Reflection on “Nikon’s Pure Photography”

[อัพเดท: 11/03/2013] เพิ่มตอนที่ 6
[อัพเดท: 11/04/2013] แก้ไขข้อความ แก้ไขข่าวลือเล็กน้อย


ปกติผมไม่เขียนถึงกล้องหรือเลนส์ที่เป็นข่าวลือ หรือยังไม่ประกาศนะ (แน่นอน นี่ไม่ใช่เว็บข่าวลือ) แต่ตัวนี้ผมต้องเขียนถึง ไม่เขียนไม่ได้ล่ะ อึดอัด!

ผมเชื่อว่าลึกๆ แล้วในใจคนหลายคน ยังมีความโหยหาโลกสมัยก่อน ที่ทุกอย่างเรียบง่าย ละเอียด โลกที่เวลายังเดินช้า ไม่มีการแข่งขัน ไม่มีความรีบเร่ง เร่งร้อน เร่งด่วน โลกที่ยังทำให้เรารู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน โลกที่ทำให้เรารู้สึกว่า “ชีวิตมันเป็นของเรา” มากกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มันตรงกันข้ามกันในทุกวันนี้ … ทำไมนะ ถึงที่ทำงานเราจะมีการออกแบบสไตล์โมเดิร์นที่เต็มไปด้วยกระจกและความเรียบหรู แต่ที่บ้านเรายังชอบเฟอร์นิเจอร์ที่แลดูวินเทจ .. ก็คงจะเป็นเหตุผลเดียวกัน

มันก็คงจะเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่การออกแบบอุปกรณ์ที่มีประวัติยาวนานเช่นกล้องถ่ายรูป จะเริ่มย้อนยุคกลับไปใช้การออกแบบสมัยก่อน หรือที่เราเรียกว่า Retro Style กันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Fujifilm X100/X100s ที่หลายต่อหลายคนซื้อ แล้วก็รักมัน ด้วยความ “คลาสสิค” ของรูปร่างหน้าตา มากกว่าฟีเจอร์หรือความสามารถ จนกลายเป็นรูปแบบการออกแบบกล้องทุกตัวของ Fujifilm ไปซะแล้ว หรือว่าแบบ Leica M ที่ยังคงรูปร่างหน้าตาและการใช้งานตั้งแต่ยุคคลาสสิคไว้แทบไม่เปลี่ยนเลย ถึงแม้ภายในของ Leica M 240 จะเปลี่ยนไปทั้งหมด แต่ภายนอกนั้นก็ยังคงเรียบง่ายเหมือนเดิม [บทความ: My Leica Story Pt3: The M 240]

และแล้วก็มาถึงคิวของ Nikon บ้าง


“Classic Nikon F3 Film SLR”


Image Source: nikonrumors.com
http://nikonrumors.com/wp-content/uploads/2013/10/Nikon-F3-film-camera.jpg


หลังจากที่ Sony ประกาศ A7/A7r ซึ่งเป็น Full-Frame Mirrorless ไม่นานเท่าไหร่ ก็เริ่มมีข่าวลือว่า Nikon ก็จะมีกล้องคล้ายๆ กันออกมาเช่นเดียวกัน แต่หลังจากที่ข่าวลือเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ก็พบว่า มันไม่ใช่ Full-Frame Mirrorless แบบเดียวกับ Sony (ที่เป็น Minimalist Modern Design) แต่จะเป็นกล้อง Retro-Style DSLR ที่ได้ “ต้นแบบ” มาจาก Nikon F3

Spec ที่หลุดมาของกล้อง นับว่าไม่มีอะไร “หวือหวา” หรือน่าสนใจมากมายนัก ไม่ว่าจะเป็น

