คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายที่รอคอย #7: “The Sunshine I’ve Waited”

เรื่องเล่า ที่เรียบเรียงจากเรื่องจริงของผม และว่าที่เจ้าสาว คุณวัชรพรรณ โล่ห์ทองคำ ตอนที่ 7

อัพเดทล่าสุดเมื่อ 10 กันยายน 2555

ความเดิม

05-06/2012: แสงตะวันที่ฉันรอคอย (The Sunshine I’ve Waited)

“หาก ‘ความรัก’ คือความรู้สึกแบบนี้ …. ที่ผ่านมาเราทั้งสองก็ไม่เคยรู้จักกับมันเลย”

หลังจากที่เรากลับมาจากเกาหลี ชีวิตของเราสองคนก็เปลี่ยนไปอย่างมากจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากที่แทบไม่เคยที่จะได้เจอกัน ในวัฏจักรที่เหมือนไม่รู้จบสิ้นของอาการคนหนึ่งอยากเจอ อีกคนบ่ายเบี่ยง แล้วก็กลับไปนั่งเหงาอยู่คนเดียวที่คอนโด จนกระทั่งคนหนึ่งเริ่มรู้สึกท้อและอยากถอย แต่คนที่นั่งเหงานั่งคอยก็ตามกลับมา … ทั้งที่ลึกๆ ในใจแล้วต่างก็รักกันมาตลอด และต่างก็รอคอยกันมาตลอด แต่ก็ปฏิเสธหัวใจตัวเองมาตลอดเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุผลเงื่อนไขต่างๆ นานาในชีวิต …

ชีวิตของเราสองคนกลายมาเป็นสิ่งที่เราเห็นตรงกันว่า มันน่าจะเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ก็คือ เราคุยกันได้ตรงๆ บอกความต้องการจากหัวใจของตัวเองได้ตรงๆ และเมื่อไหร่ที่เราเจอกัน เราแค่มองตากันก็แทบจะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไงอยู่ ไม่ต้องพูดไม่ต้องถามไม่ต้องอะไรทั้งสิ้น หากจะมีการถามอะไร ก็เพียงแต่ต้องการได้ยินสิ่งที่หัวใจมันรู้อยู่แล้ว และสายตามันสะท้อนอยู่แล้ว ก็เท่านั้น

เราเจอกันทุกวัน ทุกวัน และทุกวัน ถึงผมจะทำงานที่ ม.ศิลปากร นครปฐม เป็นหลัก (บางวันอาจจะอยู่โฮมออฟฟิศที่นนทบุรี) และมีนจะทำงานอยู่นอร์ธปาร์ค หลักสี่ กรุงเทพ เราก็ยังเจอกันทุกวัน กินข้าวกันทุกเย็น หาเวลาอยู่ด้วยกันตลอดเท่าที่จะทำได้

การได้เจออีกคนหนึ่งตอนเย็น การจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันแม้เพียงเล็กน้อยในตอนค่ำ กลายเป็นเหตุผลสำคัญเพียงข้อเดียวที่เราลืมตาตื่นขึ้นมาตอนเช้า การได้เจอกันในวันรุ่งขึ้น เป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้คำว่า “วันพรุ่งนี้” ยังมีความหมายกับชีวิตเราสองคน แค่เพียงได้เจอกัน แค่เพียงมีกันและกัน ชีวิตเราคงไม่ต้องการอะไรมากมายไปกว่านี้อีกแล้ว

เบอร์โทรศัพท์มีน เปลี่ยนจากเบอร์ที่ผมอยากโทรหาที่สุด แต่ทำใจกดโทรออกยากที่สุด กลายมาเป็นเบอร์ที่ผมกดโทรหาบ่อยที่สุด โทรหาแทบจะตลอดเวลาและทุกครั้งที่มีโอกาส … แต่ว่าโอกาสที่ว่านั้นก็ไม่ค่อยจะมีเท่าไหร่ เพราะมีนจะเป็นคนโทรมาหาผมเองมากกว่า มีนจะโทรมาหาทุกเช้า ทุกเที่ยง ทุกเย็นก่อนเจอกัน และก่อนนอน บ่อยครั้งที่เราแทบจะกดโทรศัพท์หากันพร้อมกัน นี่ยังไม่นับถึงข้อความนับร้อยข้อความถูกส่งไปส่งมาระหว่างกันและกันในแต่ละวัน

แต่ไม่ว่าจะติดต่อกันเท่าไหร่ เจอกันบ่อยแค่ไหน ก็ไม่เพียงพอที่ใจอยากจะได้ … ก็มันควรจะเป็นได้แบบนี้มาตั้งแต่สิบกว่าปีที่แล้ว … หรืออย่างน้อยที่สุด ก็ตั้งแต่เราต่างคนต่างสามารถกลับเข้ามาในชีวิตของกันและกันได้ ทำไมเราไม่ยอมเปิดใจคุยกัน ทำไมเราต้องทำตรงข้ามกับใจด้วย

วันหนึ่ง มีนกดเพลง “ให้รักเดินทางมาเจอกัน” ให้ผมฟังจากมือถือ … มันช่างเหมือนกับความรู้สึกของเราสองคนมากจริงๆ

ต้นเหตุของความเสียใจก็คือความจริงที่สองเราไม่พูดกัน
ไม่เคยจะมองตากันได้แต่คิดและทำอะไรไปตามต้องการโดยไม่สนใคร

ต้นเหตุของรอยน้ำตาไม่เคยเยียวยารักษาด้วยความเข้าใจ
มันเป็นเพราะความไม่รู้ไม่เคยดูให้ลึกลงไปข้างในหัวใจ
ได้แต่ทนเก็บไว้ผิดอะไรไม่เคยคิดถาม

