My Leica Story [2]: The M9

ความเดิม: My Leica Story (Part 1): The M8

หลังจากที่ได้ M8 มาไม่นานเท่าไหร่นัก Leica ก็ทำสิ่งที่พวกเขาบอกมาตลอดว่า “ทำไม่ได้” หรือแม้แต่ “เป็นไปไม่ได้” สำเร็จ นั่นก็คือ Full Frame Digital M ซึ่งแน่นอนว่าจะกลายมาเป็นรุ่นต่อจาก M8 และใช้ชื่อว่า M9​ โดย Leica เลือกวันเลขสวยมาก คือ 09/09/09 ในการประกาศตัว

แต่ด้วยความที่ตอนนั้นเพิ่งจะแทบหมดตัวกับการได้ M8 มาไม่นานนัก แถมยังรู้สึกว่ามันโคตรห่วย ถ่ายยังไงก็ไม่สวย (อ่านรายละเอียดเรื่องนี้ได้จากบทความตอนที่แล้วตาม Link ด้านบน) ทำให้ผมค่อนข้างจะไม่สนใจมันเท่าไหร่ แต่พอเห็นรูปจากที่คนอื่นที่เค้าลองใช้คนแรก ถ่ายกัน อืมมม สวยนะ เอ .. เราเอามาใช้จะถ่ายสวยกว่า M8 มั้ยนะ (ตอนนั้นยังหวังพึ่งอุปกรณ์อยู่) แต่ก็คงเหมือน M8 มั้ง ที่ดูคนอื่นถ่ายสวยหมด แต่ตัวเองถ่ายไม่ได้เรื่อง ใช้ Nikon ต่อไปดีกว่า .. ทำให้กว่าผมจะได้เล่นมันจริงๆ น่ะอีกนานเลย … หลังจากที่ “ผมเปลี่ยนไป” แล้วน่ะแหละ


Leica M9 Body

Leica M9 … รูปถ่ายโดยเจ้าของเก่าของกล้องตัวนี้

เช่นเดียวกับตอนแรกของซีรี่ส์นี้นะครับ … นี่ไม่ใช่ “รีวิว” ถ้าไม่ชอบบทความอารมณ์ “เล่าเรื่องราว” ก็ข้ามไปนะครับ อย่ากดเข้าไปอ่านต่อ :-)


Disclaimer เกี่ยวกับรูปถ่าย: ทุกรูปที่ลงในบทความนี้ ไม่มีรูปไหนที่ “จบหลังกล้อง” ทุกรูปถ่ายเป็น RAW และมีการทำต่อใน Lightroom เพื่อให้เห็นผลจากการใช้งานจริงในแบบ Real-World Usage ไม่ใช่เน้นแบบ Lab-Test รูปทั้งหมดสามารถดูรูปใหญ่ได้ที่ Flickr ซึ่งผมลงไว้ที่ Photoset: [Compilation] Leica M8/M9 อยากรู้ว่าภาพไหนใช้ตัวไหนถ่าย ดูข้อมูลได้จากลายน้ำในรูปเลยครับ ซึ่งสำหรับ Photoset บน Flickr นั้นจะมีการลงรูปเพิ่มเติมเรื่อยๆ ด้วยครับ


Leica M8.2: The Camera I Didn’t Even Care

ก่อนจะพูดถึง M9 นี่คงจะต้องพูดถึง M8.2 สักหน่อย …. เมื่อเดือนกันยายน 2008 Leica ก็ประกาศกล้องรุ่นใหม่คือ “M8.2” ออกมา จริงๆ แล้วรุ่นนี้เป็นเหมือนกับรุ่น “อัพเกรด” ของ M8 มากกว่าที่จะเป็นรุ่นใหม่นะ เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงมันอยู่ใน M8 Upgrade Program ที่ประกอบด้วย Shutter ใหม่ที่ทำงานเงียบขึ้นนิดหน่อย (แต่เสียความเร็วสูงสุด 1/8000s ไป เหลือแค่ 1/4000s) ใช้กระจก Sapphire บนจอ LCD ด้านหลัง (ความละเอียดต่ำเหมือนเดิม) และมี Frame Lines ที่แม่นขึ้นเมื่อเทียบกับ M8

นอกนั้นเหมือนเดิมหมด …. อ่อ รุ่นสีดำเปลี่ยนจาก Black Chrome เป็น Black Paint แล้วเปลี่ยน Texture เป็น Vulcanite กับจุดแดงเป็นจุดดำแทน … แฟนๆ Leica หลายคนอาจจะรู้สึกว่ามันคุ้มกับการเปลี่ยนแปลง (หลายคนบอกว่าแค่เสียงชัตเตอร์ก็คุ้มแล้ว) หลายคนรู้สึกว่ามันไม่คุ้ม อันนี้ก็สุดแล้วแต่ …. แต่สำหรับผม มันไม่อยู่ในความสนใจเลยแม้แต่น้อย


