staticflickr.com/8108/8555618023_6454d8ff58_c.jpg?resize=584%2C390)
บันไดพญานาค
สถานที่: วัดพระพุทธบาท สระบุรี
การออกแบบการควบคุมภายนอก
สำหรับผมแล้ว การควบคุมจากภายนอกเป็นปัจจัยสำคัญมากสำหรับกล้อง โดยเฉพาะกล้องดิจิทัลที่มีปัจจัยที่ปรับแต่งได้มากมายมหาศาลเมื่อเทียบกับกล้องฟิล์ม การออกแบบการเข้าถึงการปรับแต่งต่างๆ นี่เรียกได้ว่าเปลี่ยนความรู้สึกในการถ่ายรูปให้เป็นคนละอารมณ์กันได้เลย ไม่จำเป็นต้องถึงกับลากทุกอย่างออกมาให้ปรับได้ข้างนอกหรือมีปุ่มมีตัวเลื่อนมีฟังก์ชั่นกดนั่นผสมนี่ได้มากมายเหมือนกับพวก DSLR ตัวใหญ่ๆ หรอก แต่ถ้าจะต้องกดปุ่มเข้า Menu ทุกครั้งแม้แต่จะเปลี่ยนโหมดจาก Aperture-Priority เป็น Shutter-Priority เหมือนพวกกล้องคอมแพคตัวเล็กๆ ก็เกินไป (ซึ่ง Nikon ดันออกแบบ Nikon V1 มาแบบนั้น แล้วก็แก้ตัวด้วย V2 แต่ด้วยความที่ผมไม่ชอบดีไซน์โดยรวมของ V2 เท่าไหร่ เลยผ่านไป ก็หวังว่า Nikon จะเรียนรู้แล้วก็ทำ V3 ออกมาแบบเดียวกับ Coolpix A นะ)
![DSCF9693.jpg](https://i1.wp.com/farm4.staticflickr.com/3681/9768236644_97cd26e325_c.jpg?resize=584%2C390)
ในโบสถ์ วัดอะไรไม่รู้ จำไม่ได้ล่ะ –”
ซึ่งสำหรับเรื่องนี้ Fujifilm ทำออกมาได้โดนมาก และดีมาก ตั้งแต่ X100 ล่ะ พูดสั้นๆ ว่าโดยสรุปแล้ว X-Pro1 มีการควบคุมภายนอกที่เหมือนกับ X100 ครับ
โดยปกติแล้วพารามิเตอร์หลักๆ ที่ผู้ใช้จะปรับเปลี่ยนบ่อยๆ ในการถ่ายรูปก็คือขนาดรูรับแสง ความเร็วชัตเตอร์ และการชดเชยแสง ซึ่ง X-Pro1 เอาการออกแบบของพวก Rangefinder มาใช้เต็มๆ ส่งผลให้มีการเข้าถึงพวกนี้จากการควบคุมภายนอก คือการปรับขนาดรูรับแสงที่ตัวเลนส์ การปรับความเร็วชัตเตอร์และการชดเชยแสงด้านบนตัวกล้อง
![DSCF9860.jpg](https://i0.wp.com/farm9.staticflickr.com/8233/8555625209_1c491a056e_c.jpg?resize=584%2C390)
ทุ่งทานตะวัน
สถานที่: แถววัดเวฬุวัน เขาจีนแล ลพบุรี
สำหรับการปรับรูรับแสงที่เลนส์และความเร็วชัตเตอร์บนตัวกล้องนั้น จะมีสัญลักษณ์ A ซึ่งหมายถึง Auto ถ้าเราเลื่อนตัวไหนไปที่ Auto กล้องจะคำนวนค่าให้เราเอง ซึ่งหมายถึงว่าถ้าเราตั้ง A ไว้ที่เลนส์ และตั้งชัตเตอร์เอง จะกลายเป็น Shutter-Priority แต่ถ้าเราตั้งชัตเตอร์ไว้ที่ Auto และเลือกรูรับแสงเอง ก็จะกลายเป็น Aperture-Priority ถ้าตั้งทั้งสองตัวที่ A ก็จะกลายเป็น Program Auto
ส่วนเรื่อง ISO ซึ่งอันที่จริงแล้วก็เป็นปัจจัยที่เคยถูกปรับแต่งบ่ยอ นี่ตั้งแต่มีการพัฒนาเรื่อง Auto-ISO ขึ้นมาก็มีการปรับค่าตรงนี้เองน้อยลงไปมาก ทำให้ดูโอเคขึ้นหากไม่มีปุ่มสำหรับการเข้าถึงมันโดยตรง ขอให้ Auto-ISO มันฉลาดพอก็แล้วกัน (เรื่องนี้เดี๋ยวมาต่อกัน)