เมื่อไหร่จะเข้าใจเมื่อไหร่จะรักกัน
หากเราทั้งสองไม่ยอมเปิดใจ
ให้คำว่ารักเดินทางมาเจอกัน
เมื่อไหร่จะเข้าใจได้ไหมคนดีช่วยพังทลายกำแพงที่มี
ให้ใจของเรามีวันที่ดีที่สวยงาม

จากผมคนที่เคยกลัว กลัวว่ามีนจะไม่รัก กลัวว่ามีนจะไม่ชอบ กลัวว่าตัวเองไม่ดีพอ ทำให้ไม่กล้าที่จะคุยด้วย และจากมีนคนที่เคยมีปมว่าตัวเองไม่ดีพอสำหรับอีกคนหนึ่งหรือ เธอจึงต้องไม่คุยกับฉัน และทำห่างเหินกับฉันตลอดเวลาที่ผ่านมา กลายมาเป็นคนที่เริ่มมั่นใจในตัวเองขึ้นมาได้มากขึ้นเรื่อยๆ และที่เป็นแบบนี้ ไม่ใช่เพราะอยู่ดีๆ มันรู้สึกมั่นใจตัวเองขึ้นมาเฉยๆ แต่เป็นเพราะเวลามองตาอีกคนหนึ่ง แล้วรับรู้ความรู้สึกของความรักที่มันถูกเก็บซ่อนมาตลอด 18 ปี ทีมันล้นออกมาจนไม่รู้จะเอาไปเก็บไว้ที่ไหน เหมือนกันทั้งคู่ต่างหาก

แม้แต่สิ่งที่เราสองคนกลัวมากที่สุดในขณะนั้น ก็คือทั้งที่รักกันขนาดนั้น แต่จะเข้ากันได้มั้ย ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ในการศึกษาซึ่งกันและกัน ถ้ามีเรื่องที่เข้ากันไม่ได้ หรือชอบไม่ตรงกัน และบังเอิญดันเป็นเรื่องสำคัญของความรัก ของชีวิตที่อาจจะต้องอยู่คู่กันต่อไปล่ะ … ก็กลับกลายเป็นว่า เราสองคนเข้ากันได้ดีมากอย่างน่าประหลาดในแทบทุกเรื่อง เราสองคนมีลักษณะพื้นฐานที่เหมือนกันในเรื่องที่ควรเหมือน (เมื่อเปิดใจคุยกันได้แล้ว) และต่างกันในเรื่องที่ควรต่าง ตัวอย่างเช่น ไม่ว่าจะเป็นการที่เราทั้งสองคนเป็นคนที่อะไรก็ได้ง่ายๆ ไม่เรื่องมาก กันทั้งคู่ แต่ผมจะเป็นคนมองเห็นภาพรวมในเรื่องที่มีนเป็นคนเห็นรายละเอียด แต่เป็นคนที่ละเอียดในเรื่องที่มีนเห็นภาพรวมๆ ทำให้เราไม่ต้องเถียงกันหรือทะเลาะกันในเรื่องของรายละเอียดที่ไม่ตรงกัน แต่มันเสริมกันได้ทั้งคู่ในแทบทุกจุด …. เท่านั้นไม่พอ รสนิยมและความชอบต่างๆ ของเรามันช่างตรงกัน ตรงกัน และตรงกัน แบบไม่น่าเชื่อเลย จนแทบจะเรียกได้ว่า ไม่ต้องมองตา ก็รู้ใจกันได้ ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร

และนับวัน ความรู้สึกของเราที่มีมาตั้งแต่กลับมาจากเกาหลี มันก็ยิ่งชัดเจนขึ้นๆ ทุกทีๆ


“ใช่แล้วล่ะ”
“คนนี้แหละ ที่รอคอยมานานแสนนาน”
“คนนี้แหละ ที่เราอยากจะใช้เวลาที่เหลือทั้งหมดของชีวิตกับเค้า”
……..
“คนนี้แหละ คือความสุขของชีวิต”

ในขณะที่หลายคนอาจจะเห็นว่า เพิ่งรู้จักกัน เพิ่งคบกัน ลองดูใจกันไปอีกหน่อยจะดีไหม ลองใช้เวลาหลายๆ เดือน หลายๆ ปี เหมือนคนนั้นคนนี้ไหม … ผมกลับไม่คิดเช่นนั้นเลยมาตั้งแต่ต้น

ในการบรรยายวิชาการครั้งแรกของผม กับเรื่อง “Calculus in Love” เมื่อกว่า 10 ปีก่อน ซึ่งผมได้อธิบายการเปลี่ยนแปลงของความรัก โดยใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่ผมถนัดที่สุด ผมเคยพูดเอาไว้ว่า

“เวลาไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไรเลย เวลาเป็นเพียงแค่ตัวสำคัญที่เชื่อมโยงจากเหตุไปหาผล เชื่อมจากสิ่งที่เราทำหรือไม่ทำ ไปยังสิ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้น สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราตัดสินใจต่างหาก ที่เป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่ากาลเวลา”