  • ชื่อ Nikon DF (อาจจะ Df ก็ได้นะ ยังไม่แน่ใจว่า F ตัวเล็กหรือตัวใหญ่)
  • 16MP Sensor (ยังคงเดากันว่าจะเป็นตัวเดียวกับ D4 หรือไม่)
  • จุด AF ทั้งหมด 39 จุด (ซึ่งแปลว่าน่าจะใช้ระบบ AF เดียวกับ D600)
  • มาพร้อมกับเลนส์ AF-S 50/1.8G ตัวใหม่ ที่ออกแบบเพื่อให้เข้ากับกล้องนี้โดยเฉพาะ (คงเอาตัวปัจจุบันมา Re-skin มากกว่า Redesign)
  • มี External Control เกือบหมด ไม่มี Top-Plate LCD (ก็แหง) [ข่าวล่า: มี LCD เล็กๆ บน Top Plate แต่ยังไม่เห็นภาพหลุด]
  • ใช้งานกับ F-Mount เลนส์ (ดังนั้นเรื่องที่มันจะเล็กลงมากมายเหมือนกับ A7 ก็ตัดทิ้งไปได้เลย มันยังเป็น DSLR น่ะแหละ แต่ผมก็ไม่ได้อยากได้กล้องบอดี้เล็กๆ แต่เลนส์ใหญ่ๆ จนไม่บาลานซ์อยู่แล้ว)
  • เนื่องจากมันเป็น DSLR ดังนั้นจึงมีกระโหลกและ Pentaprism เช่นเคย

ที่น่าสนใจคือ “มันถ่าย Video ไม่ได้!” เป็นกล้องที่ออกมา สร้างมา สำหรับถ่ายรูปโดยเฉพาะ! นอกจากจะออกแบบ Retro แล้ว ยังมีฟีเจอร์ Retro อีกตะหาก (ย้อนกลับไปไม่กี่ปี เราก็ยังมี DSLR ที่ถ่ายรูปได้อย่างเดียวอยู่นะ แต่ตอนนี้ขนาด Leica M ยังถ่าย Video ได้เลย ถึงผมจะไม่เคยใช้มันก็เถอะ)

แต่ที่เพิ่มความสนใจให้หลายต่อหลายคน จนบางคนถึงกับ “เร่งวันเร่งคืน” ก็คือ “Marketing Campaign” ของ Nikon ครับ โดยครั้งนี้ Nikon ได้ออก Video ชุด Pure Photography ซึ่งเป็นเรื่องการเดินทางใน Scotland ของชายคนหนึ่ง (คนถ่ายภาพ) โดยมีกล้องตัวเดียวเป็นเพื่อนร่วมทาง แล้วช่างภาพคนนี้จะค่อยๆ “ค้นพบ” ตัวตนที่สร้างสรรค์ของเขาอีกครั้ง” (อันนี้แปลจาก Campaign นะ: “reunites with his creative self” — แต่จริงๆ แล้วผมอยากจะแปลมันว่า “ค้นพบตัวเอง ในฐานะ ‘ผู้สร้าง’ อีกครั้ง” มากกว่า)

Video มีทั้งหมด 6 ตอนนะครับ ขณะที่เขียนนี้ออกมาแล้วทั้งหมด 5 ตอน ดังนี้

Pure Photography #1

เรื่องราว: คนถ่ายภาพคนนี้ยืนคนเดียวอยู่ท่ามกลาง Landscape ที่เย็นยะเยือกและดูสิ้นหวัง … มันมีอะไรบางอย่างที่ขาดหายไปจากชีวิตของเค้ามานานแล้ว และทันใดนั้น ก็มีเสียงคลิกๆๆ อะไรบางอย่าง และเขาก็ยกกล้องขึ้นมา พร้อมกับบอกว่า “It’s in my hand again”



Pure Photography #2

ชายคนนั้นค่อยๆ เดินทางอย่างช้าๆ ในป่า ท่าทางไม่มีความไม่รีบร้อนอะไรเลย ไม่ถ่ายรูป ไม่วิ่ง จนกระทั่งได้ยินเสียงน้ำไหล จึงเดินตามเสียงน้ำไปพบกับลำธารสวยและใส จึงยกกล้องขึ้นมาถ่าย และบอกว่า “One great shot rewards everything”



Pure Photography #3

ตกกลางคืน ชายคนนั้นกำลังทำความสะอาดอุปกรณ์เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวันใหม่อยู่ข้างกองไฟ แล้วก็มีเสียงอะไรบางอย่างทำให้เขาต้องเอาเลนส์กลับเข้าไปเมาท์ที่ตัวกล้อง และหยิบขึ้นมาถ่าย “No clutter. No distraction. This is my world.”



