นิยามรัก

จากใน twitter … มีขำๆ อยู่บ้าง เอามาลงในนี้ละกัน (ปล. @rawitat นี่ผมเองนะ ;-)

@joyz: “รักแท้ก็เหมือนผี มีจริงแต่ไม่เคยเจอ”
@joyz: “ความรักก็เหมือนอากาศ มองไม่เห็นแต่ขาดไม่ได้”
@iToy416 ความรักเหมือนรอยสัก เจ็บปวดแต่สวยงาม
@neokain มาจากหนังเรื่องหนึ่ง “ความรักเหมือนสายลม มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้”
@rawitat ความรักเหมือนอาหาร … ต้องกินไม่งั้นตาย … แต่ทำไมในเมนูมันดูดีกว่าของจริงประจำเลยวะ
@theniw “ความรักก็เหมือนขวดเหล้า พอกำลังดื่มด่ำได้ที่ ก็มักจะหมดพอดีทุกทีไป”
@katanyoo ความรักเหมือนโคมไฟ เปิดในที่มืดเมื่อไหร่ ได้เรื่องทุกที
@iToy416 ผู้หญิงเหมือนคอม ราคาแพง แก่เร็ว รวนง่าย ยิ่งแก่ยิ่งราคาตก ยิ่งแก่ยิ่งรวน

ขำๆ ครับ

ล่องลอย …. เคว้างคว้าง … กลางทะเล

“ปล่อยไปตามลมเลย” เพลงเก่าๆ ของวงเก่าๆ ดังก้องอยู่ในหู ตั้งแต่ต้นเพลง

ล่องลอยไปไกลความจริง ทิ้งมันเสียความทรงจำ ปล่อยมันไปตามเวรกรรม เรื่อยไป

และท่อนสร้อย

ปล่อยไปตามลม จะพัดพาเราไป จะไปไหนก็แล้วแต่สายลม

วันนี้ประชุมสภามหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรก ได้ฟังทัศนคติจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่าน ได้แนวคิดที่สำคัญต่างๆ มากมาย ที่จริงๆ น่าจะถือว่าเป็นการ “เรียกสติ” ภาคการศึกษา และ “เรียกสติ” มหาวิทยาลัย ไม่เพียงแต่ศิลปากรเท่านั้น แต่ว่าหลายๆ ที่อีกด้วย

ผมไม่แน่ใจว่าผมควรจะเอาเรื่องนี้มาเขียนในนี้หรือเปล่า เพราะว่าเป็นการพาดพิงถึงสภามหาวิทยาลัย แต่ว่าสิ่งที่ผมจะเขียนข้างล่างนี่ ไม่เกี่ยวกับการประชุมนี้ แต่ว่าเป็นความคิดของผมเอง จากสติส่วนหนึ่งที่ได้จากการไปเป็นส่วนหนึ่งของการประชุมครั้งนี้

การขับเคลื่อนภาคการศึกษา โดยเฉพาะมหาวิทยาลัย ในความรู้สึกของผม มันคือ “แพ” ใหญ่ๆ ที่กำลังลอยไปตามกระแสน้ำเรื่อยๆ น้ำแรง ก็ไปเร็ว น้ำเอื่อย ก็ไปช้า แพนี้มีพื้นที่ใหญ่มากพอให้ทุกคนอยู่กันอย่างสบายตามอัตภาพ ติดเกาะติดแก่งติดสันดอน ก็ช่วยๆ กันแก้ๆ ไปเป็นคราวๆ โดยคนที่อยู่ใกล้ๆ ขอบแพตรงที่ติด คนทั่วไปที่อยู่กลางแพ ไม่ได้รู้สึกรู้สารู้อะไรด้วยเลย

“แพ” ไม่เหมือนเรือ มันไม่มี “หัวแพ” เหมือนที่มี “หัวเรือ” ที่อยางน้อยให้เราได้รู้ว่ามันกำลังมุ่งหน้าไปทางไหน แพนี้อาจจะกำลังหมุนคว้างๆ อยู่กลางแม่น้ำ ที่เหมือนจะไหลไปข้างหน้าก็ได้ใช่หรือไม่ เราไม่สนใจ