ผมชอบยกตัวอย่างง่ายๆ ว่า คนสองคนที่ไม่ว่าจะรักกันหรือไม่รักกัน นั่งอยู่ในห้องไม่คุยกัน 10 ปี ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน คนสองคนไม่รักกัน นั่งอยู่ในห้อง 3 เดือน แต่คุยกันทุกวัน ก็อาจจะรักกันได้ แต่ถ้าคนสองคนรักกัน นั่งอยู่ในห้องและคุยกัน แค่เพียงวันเดียวก็อาจจะกลายเป็นคู่รักกันไปได้เลย … นั่นคือ เวลาไม่มีผลอะไรเท่าที่หลายคนคิด สิ่งที่สำคัญและมีค่าคือต้นทุนทางจิตใจ และการกระทำที่จะสื่อสารมันออกมาต่างหาก

ระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน ซึ่งอาจดูเป็นเพียงช่วงสั้นๆ ในความรู้สึกของใครหลายๆ คน มันมีเรื่องอะไรต่างๆ เกิดขึ้นมากมายระหว่างผมและมีน มันเป็นช่วง “จีบกัน” (ช่วงโปรโมชั่น หรือที่ผมชอบอ่านว่า “ช่วงโปรโมทฉัน”) ที่แปลกที่สุดที่ผมเคยรู้จักมา คือเป็นช่วงเวลาที่มีแต่ความไม่เข้าใจ เป็นช่วงเวลาที่มีแต่ความสับสน ความทรมาน ความทุกข์ของความไม่แน่นอน อันเกิดจากความกลัว ปมต่างๆ และธรรมชาติของเราสองคนเอง ที่สุดท้ายเราก็ผ่านมันมาได้ทั้งคู่ …. และยิ่งช่วงโปรโมชั่นมันยิ่งแย่เท่าไหร่ เรากลับยิ่งเข้าใจกันมากขึ้นๆ ทุกที เพราะสุดท้ายเมื่ออีกคนแสดงท่าทางจะไป เราก็ต้องยอมพูดความจริงของหัวใจออกมาดังๆ

ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นในช่วงนั้น บวกกับเวลาช่วงสั้นๆ ที่เกิดขึ้นตอนที่ไปเกาหลี เป็นเพียงเหตุการณ์สุดท้าย ในเรื่องราวของความรักและความรู้สึกที่มันมากมายมหาศาล … ต้นทุนทางความรู้สึกที่เรามีให้กัน ที่เราสะสมมา 18 ปี …..
… ตั้งแต่ที่มีนเริ่มถามเพื่อนเค้าว่าเด็กที่เข้ามาเรียนใหม่เป็นใคร
… ตั้งแต่ที่ผมเห็นรอยยิ้มครั้งนั้นที่ระเบียง
… ตั้งแต่วันที่ผมขอเดินไปส่งที่สถานีรถไฟ
… ตั้งแต่วันที่เราถ่ายรูปคู่กันเป็นครั้งแรก สมัยเรียน ม.ต้น
… ตั้งแต่ช่วงที่เห็นหน้ากันทุกวัน แต่ไม่เคยคุยกันทั้งๆ ที่ใจอยากจะคุย อยากให้อีกคนสนใจ สมัยที่เรียน ม.ปลาย
… ตั้งแต่ช่วงเวลาแสนสั้นที่แสนมีความสุข เมื่อเราติดต่อกันสมัยเรียนมหาวิทยาลัย
… ตั้งแต่ช่วงเวลาของการตามหา การรอคอย การปิดขังหัวใจ มานับสิบปี …
… ตั้งแต่เราได้กลับมาเจอกันใหม่อีกครั้ง …

ต้นทุนทางความรู้สึกที่มากมายนี้ กับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างเรา ที่ค่อยๆ เปลี่ยนจากความรักและความไม่เข้าใจ ที่ครอบงำด้วยความกลัว ให้กลายมาเป็นชีวิตที่มีความสุขที่มีคนที่รักและเข้าใจอยู่ใกล้ๆ คนที่ใช่ทุกอย่าง อย่างที่ปฏิเสธความรู้สึกใดๆ ไม่ได้

เมื่อเรายิ่งเจอกันทุกๆ วัน และได้แสดงออกถึงความรัก ความห่วงใย ความคิดถึง ความโหยหาที่เหมือนกับอยากชดเชยสิ่งที่เป็นมาตลอดชีวิต มันยิ่งตอกย้ำทุกสิ่งทุกอย่างมากขึ้นๆ …

กาลเวลา ก็ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว เมื่อมันพาเรามาถึงวันที่เป็นผลจากทุกสิ่งทุกอย่าง

ชีวิตของเราทั้งสองคน ต่างเจอวิญญาณอีกครึ่งดวงที่ขาดหายไป คนที่จะทำให้ชีวิตได้เป็นอย่างที่มันถูกสร้างมาให้เป็น เรารู้สึกตรงกันว่า อีกคนหนึ่งคือความสุขเดียวในชีวิต และเราต้องการที่จะมีชีวิตต่อไป โดยมีอีกคนหนึ่งอยู่ด้วย จนกระทั่งวันเวลาสุดท้ายของลมหายใจจะมาถึง

ในวันหนึ่ง … วันที่ไม่มีความหมายใดๆ ทั้งสิ้น ผมขับรถไปส่งมีนที่คอนโดของเธอ ณ ลานจอดรถซึ่งไม่มีอะไรโรแมนติก ไม่มีบรรยากาศให้ชวนฝันใดๆ … มีแต่ความรู้สึกในใจ ที่มันล้นออกมาในสายตา และสัมผัสของมือที่กุมกันอยู่ บรรยากาศข้างนอกน่ะช่างมันปะไร แต่บรรยากาศในใจมันเรียกร้องเหลือเกิน …. น้ำตาผมเริ่มที่จะคลอตา กับความรู้สึกที่สะสมบ่มเพาะมานานถึง 18 ปี เมื่อผมก็พูดว่า

“มีนครับ … แต่งงานกับผมนะที่รัก”