Pure Photography #4

ชายคนนั้นได้เดินทางเข้าไปในเมือง ที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี เขาค่อยๆ เดินผ่านมุมต่างๆ ที่เขาเคยเห็นมาแล้ว มุมมหาชนที่ทุกคนเคยเห็นมาแล้ว จนกระทั่งถึงจุดๆ หนึ่ง แล้วเขาก็หยิบกล้องมาถ่ายรูปจากมุมใหม่ที่เขาเองไม่เคยเห็นมาก่อน พร้อมกับบอกว่า “Wherever I go, my camera leads me somewhere new”



Pure Photography #5

ตอนนี้เพิ่งออกมาในตอนที่ผมเขียนบทความนี้เลย เป็นตอนที่ชายคนนั้นเดินตามถนนที่ถูกทิ้งร้าง ไปถึงบ้านโบราณแห่งหนึ่ง และถ่ายรูปไว้ พร้อมกับข้อความว่า “Good things take time, they worth the wait”



Pure Photography #6

เนื่องจากตอนที่ 6 นี่แหวกแนวกว่าตอนอื่นๆ มากมาย …. และเหมาะกับการเป็น “บทสรุป” มากๆ ดังนั้นผมเลยขอไว้ท้ายสุดของบทความนี้เลยครับ

There and back again

ตอนแรกๆ ที่ผมเริ่มดูตอนที่ 1 ตอนที่ 2 ค่อนข้างที่จะจ้องอยู่กับกล้องตัวใหม่ ที่กำลังค่อยๆ เปิดรูปเปิดเงาให้เห็นทีละนิดๆ แต่พอดูมาถึงตอนที่ 3-4 เริ่มรู้สึกอะไรบางอย่างแตกต่างออกไป จนกระทั่งตอนที่ 5 ออกมา และผมได้มานั่งดูทั้ง 5 ตอนแบบรวดเดียวอีกครั้ง …

Video ชุดนี้ สื่อและแสดงความโหยหาวันเวลาเก่าๆ อย่างรู้สึกได้ชัดเจนมาก

  • ตั้งแต่ความรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่หายไปนานจากเรา และเราโหยหาที่จะได้มันกลับมาอีกครั้ง ในตอนแรก
  • โลกที่ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องเร่งรีบ ไม่ต้องพยายามเอาผลลัพธ์จากทุกอย่าง โลกที่เรามีเวลาเดินไปอย่างช้าๆ จนถึงจุดที่เราน่าจะทำอะไรสักอย่าง ในตอนที่ 2
  • ความเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน ตรงไปตรงมา การมีเวลาตระเตรียมทุกอย่างอย่างละเอียดค่อยเป็นค่อยไปในตอนที่ 3
  • การที่เรามีเวลาที่จะมองมุมใหม่ๆ ที่ไม่มีใครเคยมองอย่างค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆ เดิน ค่อยๆ มองหา จนกระทั่งเจอมุมนั้นในตอนที่ 4
  • การที่บอกว่าสิ่งดีๆ มันใช้เวลา แต่มันคุ้มค่าที่จะรอ ในตอนที่ 5

ผมนั่งดูตั้งแต่ตอนแรกถึงตอนที่ 5 กลับไปกลับมาหลายต่อหลายเที่ยว ดูแล้วน้ำตาจะไหล … โลกปัจจุบันที่ทุกอย่างต้องเร่งรีบแข่งขันกันอย่างที่เป็นอยู่แบบนี้มันใช่ที่หัวใจเราโหยหาจริงเหรอ การที่ต้องหาผลลัพธ์ หาคะแนน หาเงิน หาฯลฯ อะไรให้ได้กับทุกอย่างมันเป็นโลกที่เราต้องการจริงเหรอ โลกที่ทุกคนไม่มีเวลา ใครจะไปมีเวลาล่ะ โลกที่การรอห้านาทีสิบนาทีต้องกลายเป็นดราม่าใหญ่โต โลกที่ทุกอย่างถูกวัดเป็นตัวเลข ฯลฯ นี่เป็นโลกในความฝันของเราจริงเหรอ

ทำไมเราอยากหาความสำเร็จกันมากขึ้น แต่ทำไมเราเจอความสุขกันน้อยลงล่ะ … ความสุขและความสงบของจิตใจ จากการได้ทำอะไรบางอย่างมันหายไปไหน