เราไม่เคยสนใจว่า แม่น้ำนี้ กำลังไหลไปที่ไหน หรือว่าแม้แต่มันกำลังไปไหนจริงๆ หรือเปล่า เราไม่เคยสนใจว่ามันไหลมาจากที่ไหน มันไหลผ่านอะไรมาบ้าง เราอยู่บนแพ เท่านั้น … เราอาจจะกำลังอยู่บนมหาสมุทร เวิ้งว้าง ว่างเปล่า ไม่ได้ไปไหนทั้งนั้น … มันแค่วนไปวนมา ตามกระแสคลื่นในท้องทะเล เท่านั้นเอง

com_cc_1.001-001.jpg

(ภาพจาก presentation หนึ่งของผม ให้กับศูนย์คอมพิวเตอร์ ม.ศิลปากร ในวันรับตำแหน่งผู้อำนวยการ)

เราจึงไม่เคยมองถึง Road Map เราจึงไม่เคยมองเห็น The Road Ahead … เราไม่เคยสนใจ

ที่สำคัญกว่านั้น ถ้าเป็นที่ๆ เราแทบไม่เคยไป หรือไม่มีใครเคยไปมาก่อน ไม่มีเส้นทางน้ำ ไม่มีถนน ไม่มีอะไรทั้งนั้น เรามักจะปิดกั้นตัวเอง ด้วยคำว่า “ไม่มีทางเดิน” แล้วก็ปฏิเสธต่างๆ นานา หาเหตุหาผลต่างๆ นานา เพื่อบอกว่า ไม่สามารถไปทางนั้นได้

เราแทบไม่คิดถึง “การบุกเบิกเส้นทาง” และ “การตัดถนน” เอาเสียเลย

com_cc_2.024-001.jpg

(ภาพจากอีก presentation ของผมเอง ในวันเดียวกัน)

มหาวิทยาลัย โดยเฉพาะคณะวิชา และภาควิชา ที่สามารถเกาะกระแสนิยมของสังคมได้ อาจจะไม่ค่อยได้คำนึงถึงจุดนี้เท่าไหร่ เพราะว่าเราก็ยังคงรับนักศึกษาหากินกันต่อไปได้เรื่อยๆ ตราบใดก็ตามที่สังคมยังต้องการปริญญา เรายังขยายหลักสูตรต่อไปได้เรื่อยๆ ตราบใดก็ตามที่สังคมยังต้องการปริญญา

ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ผมไม่แน่ใจว่าเราได้เตรียมตัวเตรียมใจให้นักศึกษารุ่นปัจจุบัน รับรู้กับความเป็นจริงขนาดไหน ว่าพวกเขาต้องเผชิญกับภาวะ “การตกงาน”​และ “การไม่จ้างงาน”​แค่ไหนเมื่อจบไป

เราคงไม่สนใจอะไรเท่าไหร่ เพราะว่าลักษณะหน่วยงานของเรา เป็นหน่วยงานที่เมื่อไหร่ก็ตามที่สังคมเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เรายิ่งสบาย ส่วนหนึ่งก็เพราะว่า “ภาวะตกงานแฝง” …​ หางานทำไม่ได้ ก็เรียนมันต่อไปก่อน และแล้วเราก็ขยายกำลังรับ เปิดปริญญาโท กันต่อไปอย่างสนุกสนาน

ปัญหาแบบนี้ ทั้งหมดนี้ และมากกว่านี้ ผมเคยได้ยินอาจารย์ผู้ใหญ่หลายท่าน ผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่าน และท่านที่ผมรักและเคารพ ทั้งในความคิดและตัวตนของท่าน หลายต่อหลายท่าน บ่นให้ฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำอีก … ตัวเองบ่นเองก็เยอะ (ถ้าใครเคยฟังที่ผมพูดในงาน Blognone Tech Day 3.0 ล่ะก็ นั่นเป็นเพียงแค่ส่วนเดียวเท่านั้น)

แต่ว่าท่านเหล่านั้นสรุปให้ผมฟังอย่างน่าเศร้าใจว่า “ก็บ่นกันมาแบบนี้ ปีที่แล้วก็บ่นกันมาแบบนี้ ปีก่อนหน้านั้นก็บ่นกันมาแบบนี้ …​ ” และก็คงจะ so on and so on … และแล้วเราก็ผ่านมันไปปีต่อปี ปีหนึ่งผ่านไป ปีหนึ่งก็จะผ่านไปอีก

so on, so on, so on.