ผมเห็นทั้งรอยยิ้มและน้ำตา อาบอยู่บนหน้าผู้หญิงคนที่รักที่สุด คนที่เป็นคนแรกของหัวใจ และคนสุดท้ายที่ผมรอคอยมานานแสนนาน หัวใจผมมันรับรู้คำตอบของเธอคนนี้ก่อนที่เธอจะตอบอะไรออกมาเสียอีก … แต่ถึงกระนั้น มันก็ไม่ได้เสี้ยวเลยกับความรู้สึกที่เธอจับมือผมไว้แน่น และตอบเบาๆ ว่า

“ค่ะ .. ที่รักของมีน”

(จบตอน … ตอนต่อไปคือตอนอวสาน)

คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายที่รอคอย #6: “The Light Shaft”

เรื่องเล่า ที่เรียบเรียงจากเรื่องจริงของผม และว่าที่เจ้าสาว คุณวัชรพรรณ โล่ห์ทองคำ ตอนที่ 6

อัพเดทล่าสุดเมื่อ 10 กันยายน 2555

ความเดิม

05/2012: แสงสว่างส่องผ่านเมฆ (The Light Shaft)

“ตัวเองรู้มั้ย นี่จะเป็นครั้งแรกนะที่เราจะได้เจอกันทั้งวัน …”

แม้ว่าภูเขาน้ำแข็งจะเริ่มละลาย และกำแพงในใจก็เริ่มกร่อนลงแล้ว … แต่เรื่องหนึ่งที่ยังคงเป็นความจริงอยู่ก็คือ ที่จริงแล้วเราทั้งสองคนไม่เคยไปไหนด้วยกันเลย และแทบไม่เคยมีทำกิจกรรมอะไรด้วยกันเลยในชีวิต มีแค่นัดทานข้าวกันนานๆ ครั้ง แล้วก็ไปเยี่ยมบ้านกันบ้าง ซึ่งทั้งหมดก็เป็นแค่การนั่งคุยกันเท่านั้น นอกจากนั้นแล้วเราแทบไม่เจอกันเลย และที่แน่นอนที่สุดก็คือ เราไม่เคยเที่ยวด้วยกัน ไม่เคยเจอหน้ากันเกิน 3-4 ชั่วโมง ไม่เคยมีกิจกรรมอะไรด้วยกันมากกว่านั้น

ธรรมชาติของเราสองคนทำให้เราเจอกันยากเสมอมา เมื่อไหร่ที่จะเจอกันได้ มีนจะปฏิเสธหรือหนีเสมอ ในขณะที่ผมจะยอมรับชะตากรรมเสมอ จนต่างฝ่ายต่างคิดว่าอีกคนไม่อยากเจอตัวเอง

เราสองคนจึงทั้งรอและทั้งกลัวทริปที่จะไปเที่ยวเกาหลีด้วยกันกับครอบครัวและเพื่อนๆ ของมีน (ซึ่งเราไปกันหลายคน มีคุณพ่อ คุณแม่ คุณป้า คุณนกเพื่อนสนิทของมีน และเพื่อนๆ ของคุณนก รวมผมด้วยเป็น 9 คน … เยอะมั้ยล่ะ) เรากลัวอะไรเหรอ เราก็คงกลัวว่าจะไม่สนุก จะนิ่งเฉยมึนตึงใส่กัน แล้วถ้าเป็นงั้นคนอื่นจะรู้สึกยังไง ฯลฯ เล่นเอาผมเครียดมากก่อนจะไป …. โดยเฉพาะสำหรับผม ที่มีธรรมชาติเป็นคนเก็บตัว ขี้อาย และเข้ากับคนยากพอสมควร คุยกับใครเรื่องธรรมดาทั่วๆ ไปไม่ค่อยจะเป็นกับเขา จะคุยเป็นคุยสนุกก็เรื่องงานหรือเรื่องวิชาการ

เรากลัวเหลือเกินว่าท่ามกลางความรู้สึกดีต่อกันทั้งคู่ หลังจากได้เริ่มเปิดใจยอมรับความรู้สึกตัวเองที่ถูกเก็บกดเอาไว้นานนับสิบปีให้อีกฝ่ายได้รับรู้จริงๆ เป็นครั้งแรกเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ถ้าระหว่างไปเที่ยวครั้งนี้ อีกฝ่ายเริ่มรู้สึกว่าแท้จริงแล้วมัน “ไม่ใช่” ขึ้นมาล่ะ?

เรายังคงกลัวว่า ทั้งที่แท้จริงแล้วความรู้สึกระหว่างเรามันคือความรักตลอดเวลา 18 ปีที่ผ่านมา แต่สุดท้ายมันกลับไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปได้ ความต้องการของหัวใจ จะกลับกลายเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ของชีวิต ความระแวง ความไม่มั่นใจ ความกลัวก็ยังคงครอบงำความคิดของทั้งผมและมีนอยู่

และสิ่งที่เราสองคนกลัวที่สุด กลัวมากกว่าอะไรทั้งหมดทั้งสิ้นก็คือ แม้ว่าเราจะรู้สึกว่ามันใช่นะ แต่ถ้าอีกคนหนึ่งรู้สึกว่ามัน “ไม่ใช่” ขึ้นมาล่ะ?