L9993305.jpg

ควันธูป

Little Bit About the M9

ความแตกต่างระหว่าง M9 กับ M8 นั้นจริงๆ แล้วมีไม่เยอะเท่าไหร่ (โดยเฉพาะจากมุมของผู้ใช้งานที่ไม่ได้สนใจความยากของเทคโนโลยีมากมายนัก) ก็คือ การเปลี่ยน Sensor จากตัวเดิมที่เป็น Crop Factor 1.33 มาเป็น Full Frame โดยยังคงเป็น CCD ของ Kodak เหมือนเดิม

ผลพวงจากการเปลี่ยน Sensor ก็คือเมื่อพื้นที่มันเพิ่มขึ้น ถ้าใช้ “ขนาดพิกเซล” เท่าเดิม ก็จะได้จำนวนพิกเซลที่เพิ่มขึ้นโดยปริยาย ดังนั้นจึงทำให้ M9 มีความละเอียดเพิ่มขึ้นเป็น 18MP (M8 มี 10MP) โดยมีขนาดพิกเซลเท่าเดิม และเนื่องจากเทคโนโลยีเรื่องการจัดการแสงที่ดีขึ้นทำให้ Sensor ตัวใหม่นี้มี ISO Performance ที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับ M8 ประมาณ 1 Stop (อะไรที่เคยเป็นยังไงที่ ISO 320 จะเป็นยังงั้นที่ 640 และอะไรที่เคยเป็นที่ 640 จะเป็นที่ประมาณ 1250)

ที่ดีที่สุดก็คือ การที่ M9 sensor มี IR filter สักที …​ ทำไห้ไม่ต้องพึ่งพา IR-cut filter บนเลนส์อีกแล้ว (ไชโย!!!)


L9993285.jpg

นอนเล่นในออฟฟิศตอนกลางคืน

การเปลี่ยนแปลงนอกจากนั้นก็คือ ใช้ Shutter ตัวเดียวกับ M8.2 ซึ่งจะเงียบกว่า M8 อยู่เล็กน้อย ส่วนจอด้านหลังเป็นแบบ M8 คือไม่ได้ใช้กระจก Sapphire แล้วก็ยังมีขนาดเล็ก และความละเอียดต่ำเหมือนเดิม (ต่ำขนาดที่ว่าเอาไว้ตรวจสอบรูปไม่ได้ว่าโฟกัสตรงมั้ย Highlight หรือว่า Shadow เป็นยังไง ฯลฯ เหมือนเดิม) ที่ต่างไปหน่อยเดียวคือว่ามันเป็น “Brighter Output Display” ก็คือแสดงผลได้สว่างกว่า แค่นั้นแหละ

ผมไล่อ่านรีวิวบนเว็บเช่นเคย ทั้ง Review, Hands-On, Impression, ฯลฯ เท่าที่จะอ่านได้ ก็เห็นว่าคนที่ซื้อไปใช้ส่วนมากจะพอใจกับมันมาก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ M8 แต่ผมก็มีความรู้สึกว่า “ก็แหงสิ ซื้อไปตั้งแพง ก็ต้องรู้สึกแบบนั้นอยู่แล้ว เป็น Self-Justification” มากกว่าที่จะเห็นว่ามันดีกว่าจริงๆ เพราะว่าความแตกต่างกันมีแค่นั้นจริงๆ ถ้าดูตาม Spec

แต่ก็ไม่รู้ทำไมนะ ทั้งๆ ที่คิดแบบนั้นจริงๆ ก็ยังอ่านมาเรื่อยๆ ตลอด


L1000272.jpg

On Shoulder of a Giant

The Turning Point

ตั้งแต่ผมเริ่มใช้ M8 จริงจังมากขึ้น และเริ่มได้รูปที่เรียกว่า Personal Keeper จากมันมากขึ้น ทำให้ผมเริ่มกลับมามอง M9 อีกครั้ง แต่ว่าก็ไม่ได้สนใจจะซื้อจริงจังเท่าไหร่ เพราะว่าราคามันสูงเกินไปสำหรับผม ประกอบกับมีกล้องตัวอื่นๆ ที่ออกแบบสไตล์โบราณออกมาเรื่อยๆ จนเรียกว่า ถ้าแค่ชอบการออกแบบสไตล์โบราณล่ะก็ มีทางเลือกอื่นเยอะแยะไป (และผมก็เล่นทั้ง Fujifilm X100, X-Pro1 น่ะแหละ ซึ่งใช้แล้วก็ Happy นะ … แต่ความรู้สึก “ไม่จบ” ยังไงไม่รู้)