ล่องลอยไปไกลความจริง ทิ้งมันเสียความทรงจำ ปล่อยมันไปตามเวรกรรม เรื่อยไป

และท่อนสร้อย

ปล่อยไปตามลม จะพัดพาเราไป จะไปไหนก็แล้วแต่สายลม

เพลงๆ หนึ่งจากวงที่ไม่ค่อยจะดังเท่าเมื่อกี้ (วงนี้ไม่ดังเลย เพลงดังก็ไม่มี … แต่ว่าผมชอบเพลงนี้มาก ถึงขนาดจำเนื้อได้เกือบแม่น ได้ยินสมัยเด็กๆ — ดังนั้นถ้าผิดพลาดบ้างขออภัย) ดังขึ้นในหูผม

เวิ้งว้าง แสนไกล สุดสายตา สุดขอบฟ้า มองหาใครไม่มี
คลื่นลูกน้อย ล่องลอย ตามสายลมที่มี
เป็นอย่างนี้ สิ้นหวัง มาช้านาน
ล่องลอยไป ไร้จุดหมาย ในท้องทะเล
สิ่งที่หวัง คือไป ให้ถึงฝั่ง
หากวันนั้น ถ้ามี ดังที่หวัง
คลื่นน้อยคง มีหวัง เจอหาดทราย
แต่บางครั้ง คลื่นแรง ดังใจเร่าร้อน
แต่บางครั้ง คลื่นอ่อน น่าใจหาย
และบางครั้ง หมดแรง เช่นความตาย
ผลสุดท้าย เกยหาด จางหายไป
ตัวฉัน เคว้างคว้าง ใจกลางทะเล
จะหันเห ทางไหน ไม่เห็นฝั่ง
หากวันนั้น ถ้ามี ดังที่หวัง
แนบกายลง บนฝั่ง บนหาดทราย

กราบขอบพระคุณกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ ท่านรองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ท่านดวงสมร วรฤทธิ์ และท่านบุญชัย เบญจรงคกุล ที่ให้ข้อคิดดีๆ แก่มหาวิทยาลัยศิลปากรไว้ ณ ที่นี่ด้วยครับ

ชื่อเต็มๆ ของ Windows แต่ละรุ่น

ไปอ่านเจอบล็อกของน้องฟอร์ด เรื่อง Microsoft ทำ Windows ดีและแย่สลับกันจริงเหรอ ที่มีการเขียนถึง Windows แต่ละรุ่น และมุมมองของตัวเอง ก็น่าสนใจดี แต่ว่าพอเห็นชื่อ Windows มันเรียงกันแบบนั้นแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะเขียนถึงเรื่องขำๆ ที่ผมชอบเอาไว้เล่าให้นักศึกษาฟังในแทบทุกวิชา … ว่าจริงๆ แล้วชื่อ Windows รวมถึงชื่อแต่ละรุ่นเนี่ย มันเป็นตัวย่อ

เริ่มจาก WINDOWS ก่อน

Will Install Needless Data On Whole System

แปลว่า จะทำการติดตั้งข้อมูลที่ไม่ต้องการ (= ขยะ) ลงไปบนระบบทั้งหมด …. ซึ่งแรงมากพอควร แต่ว่าถ้าเราลองมาดู Windows แต่ละรุ่น จะเห็นอะไรขำๆ กว่านั้นต่อไปอีก

  • 98 SE = 98 Serious Errors (หรือ Severe Errors ก็ได้) คือ มีข้อผิดพลาดร้ายแรงทั้งหมด 98 อย่าง
  • ME = More Errors เท่านั้นไม่พอนะ รุ่นนี้ยังมีข้อผิดพลาดมากขึ้นไปอีก … หรือ Mostly Errors คือ มันผิดพลาดเกือบทั้งหมดน่ะแหละ
  • XP = eXtra Problems ยังๆ เอาปัญหาไปเพิ่มอีก … หรือ eXtreme Problems อันนี้แถมปัญหาแบบสุดๆ มาให้เลย

ผมคิดตัวย่อของ VISTA ไว้หลายอย่างนะ แต่ว่ายังไม่มีอันไหนขำพอ และแสดงถึงความเป็น VISTA ได้อย่างมากเพียงพอ

เสนออะไรมั้ยครับ?