การไปเที่ยวครั้งนี้มันจะกลายเป็นเพียง “ฝันตื่นหนึ่ง” ที่เราจะต้องตื่นจากมันเมื่อเรากลับมา แต่ภาพฝันนี้มันจะฝังใจและหลอกหลอนเราตลอดไปในชีวิตที่เหลืออยู่ ว่าครั้งหนึ่งเราเคยมีเวลาได้อยู่ใกล้ๆ กัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราฝันถึงและโหยหามานาน แต่แล้วทุกอย่างก็ต้องพังทลายด้วยมือของเราเอง และทุกอย่างก็จะกลับไปเป็นเหมือนที่เคยเป็นก่อนที่เราจะไปเที่ยวด้วยกัน เพราะที่ผ่านมาในอดีตของเรื่องราวระหว่างเราสองคนนั้น เมื่ออะไรมันเหมือนจะดี ก็จะมีเรื่องให้มันต้องกลายเป็นเพียงฝันตื่นหนึ่งไปเสียทุกที

แต่ไหนๆ ก็จะได้เที่ยวด้วยกันทั้งที ผมก็อยากได้รูปมีนไว้เยอะๆ … เผื่อว่าวันหนึ่งข้างหน้า หากมันจะกลายเป็นเพียงฝันตื่นหนึ่ง .. อย่างน้อยๆ ผมก็มีรูปจากฝันดีครั้งนี้ เอาไว้คิดถึงวันเวลาเหล่านี้อีกครั้ง ซึ่งด้วยความที่ผมเป็นคนเล่นกล้อง และชอบถ่ายรูป ทริปนี้ผมก็ไม่ลืมที่จะเอากล้องไปด้วย 2 ตัว โดยผมจงใจเลือกกล้องและเลนส์ชุดที่ “ถ่ายคนออกมาสวยที่สุดเท่าที่ผมมี” และมีเลนส์มุมกว้างพอที่จะเอาไว้ถ่ายรูปคู่ และกล้องอีกตัวหนึ่งซึ่งเป็นกล้องที่ “โฟกัสไวและมีโอกาสได้ภาพสูงสุดที่ผมมี” (Fujifilm X-Pro1 พร้อมเลนส์ 35/1.4 ซึ่งถ่ายคนสวยมาก และ 18/2 ซึ่งกว้างพอจะถ่ายรูปคู่ตัวเอง และ Nikon V1) เพราะผมไม่อยากจะพลาดจังหวะอะไรแม้แต่จังหวะเดียว

เมื่อไปถึงสนามบิน เราไม่ได้คุยกันมากนัก เพราะอะไรต่ออะไรหลายๆ อย่าง ทำให้จริงๆ แล้วผมแอบรู้สึกใจเสียเล็กๆ แต่เมื่อขึ้นไปบนเครื่องบนซึ่งมีรูปแบบแถวเครื่องบินลำนั้นเป็น 2-3-2 ผมกับมีนได้นั่งด้วยกันตรงแถวด้านข้าง หลังจากการแลกที่นั่งกับน้องคนหนึ่งที่ไปด้วยกัน (น้องแจง; ขอบคุณน้องด้วยนะครับ)

บอกตามตรงว่าตื่นเต้นมาก เพราะถึงจะเป็นการนั่งข้างๆ กันบนเครื่องบินเฉยๆ แต่มันก็เป็นไฟลท์กลางคืน … ซึ่งนั่นหมายความว่า วันนี้จะเป็นครั้งแรกในชีวิตกว่าสิบปีที่ผ่านมาของผม ที่จะไม่ต้องนั่งถามตัวเองอย่างไม่มีคำตอบก่อนจะเข้านอน ว่ามีนจะเป็นยังไงบ้าง และนั่นหมายความว่า เมื่อตื่นขึ้นมาตอนเช้า ผมก็ไม่ต้องถามตัวเองด้วยคำถามเดียวกัน … เพราะมีนจะเป็นภาพสุดท้ายที่ผมเห็นก่อนจะหลับ และเป็นภาพแรกที่ผมเห็นเมื่อผมตื่น ….. แต่จนแล้วจนรอด เราทั้งสองคนก็นั่งคุยกัน นั่งจับมือกันแบบกลัวอีกคนหนึี่งจะหลุดลอยหายไปกับกลีบเมฆ กลัวว่าหากหลับไปแล้วจะตื่นมาพบว่ามันเป็นแค่ฝัน จนเราสองคนแทบไม่ได้นอนเลย

ความอบอุ่นจากมือที่สัมผัสกัน ค่อยๆ ละลายภูเขาน้ำแข็งทีละน้อยๆ ความใกล้ชิดที่นั่งไหล่พิงกัน ก็ค่อยๆ กร่อนกำแพงลงไปทีละน้อยๆ และเสียงของหัวใจก็ดังขึ้นเรื่อยๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว

เมื่อไปถึงเกาหลีจริงๆ ผมกับมีนจะนั่งแยกกันเสมอ มีนจะนั่งกับคนในครอบครัว ส่วนผมจะนั่งกับกองกระเป๋า (ก็นั่งคนเดียวน่ะแหละ) ความรู้สึกกลัวเริ่มครอบงำผมอีกครั้ง ว่าทริปนี้จะกลายเป็นเรื่องที่คนที่เรารักที่สุดนั้นอยู่ใกล้แค่มือคว้า แต่เหมือนอยู่ไกลแค่ตาเห็น เอื้อมมือคว้าจริงๆ ไม่ได้ เหมือนกับพระจันทร์เต็มดวงในตอนกลางคืน ที่เหมือนจะอยู่ใกล้แสนใกล้ แต่เอื้อมอย่างไรก็เอื้อมไม่ถึง