จนกระทั่ง Leica ประกาศกล้องใหม่ 3 รุ่น คือ

  1. M-Monochrom ซึ่งก็คือ M9 เวอรชั่นขาวดำเท่านั้น (เอา Bayer Color Array ออกจาก Sensor ทำให้ได้รายละเอียดของแสงและความไวต่อแสงสูงสุดเท่าที่เป็นไปได้สำหรับ Sensor ตัวนั้น) และขายในราคาที่สูงมาก (Less is More จริงๆ ให้ตายเถอะ) สังเกตว่าคำว่า Monochrom สะกดแบบเยอรมัน ไม่ใช่ Monochrome แบบที่เราคุ้นเคยกัน
  2. M ซึ่งก็คือ M รุ่นใหม่ โดยสำหรับตัวนี้มีตัวเลขระบุรุ่นว่า “240” (Typ 240)
  3. M-E หรือ M-Entry Level ซึ่งก็คือ M9 เอามาเปลี่ยนชื่อโมเดลใหม่ ตัดความสามารถออกเล็กน้อย ทำสีใหม่ก็คือ Anthracite Gray (ซึ่งผมยังไม่เคยเห็นของจริงว่าเป็นไง เท่าที่เห็นจากรูปไม่ค่อยจะโดน) และวาง Position ในตลาดใหม่ ให้กลายเป็น Entry Level สำหรับคนเล่นระบบ Leica M และใช้ตัวเลขระบุรุ่นว่า “220” (Typ 220)


L9993304.jpg

ดอกไม้ในวัด

สังเกตว่า Leica ได้เปลี่ยนรูปแบบของการเรียกชื่อรุ่นกล้องจาก “โมเดล+รุ่น” เหลือแค่ “โมเดล” อย่างเดียวเท่านั้น ดังนั้นจะไม่มี M10, M11, M12 แล้ว จะมีแค่ M (และ M-Monochrom, M-E) เท่านั้น และจะใช้ตัวเลขระบุรุ่นแยกต่างหากแทนที่จะเป็นส่วนหนึ่งของชื่อรุ่น (เหมือนกับรถยนต์ Camry ก็คือ Camry, Accord ก็คือ Accord แต่จะปีอะไร จะไมเนอร์เชนจ์อะไร นี่อีกเรื่อง)

สำหรับการแบ่งไลน์ M กับ M-E นั้นความเข้าใจของผมคือ Leica กำลังทำแบบ Apple คือ เมื่อออก iPhone รุ่นใหม่ ตัวท็อปรุ่นเก่าก็จะลงมากลายเป็น Entry Level ดังนั้นเมื่อ M รุ่นต่อไป (อาจจะเป็น Typ 260) ออกมา รุ่น 240 ก็จะกลายเป็น M-E แทน


L1000200.jpg

เจ้าอ้วนนอนกินข้าว

ที่มันทำให้อะไรเปลี่ยนไป ก็เพราะว่ามันทำให้กล้องระดับ M9 ราคาต่ำลงมาให้พอจะสัมผัสได้มากขึ้น และเนื่องจากจะมีรุ่นใหม่ออกมา ก็ทำให้คนเริ่มกลับมาปล่อยรุ่นเก่าออกมามากขึ้น ทำให้ผมเริ่มกลับมามองมันอีกครั้ง (เรื่องของหัวใจ สมองสั่งการเท่าไหร่ก็เท่านั้นแหละ) ประกอบกับการที่ใช้ M8 มากขึ้นในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา

แต่แทนที่จะเล่น M-E ตัวใหม่เลย ผมกลับทำเหมือนเดิม ก็คือมองหา M9 Steel Gray มือสองสภาพดีจากเว็บเดิม (ก็ชอบสีนี้อ่ะ) ซึ่งแม้ว่าจะมีคนปล่อยเป็นระยะๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะหาได้ง่ายนัก เหตุผลส่วนหนึ่งก็คงจะมาจากการที่ M (240) เปลี่ยนจาก Sensor แบบ CCD ไปเป็น CMOS ซึ่งทำให้ภาพที่ได้ดูแตกต่างออกไปจาก M9 และส่วนหนึ่งมาจากการที่ M (240) ยังไม่ค่อยจะมีของเท่าไหร่ รอคิวกันยาว … หลายคนที่มี M9 อยู่ก็เลยตัดสินใจเก็บไว้ใช้ต่อไป

ส่วน M (240) น่ะเหรอ บอกตรงๆ ว่า สมองผมก็สั่งให้คิดเหมือนกับตอนที่ M9 ออกใหม่ๆ ล่ะ คือ “สนใจนะ … แต่ …. อย่าดีกว่า”