![DSCF7871.jpg](https://i1.wp.com/farm3.staticflickr.com/2873/9768227774_7d2b2c7c6d_c.jpg?resize=584%2C390)
หมาวัด
สถานที่: วัดพระพุทธบาท สระบุรี
สำหรับปุ่มควบคุมอื่นๆ ที่เข้าถึงได้จากภายนอก สำหรับด้านหน้าตัวกล้องจะมี ตัวสับสำหรับสำหรับสลับ Optical/Electronic Viewfinder (OVF/EVF) และตัวสับสำหรับเลือกรูปแบบโฟกัส (Manual-Continuous-Single) ด้านบนตัวกล้องจะมีสวิทซ์เปิดปิดและปุ่ม Fn ที่เลือกได้ว่าจะเอาไว้ใช้ทำอะไร (ผมตั้งเอาไว้เป็น RAW เวลาเจอรูปยากๆ และอยากถ่าย RAW จะได้เข้าถึงง่ายๆ หรือว่าบางครั้งอยู่ในอารมณ์อย่างถ่าย JPEG อย่างเดียวก็ตั้งไว้เป็น Film Simulation)
สำหรับด้านหลังจะมีปุ่มอะไรโน่นนี่เยอะหน่อย (เป็นเรื่องปกติ) คือ Drive Mode, AE, AF ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นปุ่ม Zoom +/- และปุ่มลบรูป เวลาอยู่ในโหมดดูรูป ปุ่ม Playback สำหรับเข้าโหมดดูรูป ปุ่มเลือกรูปแบบของ Viewfinder (VF/LCD/Eye-Sensor) ปุ่มตั้ง Display Information/Back และ D-Pad ซึ่งมีปุ่ม Macro ปุ่มเข้า Menu ซึ่งทำหน้าที่เป็น OK ด้วย และสุดท้ายก็มี Command Dial อยู่ 1 ตัว
![DSCF7453.jpg](https://i1.wp.com/farm8.staticflickr.com/7328/9768199516_4de46e046d_c.jpg?resize=584%2C390)
Evening Mood at Home
ที่ผมคิดว่าเจ๋งก็คือปุ่ม Q หรือ Quick Access ซึ่งจะรวมเอาค่าต่างๆ ที่เราอาจจะต้องการปรับเปลี่ยนระหว่างใช้งาน มีส่วนติดต่อกับผู้ใช้ในรูปแบบตาราง 2 มิติ ที่ทำให้เข้าถึงได้ง่ายและเห็นค่าที่ตั้งไว้ปัจจุบันอย่างชัดเจน และทำงานร่วมกับ Command Dial ในการเปลี่ยนค่าต่างๆ ได้เนียน เป็นอะไรที่ผมคิดว่าค่ายอื่นๆ น่าจะเอากลับไปทำการบ้านบ้างเลยล่ะ
เซ็นเซอร์ X-Trans
Fujifilm ใช้เซ็นเซอร์แบบใหม่กับ X-Pro1 ซึ่งเป็นเซ็นเซอร์ที่ผมชอบไอเดียพื้นฐานของมันมาก (เผลอๆ จะมากกว่าที่ชอบไอเดียของ Sigma Foveon เซ็นเซอร์ด้วยซ้ำ) .. เพราะเทคโนโลยีเซ็นเซอร์รับภาพแบบ Bayer นั้นเป็นเทคโนโลยีที่มาจากไอเดียโบราณ ที่แม้จะมีการปรับปรุงมาเรื่อยๆ แต่ไม่มีการ “เปลี่ยนแปลง” ด้วยไอเดียใหม่ๆ มานานมากแล้ว ทำให้ผมตื่นเต้นมากกับไอเดียใหม่ๆ ในเรื่องนี้ทั้งหลาย
เซ็นเซอร์นี้มีชื่อเรียกว่า “X-Trans” ซึ่งเป็น CMOS ขนาด APS-C (ต่างจาก X100 ซึ่งเป็น CMOS APS-C แบบ Bayer)
![DSCF9669.jpg](https://i0.wp.com/farm9.staticflickr.com/8231/8555624029_dcfb68f97f_c.jpg?resize=584%2C390)
After Sunset
