ไม่ใช่รีวิว: Nikon Df

บทความนี้ “ไม่ใช่รีวิว!!!”

เป็นทางการซะที กับกล้อง Full-Frame DSLR ตัวใหม่ของ Nikon ซึ่งเพิ่งจะเปิดตัววันนี้ และทำให้หลายๆ คนน้ำลายหกด้วยความอยากได้ และอีกหลายคนส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของราคา สเปค การออกแบบ ขนาด หรือแม้แต่ว่าเพราะมันเป็น DSLR ไม่ใช่ Mirrorless แบบ Sony A7R

ชื่อเป็นทางการก็คือ “Nikon Df” ซึ่งหมายถึง “Digital Fusion” ไม่ใช่ “DF” หรือ “Digital F” (การเอากล้องรุ่น Nikon F เช่น F3 มาทำใหม่เป็น Digital) อย่างที่หลายคนคิด และคอนเซปท์ของมันเท่าที่ผมเห็นและรู้สึก มันไม่ใช่ “กล้องรุ่นใหม่ แต่ดีไซน์เก่า” แต่ค่อนข้างจะเป็น “Modernization ของกล้องรุ่นคลาสสิค” มากกว่า สองอย่างนี้ใกล้เคียงกันนะ แต่ไม่เหมือนกันซะทีเดียว …. “กล้องใหม่ ดีไซน์เก่า” มันอารมณ์ Fujifilm X100/X100s แต่ “Modernization ของกล้องคลาสสิค” มันอารมณ์ Leica M240

สำหรับตัวนี้ มันคือการผสมผสานกันระหว่าง “FM2/F3 Designs, D4 Image, D600 Electronics” ครับ


Nikon-Df-blakc-and-silver.jpg

Nikon Df, Silver & Black

ผมขอไม่เขียนเรื่องสเปคพื้นฐานของกล้องตัวนี้นะครับ เพราะว่าหาอ่านได้ตามเว็บทั่วไป แต่อยากจะบอกว่าเท่าที่เห็นก็พอจะเข้าใจว่าทำไมหลายคนถึงผิดหวัง

  • มันยังเป็น DSLR ไม่ใช่ Mirrorless ดังนั้นขนาดมันจะใหญ่ตามธรรมชาติ ไม่บางเหมือนกับ Mirrorless
  • น้ำหนักที่มากถึง 765g มากกว่า Leica M240 ซึ่งก็ถือว่าค่อนข้างหนักแล้ว มากกว่า Mirrorless แบบ Retro-Style ทั่วไปเยอะมาก และที่สำคัญ มากกว่าตัวที่หลายคนมองว่าเป็นคู่แข่ง​​ (เพราะประกาศตัวใกล้ๆ กัน) ก็คือ Sony A7/A7R อยู่มากมาย
  • การที่มันดูเหมือน Retro “ไม่สุด” เมื่อเทียบกับตัวอื่นๆ เช่น Fujifilm X-Pro1 หรือ X100s
  • แน่นอน …. ราคา ที่เปิดตัวมาโคตรแพง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับสเปค


Nikon-Df-top.jpg

External Controls on the Top-Plate

อย่างที่จั่วหัวไว้ตั้งแต่ต้นนะครับ บทความนี้ไม่ใช่รีวิว แต่นี่เป็นกล้องตัวหนึ่งที่ผมไม่พลาดแน่นอน อาจจะลงเอยด้วยการขาย D800 ด้วยซ้ำ … ทั้งๆ ที่ D800 มันดีกว่าแทบทุกอย่าง (จากสเปค) แล้วทำไมล่ะ? เซ็นเซอร์ D4 มันดีขนาดนั้นเลยเหรอ? หรือว่าผมตกเป็นเหยื่อของการตลาดจากชุด Pure Photography ไปซะแล้ว?