L9993345.jpg

แมววัด

The M9

ผมก็เริ่มนั่งขุดกระทู้ขายของเก่าๆ ในเว็บ เจอกระทู้ไหนขาย Leica M9 ในสภาพที่ดี ราคาที่ดีสมกับสภาพ ที่ยังขายอยู่ ก็จะลองติดต่อไป และวันหนึ่งผมก็โชคดี ที่เจอกระทู้เก่าที่เปิดไว้หลายเดือน และถูกฝังไว้ลึกมาก (เพราะกระทู้ในเว็บนั้นวิ่งเร็วมาก วันหนึ่งๆ หลายสิบกระทู้ อาจจะเป็นร้อย) และแล้ว ผมก็ได้ M9 Steel Gray สภาพสวยมาก เจ้าของเก่าถ่ายไปประมาณ 2,000 รูปเท่านั้นเอง มาเล่นตัวหนึ่ง

ด้วยความที่มันแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจาก M8 เลย ตอนที่ลองใช้และถ่าย M9 ก็รู้สึกเลยว่ามันเหมือนกับ M8 แบบไม่มีความแตกต่าง (ยกเว้นเสียง Shutter ที่เปลี่ยนไปแบบรู้สึกได้ แต่ก็ยังไม่เพราะเท่าไหร่) ถ้าใช้ตัวนึงเป็นอยู่แล้วก็จะใช้อีกตัวนึงได้ทันที การปรับตัวอะไรนี่แทบจะเท่ากับศูนย์เลย เว้นแต่ว่าเลนส์จะมี FoV ที่ไม่ต้องคูณอะไรทั้งสิ้นเท่านั้น


L1000050.jpg

Flowers, flowers on the wall. Which’s the fairest of them all?

นั่นแปลว่า อะไรที่ M8 มันห่วยก็อย่าไปหวังมากว่า M9 จะพัฒนาขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง LCD ด้านหลัง ที่ยังคงเล็กที่ความละเอียดต่ำมาก ใช้ทำอะไรไม่ได้นอกจากตรวจสอบ Composition อย่างเดียวเท่านั้นเหมือนเดิม (ตอน M8 ออกมาในปี 2006 น่าจะยังพอรับได้ แต่การลากเอา LCD ตัวนี้มาใช้ถึง M9 ในปี 2009 และแย่กว่านั้นคือ M-E และ M-Monochrom ในปี 2012 นี่เป็นอะไรที่โหดร้ายมาก เทียบกับกล้องคอมแพคทั่วไปยังให้จอความละเอียดสูงกว่านั้นมาเลย)

ส่วนเรื่อง Shutter ที่เปลี่ยนจาก Metal Blade แบบ M8 มาเป็นแบบ Quiet Metal Blade แบบ M8.2 จริงๆ แล้วมันเป็น ​Trade-Off นะ คือในขณะที่เสียงมันเงียบขึ้น แต่พอมันใช้ความเร็วสูงสุดได้แค่ 1/4000s เทียบกับ M8 ที่ 1/8000s นี่เรื่องใหญ่กว่าที่คิด เวลาที่อยากใช้เลนส์พวกไวแสงแบบ Wide-Open ตอนแสงเยอะๆ และไม่มี ND Filter


L9993335.jpg

นั่งเล่นในวัด

มีเรื่องหนึ่งที่ไม่ชอบนะ คือการย้ายการแสดง Battery และจำนวนรูปที่ยังถ่ายได้ ไปไว้ในจอด้านหลัง ที่จะต้องกดปุ่มเข้าไปดูถึงจะเห็น แทนที่จะเอาไว้ในจอเล็กๆ ด้านซ้ายบนเหมือนเดิม แต่มันก็ทำให้แสดงรายละเอียดต่างๆ ได้มากขึ้นและแม่นขึ้น (ผลพลอยได้ก็คือ ทำให้รูปทรงมันสวยขึ้นนิดหน่อย ดู Balance กันมากขึ้น)

ระบบการวัดแสงเปลี่ยนไปเล็กน้อยจาก M8 ถึงจะยังคงเป็น Center Weight เหมือนเดิม แต่แทนที่จะใช้การวัดแสงที่สะท้อนจากแถบสีขาวบนม่านชัตเตอร์ ก็มีการปรับปรุงให้เป็นแถบสีขาวและแถบสีเทา ก็เลยวัดแสงได้ละเอียดขึ้นอีกนิดหน่อย


L9993338.jpg

จีวร

มันมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยอีกหลายจุด เช่น เรื่องของ Frame Lines ที่เปลี่ยนระยะไปเล็กน้อย การที่ใช้ Exposure Bracketing ได้ หรือการที่ปรับการชดเชยแสงได้จาก Dial ด้านหลัง แทนการเข้า Menu อย่างเดียวเหมือนก่อน แต่ตัว Dial นี้ค่อนข้างหมุนยากนะ ก็รู้สึกว่ามันไม่ค่อย Practical เท่าไหร่ (จริงๆ แล้วชอบ Dial แบบ Dedicated เลยอย่างพวก Fujifilm X100, X-Pro1 มากกว่านะ อันนั้นจะเห็นชัดเลยว่าตอนนี้กำลังชดเชยแสงเท่าไหร่)