Bayer เซ็นเซอร์นั้นรับความเข้มแสงเข้ามาแล้วใช้สิ่งที่เรียกว่า Bayer Pattern Array (หรือ Bayer Array) มาให้ค่าสีในแต่ละพิกเซลแบบตายตัว ว่าพิกเซลไหนจะให้สีอะไร จากนั้นใช้การ Interpolation ค่าสีอื่นๆ กลับจากพิกเซลรอบข้าง ซึ่งจะทำให้ได้ค่าสีที่เป็นการ “ประมาณ” และเนื่องจาก Pattern สีใน Bayer นั้นจะตายตัวมาก จึงทำให้เกิดปรากฏการณ์ Moire ขึ้นได้ง่ายกับสิ่งที่เป็นลวดลายแบบตายตัวที่มนุษย์สร้างขึ้น (ไม่ใช่พวกลายไม้นะ แต่เป็นพวกลายผ้า ลายตาราง) จะแก้ปัญหานี้ก็จะต้องใส่ Anti-Alias (AA) Filter เพิ่มเข้าไป ทำให้ภาพมัน “เบลอ” มากขึ้นเล็กน้อยโดยธรรมชาติ
Foveon เปลี่ยนไอเดียแบบ 180 องศา ด้วยการแยกเซ็นเซอร์รับภาพไปเลย 3 ชั้นที่รับคลื่นแสงแดง เขียว น้ำเงิน แยกกัน ทำให้ปัญหาพวกนั้นหมดไป แต่ทำให้ปัญหาอีกหลายอย่างมันตามมาแบบช่วยไม่ได้
![DSCF7655.jpg](https://i2.wp.com/farm9.staticflickr.com/8242/8556729580_340f4a6d0c_c.jpg?resize=584%2C390)
อีกมุมหนึ่งของวัดพระพุทธบาท สระบุรี
ส่วน X-Trans นั้นยังคงอยู่กับตัวรับแสงตัวเดียว รับความเข้มแสง เหมือนกับ Bayer แต่เปลี่ยนแนวคิดพื้นฐานนิดเดียวเท่านั้น คือ ไม่ใช้ Pattern การให้ค่าสีของพิกเซลแบบตายตัว แต่เป็นการสุ่มให้ค่าสี (ซึ่งทาง Fujifilm บอกว่า ได้ไอเดียมาจากการเรียงตัวแบบสุ่มของเม็ดเกรนในฟิล์ม) ซึ่งทำให้สาเหตุของการเกิด Moire นั้นหมดไป และไม่ต้องแก้ปัญหาด้วยการใส่ AA filter เพิ่มเข้าไปลดความคมชัดลงไปอีกแต่อย่างใด
และแน่นอนว่า เนื่องจากพื้นฐานมันยังเป็น CMOS ที่รับความเข้มแสงเหมือนเดิม ดังนั้นมันจึงมีประสิทธิภาพการรับแสงในที่แสงน้อยดีเหมือนกับ Bayer CMOS เซ็นเซอร์รุ่นใหม่ๆ ทุกประการ
![DSCF8096.jpg](https://i1.wp.com/farm9.staticflickr.com/8527/8556731922_41ddbda11b_c.jpg?resize=584%2C390)
สี่สาว ณ งานเลี้ยงรุ่น
การใช้งานจริง
เนื่องจากผมค่อนข้างจะชอบ X100 และรัก Leica M8 เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นก่อนที่ผมจะซื้อ X-Pro1 มา ผมคิดว่ามันน่าจะกลายเป็นกล้องที่ผมใช้งานมากที่สุด บ่อยที่สุด และไปไหนเอาไปด้วยเป็นตัวแรก แต่เอาเข้าจริงแล้วมันกลับไม่ได้เป็นแบบนั้น ผมใช้กล้องตัวนี้น้อยกว่าที่ผมคิดเอาไว้มาก และแทบไม่เคยใช้เป็นกล้องหลักในการเอาไปไหนเลยด้วยซ้ำ
ทริปเดียวที่ผมใช้งานกล้องตัวนี้จริงจัง ก็คือทริปไปเกาหลี เมื่อครั้งได้กล้องตัวนี้มาใหม่ๆ เหตุผลที่เอาไปก็คือไม่อยากแบก D3s ไปด้วย และอยากได้กล้องที่ถ่ายคนสวยหน่อย ซึ่ง X-Pro1 และ 35mm f/1.4 สามารถทำให้ผมได้ แต่ Nikon V1 ให้ผมไม่ได้ (ณ ตอนนั้น) … และนั่นเองทำให้ผมพบข้อจำกัดหลายอย่างพอควรในการใช้งานมันจริงๆ
ทำไมน่ะเหรอ …. คำเดียวครับ “Autofocus”
![DSCF8336.jpg](https://i1.wp.com/farm3.staticflickr.com/2857/9795320814_b64a709c2e_c.jpg?resize=584%2C390)
X-Pro1 + 35mm f/1.4: ไว้ใจได้ เวลาถ่ายคน