D700 vs. LX3 ภาพต่อภาพ จากคนธรรมดาๆ หลังกล้อง

อันนี้เป็นรีวิวเปรียบเทียบกับ D700 ครับ แบบภาพต่อภาพ เชิญชมที่ Multiply ผมครับ

rawitat: my digital memories – D700 vs. LX3 ที่วังสนามจันทร์ (10/19/51)

ข้อความจากที่ผมเขียนไว้ใน Multiply

สืบเนื่องจากบทความรีวิว Panasonic Lumix LX3 #2 ที่ผมได้เขียนไว้ที่เว็บไซต์ส่วนตัว และได้โพสท์ลิงค์ไว้ที่นี่ และมีเพื่อนคนหนึ่งใน twitter เข้ามาถาม และได้สนทนากันใน twitter ดังนี้

plynoi @rawitat http://www.rawitat.com/wp-content/uploads/2008/12/dsc-1441.jpg รูปนี้ LX 3 หรือ D700 อ่ะครับ
rawitat @plynoi D700 ครับ ยิ่งดูรูปใหญ่จะยิ่งเห็นชัดครับ ว่าต่างกันเยอะมากๆ…
plynoi @rawitat i think lx3 is more beatiful 4 small pic – -”

ก็เลยเอามาลงที่นี่หน่อยนึง จะได้เห็นกันภาพต่อภาพ ก็ยังไม่ใช่ภาพใหญ่เท่าไหร่อยู่ดี แต่ว่าเป็น 800×800 (ใหญ่กว่าปกติที่ผมลงที่นี่หน่อยนึง) ภาพทุกภาพไม่ได้ sharpen เพื่อความแฟร์ระหว่างกัน resize แล้วลงเลย

ไม่ได้ถ่ายเพื่อเน้นมุมมองหรือว่าเพื่อเอาสวยงามนะครับ เอาแค่เปรียบเทียบอุปกรณ์ในสภาพการปกติๆ ธรรมดาๆ ทั่วไป และเข้าใจว่าภาพที่เอามาโพสท์นี้ไม่ได้รีดศักยภาพของอุปกรณ์ ในสถานการณ์ที่ยากลำบากแต่อย่างใด มันก็แค่ตอนเย็นๆ แดดเกือบหมด ฟ้าไม่ค่อยสวย ธรรมดาๆ นี่เอง

เพราะว่านี่คือ หนึ่งใน “สถานการณ์ใช้งานจริง” ที่จะเจอกันครับ … วันนั้นวัตถุประสงค์ของผมก็คือ “ทดสอบว่า LX3 จะใช้งานแทน D700 กับเลนส์ที่ดีที่สุดที่ผมมี ในสถานการณ์ทั่วไป ชาวบ้านๆ ธรรมดาๆ ได้ดีแค่ไหน” ครับ

  • เลือก mode เป็น standard ทั้งคู่ (หรือเทียบเท่า)
  • ใช้ base ISO ทั้งคู่ (D700 = 200, LX3 = 80) แต่ว่าจะมีรูปสองรูปที่ผมลองปรับ ISO ของ LX3 เล่นเป็น 125 นะครับ แต่ว่าไม่มีใช้เกินนี้
  • ไม่มีการแต่งภาพ
  • ไม่มีความตั้งใจให้อะไรดูดีกว่าอะไร
  • พยายามถ่ายแบบ “มุมบ้านๆ” ที่สุดเท่าที่จะทำได้ (ปกติก็ไม่ใช่คนมุมมองเจ๋งอะไรอยู่แล้ว)
  • ไม่ได้ถ่าย RAW ครับ ถ่าย JPEG โดย D700 เป็น M, JPEG Normal แต่จำไม่ได้แล้วว่าของ LX3 เป็นอะไร … ทั้งนี้เพราะว่านี่คือโหมดปกติที่ผมใช้งานจริง

ขอบอกอีกครั้ง …. วัตถุประสงค์ของการเทียบ ไม่ใช่เทียบว่าเจ๋งกว่ากันแค่ไหน เพราะว่ามันไม่มีทางเจ๋งเท่าอยู่แล้ว เหมือนกับเอา BMW ไปแข่งกับ Honda City … คำถามของผมในการทดสอบครั้งนี้คือ แล้ว City ขับไล่กวด BMW ได้ดีแค่ไหน ในสถานการณ์ปกติๆ (ไม่ใช่ถนนที่เตรียมไว้ให้แข่ง)