สุดท้ายก็คือการอัพเกรดหน่วยประมวลผลในกล้อง จาก Single Processor เป็น Dual Processor ก็แน่นอนล่ะที่ควรอัพเกรด เพราะปริมาณข้อมูลที่จะต้องประมวลผลเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว (จาก 10MP เป็น 18MP) ถ้าไม่เพิ่มกำลังการประมวลผลตามแบบสมน้ำสมเนื้อ มีหวังอืดแน่นอน (กดดูรูปนานขึ้น สร้าง Preview รูปนานขึ้น บันทึกภาพนานขึ้น ฯลฯ)


L1000249.jpg

ยกระดับคุณภาพชีวิต

M9’s RAW

แต่เมื่อเอารูปจาก M9 มานั่งดูในคอมและลองนั่งทำเท่านั้นแหละ ถึงกับบ่นกับตัวเองเลยว่า “รู้งี้กัดฟันเล่นนานแล้ว” เพราะว่าผลที่ได้มันดีกว่า M8 เยอะเอาเรื่องอยู่ ไม่ใช่ว่า M8 ให้คุณภาพที่ไม่ดีนะ อันที่จริงแล้วรูปจาก Sensor โบราณที่ปัญหาเพียบอย่าง M8 นี่เซอร์ไพรส์ผมมาหลายครั้งต่อหลายครั้งแล้ว … แต่ว่าผมชอบผลที่ได้จาก M9 มากกว่า รู้สึกว่าเหนื่อยน้อยกว่าในตอนทำไฟล์ และที่สำคัญ “สี” ของมันนี่เรียกได้ว่า โดนอย่างแรงๆ

อันที่จริงอันนี้เป็นเรื่องความชอบส่วนบุคคลมากกว่าที่จะบอกว่าอันไหนดีกว่าอันไหนนะ เพราะว่า Color Profile ของ M9 และ M8 มันไม่เหมือนกัน สีที่ได้ดิบๆ จากกล้องมันก็เลยออกมาไม่เหมือนกัน คนที่ชอบสีแบบ M8 มากกว่า M9 ย่อมมีเป็นเรื่องปกติแน่นอน … เท่าที่เห็นง่ายๆ คือ M9 สีจัดกว่า และ Contrast โดดกว่า M8 ค่อนข้างจะเยอะอยู่


L1000062.jpg

รูปจาก M9 … ที่เมื่อเทียบกับ M8 แล้วตกใจเหมือนกัน
รูปนี้ไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติมเลยแม้แต่อย่างเดียว จบหลังกล้อง แล้ว Convert ใน Lightroom

นอกจากนั้น Default Profile ใน Lightroom (Adobe Standard) ให้สีหลายอย่างที่ผมชอบเลยล่ะ โดยเฉพาะการแสดงสีโทนแดงหรือ Red Channel รวมถึง Skin Tone

อีกเรื่อง ก็คงจะเป็นการที่มันทำให้ผมได้ใช้เลนส์ 50mm f/1.4 Summilux คุ้มเสียที ด้วยความที่ผมเป็นพวก “50mm Guy” แต่ใช้เลนส์ตัวนี้กับ M8 แล้วมันได้ระยะ 67mm เลยต้องใช้ 35mm f/2.5 Summarit เป็นตัวหลักสำหรับ M8 เพราะว่ามันได้ระยะ 47mm (ทำไมไม่สอย 35mm f/1.4 Summilux คำตอบง่ายๆ คือ “แพงเกิ๊น” และ “สักวันผมจะใช้ Full Frame ดังนั้น 35mm ก็จะไม่ค่อยได้ใช้)


L1000010.jpg

น้องในออฟฟิศกำลังทดสอบแอปที่เขียนอยู่

แล้วผมก็มีความสุขกับมันได้ระยะหนึ่ง จนกระทั่ง …​ เจอ “จุด” บนภาพที่ถ่ายออกมา

The Sensor Problem

ตอนแรกก็คิดว่าเป็นฝุ่นที่ Sensor เพราะเป็นเรื่องปกติของกล้องเปลี่ยนเลนส์ได้ที่ฝุ่นจะเข้าไป ก็เลยลองเป่าลมดู … ปรากฏว่ามันก็ยังเป็นอยู่นิดหน่อยแฮะ ลองเอาไปให้ร้านที่ขาย Leica เยอะๆ (ร้านดังย่านบางรักแหละ) ทำความสะอาดให้ดีกว่า พาไปทั้งสองตัวทั้ง M8 M9 เลยละกัน แต่พอไปถึงที่ร้าน น้องที่รับกล้องส่อง Sensor ดูแล้วบอกทันทีว่า “M9 นี่อาจจะไม่ออกนะครับ Sensor อาจจะลอกครับ”