ถึงรวมๆ แล้วผมจะค่อนข้างพอใจกับมัน แต่จนกระทั่ง Firmware 3.0 ออกมา ผมบอกได้เลยว่าผมขัดจิตกับ Autofocus ของมันมาก มากถึงขนาดที่ว่าบางครั้งรู้สึกหงุดหงิด .. มันแย่กว่า X100 อีกเหรอ ทำไมผมทนกับหมอนั่นได้? มันไม่แย่กว่าหรอกครับ มันพอๆ กันน่ะแหละ แต่…. ชีวิตผมต่างหากที่เปลี่ยนไป
เรื่องของเรื่องมี 2 คำครับ “Nikon D800” และ “Nikon V1”
พอดีผมเปลี่ยนกล้องหลัก จาก Nikon D3s มาเป็น D800 ทำให้อยู่ดีๆ “ขนาดของกล้องหลัก” เวลาถือไปไหนต่อไหน มันลดลงไปเยอะจนทำให้ถือได้สะดวกขึ้นเยอะ จนเรียกได้ว่าไม่ได้ต่างอะไรกันมากขนาดมีนัยสำคัญอะไรอีกต่อไปแล้ว (D800 เล็กกว่า D3s และ X-Pro1 ใหญ่กว่า X100) และ Lightroom ยังทำงานกับไฟล์ RAW ของ Nikon ดีกว่าของ Fujifilm อยู่หลายขุม (ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว) แล้วก็มีกล้อง MIrrorless ตัวเล็กตัวใหม่อีกตัวซึ่งคือ Nikon V1 ซึ่งทำงานไวมากจนไม่รู้จะไวยังไง แล้วไว้ใจได้มากๆ เรื่อง Autofocus
![DSCF0012.jpg](https://i2.wp.com/farm9.staticflickr.com/8507/8556737460_a6ecef7ee5_c.jpg?resize=584%2C390)
Fallen Flowers
เมื่อเทียบกันแล้ว Autofocus ของ X-Pro1 ดูง่อยไปเยอะ ทั้งวืดวาด ทั้งช้า ทั้งโฟกัสผิดจากที่เราต้องการให้มันโฟกัส ขนาดเลือกจุดหรือบริเวณให้มันโฟกัสแล้วนะ ยังเกิด Focus Hunting อีก ไม่รู้ว่าจะยังไง
เท่านั้นไม่พอ X-Pro1 ยังมีข้อจำกัดที่เลนส์ ซึ่งแม้ว่ามันจะเปลี่ยนเลนส์ได้ แต่ผมก็มีเลนส์แค่ 2 ตัวเท่านั้นคือ 18mm f/2 และ 35mm f/1.4 ส่วน 60mm f/2.4 macro ที่เปิดตัวมาพร้อมกันนั้น ผมไม่ได้จัดมาด้วย เพราะว่ามันตัวใหญ่ไปมากเมื่อเทียบกับกล้อง ใส่แล้วรู้สึกว่าไม่บาลานซ์อย่างแรง ทำให้เกิดข้อจำกัดในการใช้งานพอควร ผมก็เลยใช้เจ้า X-Pro1 น้อยลงไปโดยธรรมชาติ
![DSCF9707.jpg](https://i2.wp.com/farm9.staticflickr.com/8513/8555624523_0c5e9f1740_c.jpg?resize=584%2C390)
โลหะปราสาท
เรื่อง Viewfinder ในการใช้งานจริง OVF จะพลาดเยอะพอสมควร ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงวาง Frame-line ให้ตรงกับกรอบของภาพที่เลนส์เห็นเป๊ะๆ ไม่ได้ ทั้งๆ ที่มันก็ใช้การคำนวนจากตัวกล้อง และใช้ LED ในการแสดงผลในตำแหน่งไหนก็ได้ และข้อมูลพวกนี้ก็อัพเดทได้จาก Firmware อยู่แล้ว ต่างจากพวก Rangefinder ที่ใช้ Frame-line แบบ Fixed ไว้แล้วจาก ส่วน EVF นั้นทำงานได้ดีถ้าแสงเยอะๆ แต่จะอัพเดทช้ามาก และใช้งานลำบากในที่แสงน้อย ก็ต้องสลับไปใช้ OVF เอา