L1004260.jpg

Last light at the Sunset

มันผิดไหมนะ ที่ผมเขียนโปรแกรม เพราะผมมีความสุข จากความรู้สึกตอนได้โค้ด การค่อยๆ ได้แอพหรือระบบทีละชิ้นๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป มากกว่าอยากจะเร่งสร้างธุรกิจอย่างรวดเร็ว หรือเร่งรีบ Capitalize หรือการผมจะสอนการออกแบบโปรแกรมแบบค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆ ทำความเข้าใจ แบบเก็บรายละเอียดหรือเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ค่อยเป็นค่อยไปกับปรัชญาต่างๆ เพราะผมมีความสุขกับความรู้สึกตอนได้สอน ความรู้สึกตอนที่เห็นคนนั่งเรียนหัวเราะและได้อะไรใหม่ๆ มากกว่าจะต้องเน้นให้ทุกอย่างต้องถูก Capitalize ได้ทั้งหมด ต้องเอาไปใช้ได้ตรงๆ ทั้งหมด มันผิดไหมนะ ที่ผมเดินถือกล้อง ถ่ายรูปเพราะมันเป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของชีวิต ไม่ได้อยากจะได้ภาพที่สวย ไม่ได้อยากจะได้รางวัลหรือคำชมอะไร บางครั้งแค่ได้ยินเสียงชัตเตอร์ก็พอจะมีความสุข ได้เห็นรูปหมาตัวเองยิ้มให้กล้องก็มีความสุข …​ อันนี้คงเป็นเหตุผลหนึ่งล่ะมั้งที่ผมชอบ Leica M

“ความสุข” … ของการได้สร้างอะไรเอง
ไม่ใช่
“การสนองตัณหา” ที่มักแฝงมาในนามของความสุข ของการได้สั่งให้คนอื่นทำ

ไม่ว่าคนอื่นเหล่านั้นจะเป็นลูกน้อง ทีมงาน แม่ค้าร้านอาหาร จะเป็นอะไรก็ตาม … รวมถึง “กล้องถ่ายรูป” ด้วย


L1003787.jpg

Self-Portrait with Leica M 240
เลียนแบบ Stanley Kubrick, “Imitation is the sincerest form of flattery”

Pure Photography #6

เป็นบทสรุปที่สวยงามของ Video ทั้ง 5 ตอนที่ผ่านมา … เป็นตอนที่ยาวที่สุดและมีข้อความยาวๆ จากชายคนนั้น



ผมอยากจะ Quote ข้อความทั้งหมดไว้ตรงนี้เลยครับ เพราะมันสวยงามมาก

My father used to say
“Find the one thing you can do all day without looking at your watch. That’s your passion.”
He was right.
Now every frame is meaningful again.

ผมดู Video ตอนที่ 6 จบแล้วต้องย้อนกลับไปดูใหม่ทั้งชุดอีกครั้ง และผมยิ่งรู้สึกถึงสิ่งที่ผมรู้สึกแล้วก็ได้เขียนไปแล้วก่อนหน้านั้น …… ทุกวันนี้ยังมีอีกกี่คนหนอ ที่ค้นหาตัวเองจนพบ จากการได้ทำอะไรที่มันเป็นตัวเองจนลืมเวลา จนไม่สนใจนาฬิกาและสิ่งรอบข้าง การที่ได้ลงมือทำสิ่งนั้นมันมีความหมายและความสุขมากกว่าเงินทองหรืออะไรทุกอย่างที่สังคมกำหนดว่าเราต้องมี ความสำเร็จทุกอย่างที่สังคมกำหนดว่าเราต้องได้ … Passion มันเป็นยิ่งกว่างานอดิเรก … มันคือ “ตัวเอง” ที่นับวันยิ่งจะเลือนลางลงไปทุกที

ไม่ว่า Nikon DF จะออกเป็นแบบไหน ราคาเท่าไหร่ โดนใจใครหรือไม่ อันนี้ผมไม่ทราบและไม่แน่ใจ มันอาจจะไม่ Retro มากมายเท่าไหร่เมื่อเทียบกับ Fujifilm และมันอาจจะไม่เรียบง่ายใกล้เคียงกับ Leica M นะ … แต่โฆษณาชุดนี้ได้ใจผมไปเต็มๆ เพราะอย่างน้อย มันเป็นความต่อเนื่องของการเล่นกับอารมณ์คนที่รู้สึกเบื่อกับโลกที่สับสนซับซ้อนวุ่นวายเร่งรีบไปที่การเน้นผลลัพธ์ทุกอย่าง มากกว่าความสุขจากความสงบและการที่ได้ค่อยๆ ทำอะไร … ที่นับวันยิ่งหายไปกับกระแสของกาลเวลา