ห๊ะ? Sensor ลอก? มีด้วยเรอะ เพิ่งจะเคยได้ยินเนี่ยแหละ ระหว่างที่รอรับกล้อง ก็เลยหาร้านกาแฟนั่งหาข้อมูลดู พบว่า M9 นี่ Sensor มีปัญหาเยอะเหมือนกันแฮะ ซึ่งเป็นปัญหาคนละแบบกับ M8 เพราะว่าเจ้า M9 นี่มีทั้งลอกทั้งร้าว (ผมเข้าใจว่าที่ลอกคือพวก Filter Layer บางตัวของ Sensor นะ แต่ไม่แน่ใจ เพราะว่าตัว Sensor ยังเป็นปกติดีอยู่ — แต่กรณีร้าว นี่แตกร้าวเลย)

พอไปรับกล้อง ก็เป็นไปตามคาดครับ ลอกจริง … ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ความผิดของเจ้าของกล้องเก่านะครับ เพราะเอามาใช้แรกๆ ยังไม่เจอ แต่ใช้ๆ ไปแล้วมันดันเจอ ยิ่งเป่าฝุ่นออกยิ่งลอกซะด้วย จากข้อมูลที่ได้รับมานี่โหดร้ายครับ เป็นปัญหาที่ระดับการออกแบบเลยด้วยซ้ำ ไม่ใช่ระดับการสร้างหรือการประกอบ Sensor ด้วย หลายคนถึงกับบอกว่า M9 ต้องเจอปัญหา Sensor อยู่แล้ว เพียงแต่จะเจอแบบไหน จะช้าจะเร็ว เท่านั้นเอง


L1000269.jpg

คลอง-Scape กันซะหน่อย

โคตรซวยเลย ฮ่าๆ เอาไงดี … เห็นทางร้านบอกว่าซ่อมได้ไม่เสียค่าใช้จ่าย เพราะว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทาง Leica ยอมรับว่ามีปัญหาจริง แต่ต้องส่งไปเปลี่ยนที่สิงคโปร์ และช่วงนี้ “เซ็นเซอร์ขาดสต๊อก” หรือว่าจะเอากลับไปใช้ก่อนก็ได้ เพราะว่าซ่อมก็ใช้เวลานานอีกเช่นเคย (คราวก่อนส่ง M8 ไปเยอรมันใช้เวลา 4 เดือน คราวนี้ไม่รู้จะใช้เวลาเท่าไหร่ เพราะทางร้านบอกว่าหลายคนส่งไปก่อนหน้านี้ยังไม่ได้เปลี่ยนเลย)

ก็เลยตัดสินใจเอากลับมาใช้ก่อน คิดว่าถ่ายที่รูรับแสงกว้างๆ ไปก็ไม่เห็นอะไรมากมั้ง น่าจะได้อยู่ แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้เป็นงั้นแฮะ (มันร้ายกาจกว่าฝุ่นเยอะ) รูรับแสงกว้างแค่ไหนก็เห็นอยู่ดี แต่จะเห็นมากเห็นน้อย เห็นชัดเห็นเบลอนี่อีกเรื่อง แถมขนาดของมันก็ใหญ่กว่าฝุ่นมากมายอยู่ ทำให้ใช้รู้รับแสงแคบกว่า f/2.8 แทบไม่ได้เลย (โหดร้าย T_T)

สุดท้ายก็ต้องเอาไปส่งซ่อม พร้อมกับรอฟังข่าวดี …. อาจจะต้องรอครึ่งปี (ฮ่าๆ)


L1000168.jpg

เตรียมเดินทางไกล

ก็เป็นข้อมูลสำหรับคนที่จะเล่น M9 หรือ M-E (ซึ่งก็คือ ​M9 เปลี่ยนชื่อ) นะครับ ต้องทำใจครับ ถ้าจะซื้อมือสองก็ต้องตรวจสอบก่อนว่ามีปัญหานี้หรือไม่ เท่าที่เห็นคนที่โพสท์ขาย M9 กันตอนนี้หลายคนก็จะบอกข้อมูลตรงนี้เพิ่มเติมด้วย (ถ้าวันหนึ่งข้างหน้าผมขายตัวนี้ ก็มั่นใจได้เลยครับว่าเปลี่ยนมาแล้วแน่นอน ฮ่าๆ ฮือๆ)