นอกนั้นก็ยังมีข้อเสียจุกจิกที่อาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ในการใช้งานบางครั้ง เช่น เรื่องการตั้ง Auto ISO ที่ตั้งความเร็วชัตเตอร์ต่ำสุดไม่ได้ ก็ต้องแล้วแต่กล้องมันคิดและกำหนดให้ (ซึ่งมันจะกำหนดให้แบบตายตัวไปเลยว่าเป็น 1/ทางยาวโฟกัส) ซึี่งทำให้เกิดข้อจำกัดมากๆ ในการใช้งาน เพราะบางครั้งเราต้องการหยุดการเคลื่อนไหวอะไรบางอย่าง แล้วอยากได้ชัตเตอร์ไวๆ อยากจะตั้งว่า “ต่ำสุดแค่นี้นะ” แล้วยอมดัน ISO สูงให้เอง ก็ต้องใช้แบบ Manual Mode คือเลือกความไวชัตเตอร์เองจากตัวหมุนด้านบนกล้องไปเลย
![DSCF9424.jpg](https://i1.wp.com/farm8.staticflickr.com/7333/9768024402_bdfc10e2c6_c.jpg?resize=584%2C390)
เทียนหลากสี
New Firmwares & New Lenses: The Turning Point
แต่ทุกอย่างก็ค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่ Fujifilm เริ่มทะยอยออก Firmware รุ่นแล้วรุ่นเล่าออกมาเรื่อยๆ เรื่อง Autofocus ซึ่งแทบจะถือว่าเป็นจุดบอดแรงที่สุดของ X-Pro1 ก็ถูกแก้จนค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ และแล้วในที่สุด วันที่ผมลง Firmware 3.0.x ให้กับมัน ผมก็มีความรู้สึกเหมือนกับ “ได้กล้องใหม่จริงๆ” และ “นี่แหละ คือสิ่งที่ X-Pro1 ควรเป็นตั้งแต่ต้น!
แน่นอนว่า เมื่อเทียบกับบรรดา Mirrorless ตัวอื่นๆ อย่าง Olympus OM-D, Panasonic G-Series, Nikon 1 อาจจะยังเรียกว่าสู้ไม่ได้ แต่มันก็ไม่ถึงกับต้อง “ทน” อีกต่อไป โฟกัสเข้าเป้ามากขึ้น ไว้ใจได้มากขึ้นในที่แสงน้อย ซึ่งเรียกว่าคุ้มเลยทีเดียว
แต่มันจะลำบาก+วุ่นวายนิดนึง ตรงที่เราต้องมาเข้าไล่อัพเดท Firmware ให้กับเลนส์แต่ละตัวที่เรามี ให้มันทำงานได้กับระบบ Autofocus ใหม่ที่ปรับปรุงขึ้นด้วยเนี่ยสิ
![DSCF0719.jpg](https://i1.wp.com/farm4.staticflickr.com/3799/9795213526_669d9335f0_c.jpg?resize=584%2C390)
เทียนเล่มเล็กๆ เมื่ออยู่รวมกัน ทุกอย่างก็สว่างไสวได้
สถานที่: วัดพระปฐมเจดีย์ นครปฐม
และกล้องเปลี่ยนเลนส์ได้ มันจะสนุกอะไร ถ้าไม่ค่อยมีเลนส์ให้เปลี่ยน? ไม่เพียงแต่ Firmware ใหม่เท่านั้น Fujifilm ยังค่อยๆ ทะยอยออกเลนส์ตัวใหม่ๆ ออกมาเรื่อยๆ หลายต่อหลายตัวด้วยกัน ทั้งแบบ Prime และแบบ Zoom ซึ่งผมก็ได้จัดเพิ่มมาอีก 2 ตัวก็คือ 18-55mm f/2.8-4 (เทียบเท่า 28-80mm) และ 55-200mm f/3.5-4.8 (เทียบเท่า 80-300mm) ซึ่งทำให้ผมใช้งานมันในระยะเทเลโฟโต้จริงๆ ได้เป็นครั้งแรก ทำให้สนุกขึ้นมากมาย
ตอนนี้ผมรู้สึกจริงๆ ว่าขาดเลนส์แบบ Ultra-Wide อีกตัวเดียว X-Pro1 ก็จะกลายเป็น “กล้องตัวหลัก” ที่ผมเอาไปใช้งานในการไปเที่ยวที่ต่างๆ แทน D800 ได้ทันที! (จริงๆ แล้วมี 14mm f/2.8 ซึ่งเทียบเท่า 21mm นะ แต่ยังไม่จัด เพราะว่ารอ 10-24mm f/4 ซึ่งเทียบเท่า 15-35mm ดีกว่า ตาม Roadmap แล้วออกปลายปี)