คำตอบที่ได้คือ “พก LX3 และใช้ D700 เมื่อต้องถ่ายจริงจังที่เกินกำลังของ LX3”

ตอนท้ายจะแถมรูป crop 100 ตรงฐานรูปปั้นย่าเหลให้นะครับ ….. (แต่เป็น PNG นะ เพราะ capture จากหน้าจอเอา)

ปล. รูปทั้งหมด จะเป็น D700+14-24mm f/2.8 (ถ่ายที่ 24mm เท่านั้น) ขึ้นก่อนนะครับ ตามด้วย LX3 ซูมที่ 5.1mm (เทียบเท่ากับ 24mm เท่ากัน)

Panasonic Lumix LX3 Review #2

หลังจากที่เขียนรีวิวตอนแรกไปพักนึงแล้ว ก็ได้ใช้งานกล้องตัวนี้ไปอีกพักใหญ่ๆ และใช้ถ่ายเล่นไปเรื่อยๆ บ่อยด้วย ก็เลยพอจะมีเรื่องให้เขียนถึงมันอีกนิดหน่อย ดังนั้นวันนี้ขอเขียนรีวิวต่ออย่างคร่าวๆ นะครับ

  • หลังจากที่ค้นพบว่า มันเป็นกล้องที่ถ่าย B&W ได้สวยมากๆ (ใช้ Dynamic B&W mode) ผมไม่ได้ใช้มันถ่ายภาพสีเลย ให้ตายเถอะ ตั้งขาว-ดำค้างเลย เวลาถ่ายขาว-ดำที่ ISO สูงถึงจะมี noise ก็มีลักษณะคล้ายกับ film grain ครับ สวยทีเดียว

    P1000908.jpg

  • แต่ว่าก็พอจะมีคอมเมนท์เกี่ยวกับเรื่องสีนิดหน่อย คือ สีมันเพี้ยนจากความเป็นจริงที่ตาเห็นบ้าง ถึงจะใช้โหมด Standard แล้วก็เถอะ สียังถือว่าจัดพอสมควร แต่ว่าก็ไม่ถึงกับรับไม่ได้ ยิ่งถ้าไปใช้ Vibrant นี่ยิ่งจัดไปใหญ่เลย อ่อ แล้วก็สีใน LCD ด้านหลังรู้สึกว่าจะเพี้ยนจากที่ได้จริงนิดๆ นะ (แต่ว่ามันคงเป็นเรื่องของการ Calibrate หน้าจอด้วย ถ้า Calibrate ไว้ตรงกับ LCD ก็คงจะตรงกันดี)
  • เคยลองเอาไปถ่ายเทียบกับ D700+14-24+24-70 (ซึ่งเป็นเลนส์ Ultrawide zoom และ Normal zoom ชุดที่ดีที่สุดเท่าที่เงินจะซื้อได้แล้ว) ก็ปรากฏว่า “แพ้ขาด” เรื่องมิติของภาพและความคม (ก็แน่นอน ….. ราคากล้องรวมกับเลนส์ตัวเดียวก็ซื้อ LX3 ได้สิบตัวแล้ว) แต่ว่ากับการใช้งานทั่วๆ ไป (พกกล้องเดินตลาด ถ่ายรูปเล่น) ผมถือว่า “แทนกันได้อย่างไม่น่าเกลียดเลย”

    รูปทั้งหมดนี้ ย่อแล้วลงเลยนะครับ ไม่ได้ sharpen แต่อย่างใด โดยเป็นรูปจาก D700+14-24 ก่อนและเป็นรูปจาก LX3

    DSC_1441.jpg

    P1000031.jpg

    DSC_1456.jpg

    P1000035.jpg

  • การตอบสนองดีมากพอสมควร ถ้าเคยชินกับ DSLR อาจจะรู้สึกว่ามันช้าๆ บ้าง แต่ว่าเทียบกับ compact ทั่วๆ ไปแล้วถือว่า “เยี่ยม” เลยทีเดียว shutter lag มีบ้าง เป็นเรื่องปกติ ไม่ถึงกับน่ารำคาญ การทำงานของระบบกันสั่นถือว่า OK เลย
  • การวัดแสงบางทีตลกๆ ครับ ตอนที่ดูใน LCD ก่อนจะกด shutter เห็นว่าสวยดีแล้ว แต่ว่าพอถ่ายไปกลับ underexpose อย่างรุนแรงเป็นส่วนมาก ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม (ทั้งๆ ที่มันควรจะ lock exposure แล้วนะ) บางทีก็เลยต้องเปลี่ยนการวัดแสงเป็นวัดเฉพาะจุด ก็จะช่วยได้บ้าง