The Decision

ตอนแรกก็คิดว่าจะเอา M8 มาใช้ไปจนกระทั่งเจ้า M9 กลับมา แต่หลังจากที่เอามาใช้ได้สักอาทิตย์หนึ่งก็รู้สึกแปลกๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับข้อจำกัดเรื่อง IR Sensitivity ซึ่งทำให้ผมใช้ได้แต่เลนส์ที่มี IR filter บนเลนส์เท่านั้น แล้วก็ Crop Factor 1.33 ทำให้ที่ระยะ 50mm ซึ่งเป็นระยะที่ผมชอบที่สุดนั้น ผมมี 35mm f/2.5 Summarit เท่านั้น เทียบกับการได้ใช้ 50mm f/1.4 Summilux ในระยะนี้บน M9 … ไม่พอ การที่ M9 ทำให้ผมกล้าใช้ ISO 800 หรือว่าแม้แต่บางครั้งที่ ISO 1000 ได้ ทำให้อึดอัดมากเวลากลับมาใช้ M8 (ส่วนหนึ่งเพราะโดน Spoil จาก ISO3200, 6400 จากพวก Nikon, Fujifilm ด้วย)


L9993297.jpg

เดินเล่นในมหาวิทยาลัยศิลปากร

ผมตัดสินใจล่ะ ว่าผมจะต้องหา M9 มาใช้อีกตัวหนึ่ง ซึ่งทางเลือกของผมมีง่ายๆ อยู่แค่ 2 ทาง คือ

  1. M-E ตัวใหม่ เพราะมันคือ M9 ที่ตัดความสามารถบางอย่าง (ที่ผมไม่สนใจ) ออก แล้วก็เปลี่ยนสี แล้วพอ M9 ตัวนั้นกลับมาค่อยเลือกว่าจะปล่อยตัวไหน
  2. หา M9 มือสองอีกตัวหนึ่งมาใช้งานก่อนแบบไม่สนใจสภาพ สนใจราคาอย่างเดียวให้มันถูกหน่อย แล้วพอ M9 ตัวนั้นกลับมาก็ปล่อยตัวนี้ไป

แต่ความคิดหนึ่งที่เริ่มโผล่เข้ามาในหัวทีละนิดๆ ก็คือ “แล้ว M (240) ล่ะ?” ด้วยความคิดนี้ก็เลยลองไปเล่น M (240) ที่อยู่ที่บูธ Leica ที่เกษรพลาซ่า ก็ไม่ได้ลองอะไรมาก และแน่นอนว่า สภาพแวดล้อมในนั้นไม่ได้เหมาะกับการลองถ่ายรูปเล่นเท่าไหร่ด้วย (Memory Card ของตัวเองก็ไม่ได้เอาไป จะเอารูปกลับมาดูที่บ้านก็ลำบาก)


L9993301.jpg

Cloud Wave

สิ่งที่ตกใจสำหรับ M (240) ก็คือ “คิวรอ” เพราะว่าเท่าที่รู้และถามมากับทุกร้านที่ขาย Leica ก็คือ ต่อคิวกันยาวมาก ร้านหนึ่งบอกว่ามีเกิน 30 คิว และได้กล้องมาเดือนละ 1-2 ตัวเท่านั้น ส่วนบูธ Leica ที่เกษรบอกว่าต้นปีหน้าก็คงไม่ได้ แต่ไม่ได้บอกว่าจะนานขนาดไหน (ก็เข้าใจว่ามันประมาณกันลำบาก)

แต่ช่างมันเถอะ เพราะไม่ได้สนใจ M (240) อยู่แล้ว สำหรับผมแค่ M9 ก็พอแล้ว (และชอบภาพจาก M9 มาก)

ผมก็เลยกลับมาอยู่กับทางเลือก 2 ทางที่ผมมีตอนนั้น และเท่าที่ถามร้านประจำ (สำหรับ Leica และ Fujifilm นะ สำหรับ Nikon ซื้อร้านประจำอีกร้าน) ว่ามี M-E มั้ย สรุปว่า “มี” แต่ผมไม่มีเวลาไปดูเลย ระหว่างนั้นก็คอยดูกระทู้ขายของที่เว็บเดิมต่อไป ว่าจะมี M9 ราคาถูกปล่อยบ้างไหม รวมถึงขุดกระทู้เก่าๆ ด้วย เผื่อฟลุ๊ค เพราะว่าอันที่จริงแล้วทางเลือก 2 ทางนั้นมันก็พอกันแหละ