แต่มองอีกด้านหนึ่ง มันเป็นครั้งแรกในชีวิตตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา ที่ผมไม่ต้องหลับตาจินตนาการภาพของมีนในใจเมื่อเวลาอยากเห็น เมื่อเวลาคิดถึง เป็นครั้งแรกที่แค่หันไปนิดหน่อยก็เจอมีนนั่งอยู่ตรงนั้น ส่วนมากผมจะมองมีนเกือบตลอดเวลา และหลายครั้งผมก็เห็นมีนแอบมองตอบมาด้วย ก่อนจะหันกลับไปนั่งยิ้มแก้มแทบปริอยู่คนเดียว ซึ่งก็เล่นเอาผมเขินและนั่งยิ้มได้เหมือนกัน

ตั้งแต่เช้าวันแรก เราทั้งสองต่างคนต่างยังเกร็งๆ กันอยู่ จะถ่ายรูปคู่กันก็ไม่กล้า จะเดินเล่นด้วยกันก็ยังเขิน จะคุยกันก็ยังอาย จะโดนตัวกันบ้างก็ยังกลัว แล้วก็ยังรู้สึกเกรงใจคนอื่นที่ไปด้วย ผมจำได้เลยว่าเมื่อถึงจุดแรกที่ได้หยุดลงเดินเล่นด้วยกัน นี่แทบจะไม่มีเวลาเดินด้วยกันสองคนเลย

แต่ด้วยความที่ผมอยากมีรูปมีนไว้เยอะ ดังนั้นไม่ว่ามีนจะเดินไปที่ไหน เดินไปกับใคร ผมจะเดินตามอยู่ใกล้ๆ และจะคอยถ่ายรูปเธอเสมอ ถ่ายรูปเธอตลอดเวลา ผมอยากจะเก็บทุกความทรงจำ เก็บทุกรอยยิ้ม เอาไว้ในภาพถ่าย เผื่อว่าวันพรุ่งนี้ผมตื่นมาแล้วเรื่องราวทั้งหมดที่ผมได้อยู่ใกล้ๆ เธอ และได้เห็นรอยยิ้มเหล่านี้ มันกลายเป็นเพียงฝันไป

ใครจะไปรู้ล่ะ ว่าการถ่ายรูปมีนจะทำให้เราได้ค่อยๆ ใกล้ชิดกันมากขึ้น ทำให้เราได้ค่อยๆ มองกันมากขึ้น และค่อยๆ ทำให้เราได้ยิ้มให้กันมากขึ้น รวมถึงลดอาการเขินอายกันมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ยังค่อยๆ ทำให้เราเหมือนจะมีเวลาส่วนตัว ท่ามกลางกลุ่มคนทั้งทริป มากขึ้นๆ ด้วย ไม่ว่าจะไปที่ไหน ผมจะขอให้มีนหยุดสักแป๊บ ให้ผมได้กดชัตเตอร์สักหน่อย แล้วผมก็จะให้มีนดูรูปจากหลังกล้อง ยืนยิ้มแล้วก็หัวเราะกัน บางทีก็ขอถ่ายรูปคู่กับมีนด้วย

ทุกอย่างก็อยู่ในวัฏจักรนี้แหละ เราจะมีเวลาได้อยู่ด้วยกันบ้างเมื่อรถจอด และลงไปตามที่ต่างๆ (ซึ่งจริงๆ ก็แทบจะเหมือนกับวิ่งผ่านสถานที่อย่างรวดเร็ว ไม่ได้มีเวลาอะไรเท่าไหร่นักหรอก) เวลาทานข้าว รวมถึงเวลาพักผ่อนตามอัธยาศัยเล็กน้อยเท่านั้น

จนกระทั่งไกด์ก็พาเราไปที่เกาะนามิ (เกาะกลางทะเลสาบแห่งหนึ่ง ผมไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรมากหรอกครับ ไม่ใช่แฟนพันธ์แท้เกาหลี) ที่ซึ่งเรามีเวลาเดินด้วยกันเยอะหน่อย มีเวลายืนคุยกัน เดินคุยกัน เดินถ่ายรูปด้วยกันเยอะกว่าจุดอื่นๆ ที่ลงไปไม่ทันไร ยังไม่ทันได้พัฒนาความรู้สึกอะไรทั้งสิ้น ก็ต้องกลับมาขึ้นรถ แล้วก็แยกกันนั่งให้ได้แต่แอบมองกันเหมือนเดิม การไปที่เกาะนั้นเอง ทำให้เราเริ่มคุ้นเคยกันมากขึ้น ความเกร็งที่เคยมีก็น้อยลง ความกล้าที่จะเดินออกจากความกลัว และเดินเข้าไปในชีวิตของอีกคนหนึ่งก็ค่อยๆ มากขึ้นเป็นลำดับ

ก็เหมือนกับการต้มน้ำ ตราบใดก็ตามที่ยังไม่ถึงจุดเดือด ดูจากภายนอกน้ำก็จะยังเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น แต่แท้จริงแล้วอุณหภูมิของน้ำและพลังงานที่สะสม ก็ค่อยๆ ใกล้จุดนั้นเข้าไปทุกที จนกระทั่งจุดเปลี่ยนแปลงของสถานะมาถึง … เรื่องของผมกับมีนก็เช่นเดียวกัน แม้ดูภายนอกจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรจากสิ่งที่เคยเป็นก่อนหน้านี้ แต่ความรู้สึกต่างๆ ที่สะสมมา และความอบอุ่นจากการมีอีกคนอยู่ใกล้ๆ ก็ทำให้จุดเปลี่ยนแปลงใกล้ขึ้นมาทีละน้อยๆ