Firmware ใหม่ๆ มันทำให้ความรู้สึกที่มีต่อ “ตัวกล้อง” และเลนส์ใหม่ๆ ทำให้ความรู้สึกที่มีต่อ “ระบบ” มันเปลี่ยนไปขนาดนั้นแหละครับ
![DSCF0412.jpg](https://i1.wp.com/farm4.staticflickr.com/3682/9768233665_a098875aa7_c.jpg?resize=584%2C390)
เจดีย์ริมน้ำ วัดปรมัยยิกาวาส เกาะเกร็ด
แต่ข้อเสียหลายข้อก็ยังไม่ได้แก้นะ เช่นเรื่อง Auto ISO หรือเรื่องความคลาดเคลื่อนของ OVF Frame-line ซึ่งก็หวังว่าใน Firmware รุ่นต่อๆ ไปจะแก้เรื่องพวกนี้เรื่อยๆ
ข้อมูลเพิ่มเติม: The latest information on the FUJIFILM X-Mount Lens Roadmap
คุณภาพของภาพ
นอกจากเรื่อง Construction, Handling และ Performance แล้ว เรื่อง Image Quality ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญมาก ซึ่งสำหรับเรื่องนี้ต้องบอกว่า “หายห่วง” เพราะว่าคุณภาพของภาพที่ได้จัดได้ว่า “ดีมาก” ทั้งการถ่ายทอดสีสันและความคมชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ ISO สูงๆ นั้นทำได้ดีแบบไม่น่าเชื่อ ก็ต้องยอมรับกันเลยล่ะครับว่าตอนนี้ Fujifilm มีเทคโนโลยีสำหรับ Low-Light/High ISO ที่ดีที่สุดตัวหนึ่งในตลาด
![DSCF0611.jpg](https://i0.wp.com/farm8.staticflickr.com/7400/9795825933_99eb0d7b81_c.jpg?resize=584%2C390)
ISO 4000 ไม่มีการทำ Noise Reduction แต่อย่างใด
อันที่จริงแล้วเรื่อง Image Quality นี่มีปัจจัยง่ายๆ ไม่กี่ตัวครับ คือ เลนส์ + เซ็นเซอร์ + หน่วยประมวลผลภาพ/อัลกอริทึมในการประมวลผลภาพ ซึ่งตัวหลังสุดนี่จะมีผลมากเวลาที่ถ่ายรูปเป็น JPEG ซึ่งคือรูปที่ประมวลผลเรียบร้อยแล้ว ตัวกล้องคิดและทำให้เสร็จ แต่จะมีผลน้อยลงในกรณีที่เป็น RAW
ดังนั้นในรีวิวนี้คงจะเขียนถึงได้แค่ผลจากเซ็นเซอร์กับหน่วยประมวลผลภาพเท่านั้น ปัจจัยที่อาจเกิดจากเลนส์จะไม่พูดถึงนะครับ เพราะมันไม่แฟร์กับกล้องเท่าไหร่
บทความที่เกี่ยวข้อง: [03/21/2010] RAW vs JPEG
![DSCF0091.jpg](https://i0.wp.com/farm9.staticflickr.com/8240/8556737986_350ff161f8_c.jpg?resize=584%2C390)
เป็นกล้องที่ให้ Skin-tone ของ JPEG เป๊ะมาก แบบไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม
สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนไปสำหรับ Fujifilm คือ เป็นกล้องที่ให้ภาพ JPEG ที่ดีมาก จนเรียกได้ว่าแทบไม่ต้องถ่าย RAW มาทำไฟล์เองให้เมื่อยเท่าไหร่ ผมรู้สึกว่ามันดีกว่า Nikon ด้วยซ้ำไปสำหรับเรื่องนี้ (ยิ่ง LR ยังรองรับไฟล์จาก X-Trans ได้ไม่ดีเท่าไหร่นี่ยิ่งน่าถ่าย JPEG มากขึ้นเท่านั้น)