    child.jpg

  • ที่ชอบอีกอย่างหนึ่ง (จริงๆ ก็เป็นข้อดีของกล้อง compact ในปัจจุบันทั่วๆ ไปน่ะแหละ) ก็คือ “เงียบ” ถ้าเราไปปิดเสียงการทำงานทั้งหมดของมันซะ ทำให้เอามาใช้ถ่ายในหลายๆ ที่ได้แบบไม่ก่อความแตกตื่น … จริงๆ แล้วไม่ใช่เฉพาะรุ่นนี้หรอกครับ ข้อนี้ apply กับกล้อง compact ทั้งหมด เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็มีกล้องกันทั้งนั้น ยิ่งกล้องรุ่นที่หน้าตามันโบราณๆ มีฝาครอบเลนส์ห้อยๆ เหมือนไม่น่าจะมีอะไรแบบนี้ คนไม่ค่อยจะกลัวกันเท่าไหร่ … ถ้าเอา D3 ออกมาถ่ายนี่คงจะแตกตื่นกันเป็นแถว ยิ่งบ้านเมืองแบบนี้ด้วยแล้ว เอามายิงรัวคงคิดว่ามีปืนกล (ลองฟังได้ที่นี่ link: DP Review)

    P1000711.jpg

  • ระยะซูม 24-60 และเลนส์ที่ “ไว” ทำให้กล้องตัวนี้เหมาะมากกับการถ่าย photojournalism หรือว่า street photography และเป็นระยะซูมที่ถือว่าค่อนข้างประหลาดเล็กน้อยสำหรับตลาด compact เพราะว่าส่วนมากจะเน้น normal-tele มากกว่าที่จะเป็น wide-normal สำหรับตัวนี้ถือว่าเป็นกล้องไม่กี่ตัวที่ระยะซูมจำกัดอยู่ในช่วง normal ไปถึง wide นิดๆ เท่านั้น ทำให้หลายคนต้องปรับลักษณะการใช้งานเล็กน้อย (สำหรับคนที่ชอบส่องไกลๆ ก็มีตัวเลือกอีกหลายตัวที่ไม่ใช่ตัวนี้ Panasonic เองก็มี Lumix TZ5) พอดีผมชินระยะแบบนี้อยู่แล้ว (จากการใช้งาน D700+24-70)

    P1000715.jpg

  • ยังไม่มีโอกาสลองใช้แฟลชเลย
  • ข้อเสียต่างๆ ที่เคยเขียนถึงไว้ตอนรีวิวคราวที่แล้วยิ่งชัดขึ้น … ยังคงรำคาญฝาปิดเลนส์เหมือนเดิม และยังคงไม่ชอบ slider ที่เลือก aspect ratio เหมือนเดิม … หลายต่อหลายครั้งแล้วที่หยิบขึ้นมาถ่ายไปหลายรูป แล้วเพิ่งจะสังเกตว่ามันเป็น 4:3 ไม่ก็ 16:9 ทั้งๆ ที่ตั้งไว้ที่ 3:2 (ซึ่งอยู่ตรงกลางพอดี) อันนี้เป็นตัวอย่างของ Fitt’s law ได้เลยนะเนี่ย แล้วก็ command dial ที่หมุนเปลี่ยนตำแหน่งได้ง่ายเกินไปเหมือนกัน บางทีตั้งไว้ที่ aperture priority แล้วหยิบมาถ่าย กลายเป็น shutter priority หรือไม่ก็ไม่ตรงกับโหมดไหนเลยซะงั้น
  • นอกนั้นไม่มีอะไรแล้ว แต่ว่าตอนนี้ติดกล้องตัวนี้มาก

เครียด

เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด เครียด

กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง … เฮ้อ เรื่องที่มันเป็นเรื่องก็มีเรื่องให้เครียดมากมายพออยู่แล้ว มีเรื่องไม่เป็นเรื่องให้เครียดอีก แย่จริง

ขอระบายหน่อยนะ ได้ copy-paste คำว่า “เครียด” ค้างนานๆ แล้วรู้สึกดีขึ้น (จริงเหรอ?)