และแล้ว…. จุดเปลี่ยนนั้นก็มาถึง เมื่อเราต้องไป “สวนสนุก” กัน เพราะว่าที่สวนสนุกนี้แหละ ที่เราได้เริ่มปลดปล่อยความรู้สึกอะไรมากขึ้น มีการหยอกล้อเล่น การที่ได้เดินจับมือกันจริงๆ ในชีวิตเป็นครั้งแรก การที่ได้นั่งบนกระเช้าแล้วโอบไหล่กัน การที่เล่นเครื่องเล่นแล้วตัวโดนกันตามธรรมชาติของการเคลื่อนไหว …. สิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้ค่อยๆ เปลี่ยนการแสดงออกของเราทีละนิดๆ จากที่ได้แต่แอบมองกัน ไม่กล้ามองเต็มๆ ตา ได้แต่กลัวอีกฝ่ายหนึ่งจะรู้สึกนี่นั่นโน่น จึงได้แต่สงวนท่าทีไม่กล้าพูดไม่กล้าบอกไม่กล้าทำอะไรมากมาย กลายมาเป็นตาสองคู่ที่มองหากันตลอดเวลา มือสองข้างที่แทบจะคว้าหากันตลอดเวลาที่สัมผัสกันได้

ตอนนั้นเราต่างคนต่างรู้สึกว่า มือของอีกคนหนึ่ง มันอบอุ่นเสียเหลือเกินเวลาที่ได้สัมผัสกัน และต่างคนต่างเริ่มรู้สึกว่า การมีอีกคนอยู่ใกล้ๆ ให้ได้เดินจูงมือกัน ให้ได้ยิ้มให้กัน ให้ได้เห็นอีกคนมองเราอยู่ด้วยความรักที่สะท้อนในสายตา มันช่างเป็นความสุขที่ไม่อาจบรรยายได้เลย

ผมมองมีนคนเดียวตลอดทริป จนคนที่ไปด้วยก็คงจะเห็นพ้องต้องกันเป็นภาพเดียวแน่นอน ว่าตลอดเวลากล้องของผมแทบจะไม่เคยโฟกัสไปที่อื่นเลย นอกจากโฟกัสที่มีนเท่านั้น ซึี่งก็เป็นเรื่องจริงนะ ทริปนั้นผมแทบจะไม่สนใจถ่ายรูปอย่างอื่นในแนวที่ผมชอบเลย สุดท้ายก็โดนเพื่อนร่วมก๊วนคนหนึ่ง (คุณดาว) แซวจนได้ว่ากล้องผมมีแต่รูปมีน ผมก็ตอบไปแบบเขินๆ ว่า

“กล้องมันก็่โฟกัสตามสายตาคนถ่ายน่ะแหละครับ”

ทุกครั้งที่อยู่หน้ากล้องผม ผมเห็นมีนท่าทางมีความสุขมาก และผมไม่เคยเห็นมีนท่าทางมีความสุขขนาดนี้มาก่อนเลย

สายตาที่เราเห็นอีกฝ่ายหนึ่งมองกลับมายังตัวเองก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป เมื่อเราทั้งสองคนต่างยอมรับความจริงง่ายๆ ว่าไม่เคยมีความสุขขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ความสุขง่ายๆ แค่การได้มีคนๆ หนึ่งอยู่ใกล้ๆ ให้เราเห็นได้ ให้สายตาและความรู้สึกเราสัมผัสได้ ให้ได้เห็นเค้ากินข้าว ให้ได้เห็นเค้ายิ้ม .. แค่นี้มันทำให้รู้สึกมีความสุขชนิดที่บรรยายออกมาเป็นตัวอักษรไม่ได้ ไม่ว่าจะในภาษาอะไรก็ตามที่เรารู้จัก

ไม่ใช่แค่เพียงเราสองคนเท่านั้น ที่รู้ตัวว่าตัวเองเปลี่ยนไป คนอื่นๆ ที่ไปด้วยกันในทริป ทั้งคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย ก็เริ่มเห็นเช่นกัน หลายคนเริ่มแซวผมเวลาที่ถ่ายรูปเพื่อนมีนตอนมีนไม่ได้อยู่ด้วย

“นางเอกเค้าไม่อยู่ในฉาก พวกตัวประกอบเลยได้คิวเข้ากล้องใช่มั้ยเนี่ย”

หรือแม้แต่ไกด์นำเที่ยว ก็ยังอดแซวไม่ได้ ตอนที่ไปโซลทาวเวอร์ซึ่งจะมีที่ให้คนที่เป็นคู่รักคล้องกุญแจกันไว้

“อย่างคู่นี้ถ้าไม่ได้เอากุญแจมา ก็ซื้อกุญแจได้นะ”

นั่นสินะ คู่ไหนๆ เค้าไปโซลทาวเวอร์กันก็คงจะไปคล้องกุญแจกันทั้งนั้น แต่ผมกับมีน ก็เหมือนจะเพิ่งไปเปลี่ยนสถานะกันจริงๆ ที่โน่น ก็เลยไม่ได้เตรียมไป ระหว่างเดินขึ้นไป มีนถามผมว่าจะคล้องกุญแจกันมั้ย ผมรู้นะว่ามีนเองก็คงอยากจะคล้องกุญแจ แต่จนแล้วจนรอด ด้วยความที่ยังคงเขินยังคงอายอยู่นั่นแหละ (กลัวโดนแซวหนักกว่าเดิม) ก็เลยไม่ได้ซื้อกุญแจ แต่เรามีสิ่งสำคัญกว่านั้นที่จะต้องคล้องกันไว้ …

ผมชวนมีนเดินไปถึงจุดที่เค้าคล้องกุญแจกัน จับมือเธอขึ้นมาวางบนราวที่มีไว้แขวนกุญแจเบาๆ แล้วบอกเธอเบาๆ ว่า