ความสนุกอย่างหนึ่งของการถ่าย JPEG ก็คือ การใช้ Creative Mode หรือ Color Mode ต่างๆ ในภาพ ซึ่งสำหรับ Fujifilm ก็เรียก Mode พวกนี้ว่า Film Simulation ว่าจะให้มันออกมาเหมือนกับฟิล์มรุ่นไหนของ Fujifilm เอง แทนที่จะเรียกว่า Standard, Vivid, Portrait/Neutral อะไรเหมือนชาวบ้าน ก็เรียกมันว่า Provia, Velvia, Astia อะไรพวกนี้ซะ แถมยังมีการเพิ่ม Mode พวกนี้เข้ามาใน Firmware รุ่นหลังๆ อีก (พักหลังๆ ผมใช้แต่ PRO Neg. Hi. นะ ชอบสีสันและ Contrast จาก Mode นี้มากที่สุดล่ะ)
![DSCF0401.jpg](https://i2.wp.com/farm8.staticflickr.com/7347/9795211196_32a8cafa25_c.jpg?resize=584%2C390)
ผึ้งในดอกบัว
ความคมชัดและ Micro-contrast ต่างๆ จัดว่าทำได้ดี ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าการออกแบบเซ็นเซอร์แบบไม่ต้องมี AA filter เนี่ยแหละ ที่ให้มิติภาพมันดีขึ้น แต่เรื่องของข้อมูลสีก็ไม่ต่างอะไรจาก Bayer ปกตินะ ใช้ Interpolation จากข้อมูลแสงเหมือนเดิม
เอาเป็นว่าสำหรับเรื่องคุณภาพของภาพ ผมคิดว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงสำหรับ X-Pro1 และกล้องรุ่นอื่นๆ ของ Fujifilm ที่ใช้เซ็นเซอร์แบบเดียวกัน ใช้หน่วยประมวลผลแบบเดียวกัน รับรองว่าสีสันออกมาสวย โดยเฉพาะ JPEG ไม่ว่าจะโหมดไหนก็ตาม (เช่น Velvia จากกล้องนี้ สีจัด แต่สวยเป็นธรรมชาติกว่าโหมด Vivid จากกล้องตัวอื่นๆ เยอะ) และไฟล์ RAF RAW มีข้อมูลให้เล่นเหลือเฟือ การรองรับจาก Lightroom ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
![DSCF0218.jpg](https://i0.wp.com/farm6.staticflickr.com/5500/9795254453_6cea11d26c_c.jpg?resize=584%2C390)
นอนหล่อในบ้าน
เลนส์
ว่าจะไม่เขียนถึงเรื่องนี้แล้ว แต่ไม่เขียนสักหน่อยคงไม่ได้ เพราะว่าตอนนี้เลนส์สำหรับ Fujiflm X-Mount มันหลายหลายขึ้นเยอะเมื่อเทียบกับตอนที่กล้องเปิดตัวใหม่ๆ ที่มีเลนส์ Prime เพียง 3 ตัวเท่านั้น ตอนนี้มีเลนส์ Prime หลายตัวมากขึ้น และ Zoom อีกเพียบ ซึ่งแน่นอนว่าคุณภาพก็แตกต่างกันไปตามจุดยืนในตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ Fujifilm มีการออกตัวกล้องรุ่นๆ ใหม่ ที่วางเป้าหมายให้เป็น Entry Level ที่ราคาค่อนข้างถูก และมาพร้อมกับเลนส์ราคามิตรภาพ (แน่นอนว่าคุณภาพน้อยกว่าเลนส์รุ่นแรกๆ ตามไปด้วย เพราะมันต้อง Compromise อะไรบางอย่าง)
ที่น่าสนใจก็คือ นอกจากเลนส์ของ Fujifilm เอง ก็เริ่มจะมีเลนส์จากค่ายอื่นออกมาสำหรับ X-Mount แล้ว เป็นการสร้างทางเลือกเพิ่มขึ้น แม้ว่าตอนนี้คนทำ 3rd Party ชื่อดังอย่างพวก Sigma จะยังไม่มีการทำเลนส์สำหรับ X-Mount ออกมาก็ตาม แต่ก็มี Zeiss ที่ออกมา 2 รุ่น
![DSCF9998.jpg](https://i1.wp.com/farm9.staticflickr.com/8371/8556736640_b04459c805_c.jpg?resize=584%2C390)
พระปฐมเจดีย์ .. เลนส์ไม่กว้างก็ต้องเล่นมุมกล้อง!