และแล้วผมก็ฟลุ๊ค … เรียกได้ว่าโคตรฟลุ๊คเลย


L1000187.jpg

หมาตัวโปรดของพ่อตา

The Decision II: Lucky Draw

ผมเจอกระทู้ขาย M9 มือสอง สภาพน่าจะพอใช้ได้ ราคาปล่อยถูกมากกกกกก (สำหรับมาตรฐานมันนะ) โพสท์เอาไว้ตั้งแต่เดือนเมษายน แต่ยังไม่ปิดกระทู้ … ซึ่งส่วนมากจริงๆ กระทู้ในนั้นถ้าขายไปแล้วปกติเจ้าของกระทู้จะมาแจ้งปิดกระทู้ แต่ก็มีหลายกรณีเหมือนกันที่ไม่ได้แจ้ง (เท่าที่เคยลองติดต่อมา ครึ่งๆ ของกระทู้ที่เก่ามากๆ แต่ยังไม่ปิด .. คือขายไปแล้ว แต่ลองติดต่อไปก็ไม่มีอะไรเสียหาย ตอนที่ซื้อ M9 ตัวแรกก็แบบนั้น)

ผมส่ง SMS ไปหาเจ้าของกระทู้ พร้อมกับถามว่า M9 ที่เคยโพสท์ไว้ขายไปหรือยัง ซึ่งก็ได้คำตอบที่ผมคาดเอาไว้แล้วล่ะว่า “ขายไปแล้วค่ะ” …


L1000044.jpg

นั่งเล่น & นอนเล่น

แต่ข้อความหลังจากนั้นเนี่ยสิ ทำให้ผมตกใจแทบจะขยี้ตาอ่าน “แต่มีตัวใหม่ค่ะ Leica M240 สีเงิน เป็นตัวใหม่ สนใจไหมคะ”

ตกใจครับ ของที่เค้ารอคิวซื้อกันยาวเหยียด ถึงต้นปีหน้าไม่ก็กลางปีหน้ายังไม่แน่ใจว่าจะได้ของหรือเปล่า … ฟลุ๊คมาก! ผมรีบตัดสินใจจากความรู้สึกแบบดิบๆ “เอาวะ” แล้วก็เลยรีบตอบไปทันทีว่า “สนครับ” พร้อมกับนัดเลย

ผมได้คุยกับเจ้าของกล้องตัวจริง ซึ่งเป็นพี่ชายของคนที่โพสท์กระทู้ ทำให้ผมได้ทราบว่าเรื่องราวมันคือเค้าขาย Leica M9 ตัวนั้นแล้วก็สั่ง M (240) ไปตั้งแต่เมื่อนานมาแล้ว และสั่งไปพร้อมกันทีเดียว 2 ร้านเผื่อจะมีร้านหนึ่งได้ก่อนจะได้ยกเลิกอีกร้านหนึ่ง แต่ว่าดันได้ของพร้อมกันทีเดียว 2 ร้านจึงไม่สามารถยกเลิกได้ ก็เลยปล่อยตัวหนึ่ง …. ต้องบอกว่า “ฟลุ๊ค” มากๆ


L1000158.jpg

เพราะเราคู่กัน

ผมเล่น Leica ตรงกันข้ามกับ Nikon … กับ Nikon ผมจะค่อนข้างไวมากกับการเปลี่ยนรุ่นกล้อง (ยกเว้นกรณี Nikon 1 ไว้นะ อันนั้นยังไม่คิดจะเปลี่ยน ถ้า V3 ออกมาไม่โดนก็คงไม่เปลี่ยนจาก V1 เด็ดขาด)

แต่กับ Leica ผมกลับทำตรงข้ามกันตลอด ซื้อ M8 หลังจากมันออกมาแล้วหลายปี และรอจนกระทั่ง M9 ตกรุ่นไปแล้ว ถึงจะเริ่มหา M9 มาเล่น (ก็ไม่เชิงนะ เพราะกลายเป็น M-E แทน) … ครั้งนี้ก็น่าจะเป็นแบบนั้น จนกระทั่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเนี่ยแหละ ทำให้ผมต้องบอกตัวเองว่า “เล่นไปซะ จะได้จบไป อย่างน้อยๆ ก็จะไม่ต้องมีความรู้สึกแบบ ไม่จบ ไปอีกหลายปี”


L9993339-Edit.jpg

พระนอน
สถานที่: วัดพระปฐมเจดีย์

อย่างน้อยๆ ถ้าเล่นแล้วไม่ชอบ ก็ใช้ไปจนกระทั่ง M9 ตัวนั้นกลับมา แล้วค่อยขายตัวนี้ต่อก็ไม่น่าจะราคาตกเท่าไหร่น่า เพราะว่ามันน่าจะยังได้ M9 กลับมาก่อนที่หลายต่อหลายคนที่จองๆ M (240) กันไว้ จะได้กล้องกันด้วยซ้ำ

แล้ว M (240) จะเป็นยังไงบ้าง โปรดติดตามตอนต่อไปครับ …. To be continued …. 「つづく」


[อัพเดท] อ่านต่อที่: My Leica Story [3]: The M Typ 240 (+ Review)