คำตอบจริงๆ มันง่ายกว่านั้นครับ … ผมไม่สนใจเซ็นเซอร์ D4 หรอกครับ จริงๆ แล้วเซ็นเซอร์และภาพจาก D800 มันโคตรดีมากมายเกินไปสำหรับผม (จากการทดสอบ Dynamic Range ซึ่งสำคัญสำหรับการถ่ายรูปแบบผม มันดีกว่า D4 ด้วยซ้ำ) และเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ Full-Frame เดี๋ยวนี้ตัวไหนก็ดีเพียงพอทั้งนั้น ดังนั้นเรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็น ส่วนเรื่องการตลาด จริงๆ แล้วโฆษณาชุดนั้นผมชอบนะ แต่ไม่มีผลกับการตัดสินใจเลย (จำไม่ได้ล่ะ ว่าตัวเองซื้อของเพราะโฆษณาครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่)


Nikon-Df-camera-specifications.jpg

เหตุผลจริงๆ มันง่ายๆ กว่านั้นเยอะครับ และเป็นเหตุผลที่ผมชอบ Fujifilm X100/X100s/X-Pro1 และรัก Leica M มาก นั่นก็คือ การ “Back to Basic” ของการควบคุมปัจจัยของการสร้าง “ภาพถ่าย” ตั้งแต่เริ่มใช้กล้องพวกนี้เป็นต้นมา ก็เริ่มรู้สึกว่า “นี่แหละ กล้องถ่ายรูป” หรือ “อุปกรณ์ถ่ายรูป มันต้องอารมณ์นี้สิวะ” (และอาจจะเป็นเหตุที่ทำให้สนใจ Epson R-D1 ด้วย)

มันคงเป็นความรู้สึกเบื้องลึกล่ะครับ กับการที่โตมากับกล้องรูปร่างหน้าตาแบบนี้ และบางครั้งเวลาที่กลับบ้าน ก็ยังหยิบกล้อง Pentax SLR ตัวเก่าๆ มาจับเล่นเสมอ ด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก

มันใช้เวลานานเหมือนกันนะ กว่าค่ายกล้องจะเริ่มเก็ทประเด็นนี้ ว่า “กล้องถ่ายรูป” สำหรับคนชอบถ่ายรูป ชอบความรู้สึกเวลาที่ตัวเองถ่ายรูป ไม่ใช่แค่อยากได้รูป หรือถูกจำกัด/บีบให้โฟกัสกับการได้ผลลัพธ์ มันควรจะเป็นแบบไหน


Nikon-Df-announcement-3.jpg

มันเป็นอะไรที่มากกว่า “หน้าตาโบราณ” นะ แต่สิ่งที่ผมรู้สึกมาตลอดจากการใช้งาน Leica M ก็คือ “ผมรักการถ่ายรูปมากขึ้น จากการได้อยู่กับการสร้างรูปเองมากขึ้น” ผมสนใจผลลัพธ์หรือภาพที่ได้น้อยลงมากกว่าตอนที่ใช้ D800 และกดชัตเตอร์น้อยลง แต่กล้องได้รูปที่เป็น Keeper มากขึ้น

จริงๆ กับกล้องแบบนี้ แค่หมุน Mechanical Dial ต่างๆ เล่นก็มีความสุขแล้ว ไม่นับเรื่องรูปร่างหน้าตาที่ดูเป็นมิตรกว่ากล้อง DSLR ทั่วไป ที่ดู “โปร” หรือดู “ต้องการผลลัพธ์” แบบนั้น …​ ผมว่ากล้องแบบนี้มันให้อารมณ์คนถ่ายรูปเพื่อความสุขมากกว่าเยอะ

สุดท้าย … คือมันใส่กับเลนส์เก่าๆ แล้วโคตรจะเข้ากันเลย แบบรูปนี้ที่ใส่กับ 105mm f/2 DC


Nikon-Df-lens.jpg

ผมได้กล้องเมื่อไหร่ คอยอ่านรีวิวได้เลยครับ และแน่นอนว่าเป็นรีวิวจากการใช้งานจริงๆ ของคนธรรมดาๆ ที่รักการถ่ายรูปคนหนึ่ง ที่ไม่ใช่ตากล้องมืออาชีพ คนที่รับงาน ฯลฯ อะไรเลย เช่นเดียวกับรีวิวก่อนๆ ของผมครับ