สุดท้ายที่น่าสนใจ ก็คือ M-Mount Adapter สำหรับใช้งานเลนส์สำหรับ Leica M-Mount ซึ่งเนื่องจากขนาดของ X-Pro1 นั้นไม่ต่างจาก Leica M มากเท่าไหร่ เลนส์พวกนี้ก็จะมีขนาดพอดิบพอดีพอเหมาะกับตัวกล้อง แต่เนื่องจากมันต้องโฟกัสเองเท่านั้น ดังนั้นก็ต้องใช้ระบบ Focus Aid ของ X-Pro1 ซึ่งหลังจาก Firmware ตัวล่าสุด ก็มีตัวช่วยเจ๋งๆ เพิ่มมากอย่าง Focus Peaking ซึ่งทำงานได้ดี (แต่ว่าทำไมมันเปลี่ยนสีของการแสดงผลไม่ได้ฟะ) … ว่าแล้ว เดี๋ยวผมลองเอา Leica 50mm f/1.4 Summilux ASPH มาลองใส่ดูบ้างดีกว่า (ฮ่าๆ ยังไม่ได้ซื้อ Adapter เลย ลอง Peaking แต่กับเลนส์ของมันเอง)
สรุป
โอย … เป็นบทความรีวิวที่ยาวที่สุดที่เขียนมา .. แฮ่กๆ เหนื่อย
![DSCF8340.jpg](https://i0.wp.com/farm8.staticflickr.com/7331/9768229206_4b00268e92_c.jpg?resize=584%2C390)
ม่านไม้
ผมขอสรุปสั้นๆ กับ Fujifilm X-Pro1 เวอร์ชั่น Firmware 3.0 ละกันนะครับ ไม่ใช่เวอร์ชั่น Firmware 1.x หรือ 2.x ว่านี่เป็นกล้อง Mirrorless ที่ดีมาก สำหรับคนที่ชอบ Rangefinder Style (ถึงตัวมันเองจะไม่ใช่ Rangefinder ก็ตาม) คนที่ชอบถ่าย JPEG และอยากได้รูปสวยๆ จากกล้องโดยไม่ต้องแต่งมาก สำหรับคนที่อยากเปลี่ยนเลนส์ มีตัวเลือกของเลนส์มากพอแต่ไม่มากเกินไป สำหรับคนที่อยากได้กล้องเปลี่ยนเลนส์ได้เซ็นเซอร์ใหญ่ที่ไม่ใช่ DSLR และไม่ชอบการออกแบบหรือตัวเลือกเลนส์ของ Sony NEX
แต่ข้อเสียของมันก็ยังมีเยอะแยะครับ คือ แม้ว่า Autofocus มันจะดีขึ้นเยอะ แต่มันก็แค่ “ดีขึ้นเยอะ” ยังด้อยพอควรเมื่อเทียบกับตัวอื่นๆ จนเรียกว่าอาจจะทำให้หงุดหงิดได้ถ้าใช้ตัวอื่นมาก่อน (แค่อาจจะหงุดหงิดน้อยกว่าเดิม) เรียกว่า “ความอาร์ท” ในเรื่องโฟกัสกับความเอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้ก็ยังมีอยู่ รวมถึงข้อเสียจิปาถะที่พูดถึงไว้แล้ว
![DSCF8731.jpg](https://i2.wp.com/farm9.staticflickr.com/8233/8556733980_77096b1239_c.jpg?resize=584%2C390)
งานศิลปะ
ถ้าจะถามว่า “คุ้มมั้ย” … อืมมม ตอบยากมาก เพราะว่าตอนนี้สำหรับระบบนี้ก็มีตัวเลือกอื่นออกมาเยอะนะ ไม่ว่าจะเป็น X-E1, X-M1 ไม่พอยังจะมี X-A1 อีก ก็ต้องดูกันว่าอยากได้ Viewfinder แบบไหน ประสิทธิภาพการทำงานแบบไหน แล้วคู่แข่งในระบบอื่นๆ ก็ดีขึ้นเยอะแยะเช่นเดียวกัน (แต่ถ้าชอบ Style นี้ ก็มีตัวนี้แหละ ฮ่าๆ)
ทริปต่อไป ผมจะลองใช้มันเป็น “กล้องหลัก” เพียงตัวเดียวอีกครั้ง หลังจากที่มันดีขึ้นขนาดนี้ และมีเลนส์เพิ่มขึ้นขนาดนี้ (แต่แน่นอนว่า ผมยังไม่มี Ultra-Wide) แล้วดูซิว่าจะเป็นยังไง แล้วจะรายงานให้ทราบอีกทีครับ
ขอบคุณสำหรับรีวิวครับ ไฟล์ภาพมันสวยจริงๆ ครับ ถ้าใช้กับเลนส์แมนนวลโฟกัส สามารถเช็คโฟกัสผ่าน OVF ได้ไหมครับ ขอบคุณครับ
เอ อันนี้ผมยังไม่เคยลองแฮะ ตอนนี้ Adapter ไม่อยู่กับตัวซะด้วยสิ เดี๋ยวได้กลับมาแล้วจะลองให้นะครับ :D