“แทนกุญแจนะครับ”

เมื่อสองมือจับกันไว้เบาๆ ครั้งนั้น เราต่างคนต่างรับรู้อย่างชัดเจน ว่าแท้ที่จริงแล้วเราต่างคนต่างมีกุญแจอยู่คนละดอกมาตลอด เป็นกุญแจของประตูปิดตายที่ขังหัวใจเอาไว้มานานแสนนาน โดยที่เราไม่เคยรู้ว่าจะเปิดประตูบานนี้อย่างไร และตอนนี้เราเข้าใจแล้วว่าประตูหัวใจของผม มีแต่มีนเท่านั้นที่มีกุญแจไขเปิดมันออกได้ และประตูหัวใจของมีน ก็มีแต่ผมเท่านั้นที่มีกุญแจ

ประตูปิดตายที่ขังหัวใจของเราสองคนมาช้านาน ในที่สุดก็ถูกเปิดออก ให้หัวใจได้ออกมาเป็นอิสระอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรก ในเวลากว่าสิบปี

ในระยะเวลาสั้นๆ ที่เราได้อยู่ด้วยกันที่เกาหลี มันได้สื่อสารความรู้สึกที่เรามีให้กันตลอด 18 ปีในหัวใจ ออกมาอย่างหมดสิ้น และท้ายที่สุดแล้ว มันก็ไม่ได้เป็นแต่เพียงครั้งแรกที่เราสองคนต้องเจอกันแทบจะตลอดเวลาเท่านั้น …

มันยังเป็นครั้งแรก … ที่ไม่มีระเบียงทางเดินยาวๆ ให้ผมต้องรีบเดินผ่านๆ ไป
มันยังเป็นครั้งแรก … ที่ไม่ได้คุยผ่านสายโทรศัพท์ให้ตัดบทวางสายได้เมื่อกลไกของประตูปิดตายบนกำแพงเริ่มทำงาน
มันยังเป็นครั้งแรก … ที่การหาหรือยกเหตุผลต่างๆ มาเพื่อให้ไม่ต้องเจอกันนั้น จะใช้ไม่ได้ทั้งสิ้น
มันยังเป็นครั้งแรก … ที่เราได้มีอีกคนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องอยู่กับภาพของอีกคนหนึ่งที่เกิดจากจินตนาการของความคิดถึงและความกลัว
มันยังเป็นครั้งแรก … ที่เราไม่ต้องเอาชนะความกลัวเพื่อที่จะก้าวขาออกจากจุดที่เรายืนอยู่ เพื่อเข้าไปในชีวิตของอีกคนหนึ่ง เพราะต่างคนต่างเหมือนกับค่อยๆ ก้าวเข้ามาหาเราเอง
……
มันยังเป็นครั้งแรก … ที่เราสองคนต่างหนีความจริงง่ายๆ ของหัวใจตัวเองไม่ได้ …
มันยังเป็นครั้งแรก … ที่ไม่สามารถจะมีอะไรมาห้ามความรู้สึกที่ต่างคนต่างเก็บเอาไว้ในก้นบึ้งของหัวใจตัวเองได้เลย …

ทีละน้อย และทีละน้อย ที่เราได้ค่อยๆ คุยกัน ได้ค่อยๆ มองกันและกันระหว่างทริป ได้ทานข้าวด้วยกัน ได้ดูแลเทคแคร์กันบ้างตามโอกาสที่อำนวยให้ มันได้ค่อยๆ ทำให้เสียงหัวใจตัวเองดังขึ้นเรื่อยๆ … หัวใจที่ขังตัวเองมาตลอด หัวใจที่ไม่เคยมีโอกาสพูด หัวใจที่ไม่เคยมีปากมีเสียง ในที่สุดก็ได้รับโอกาสที่จะพูดกับตัวของเราเองทั้งสองเป็นครั้งแรก หลายสิ่งหลายอย่างที่ถูกซ่อนและเก็บกดอยู่ข้างในใจจริงๆ ก็ค่อยๆ ถูกปลดปล่อยออกมาให้ตัวเองยิ่งรู้ใจตัวเองมากขึ้นๆ

ทีละน้อย และทีละน้อย ที่เราเริ่มปล่อยความรู้สึกทุกอย่างไปตามความต้องการของหัวใจ เราเริ่มมองหากันมากขึ้น รอเวลาลงจากรถไปที่ต่างๆ มากขึ้น เริ่มอยากมีเวลาส่วนตัวกันมากขึ้น รอเวลาวันพรุ่งนี้มาถึงมากขึ้น แอบเดินเกี่ยวก้อยและจับมือกันทุกเวลาที่โอกาสจะอำนวยให้ทำได้ เรารู้สึกว่าเวลาทุกวินาทีที่เราได้ใช้ด้วยกันได้ ไม่ว่าจะเป็นเวลาทานข้าว เวลาเดินซื้อของ เวลาลงไปตามที่ต่างๆ หรือแม้แต่เวลามองตากัน มันช่างเป็นเวลาที่มีค่าและมีความสุขเหลือเกิน

ทีละน้อย และทีละน้อย ที่การแสดงออกระหว่างกันและกันของเราทั้งสองคน ค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนจากคนที่รู้สึกรักอีกคนหนึ่ง แต่แสดงออกไม่ได้ และเลือกที่จะปฏิเสธไม่แสดงออกมาตลอด จนบางครั้งก็ทำตัวเหินห่างยิ่งกว่าเพื่อนธรรมดาทั่วไปเสียอีก กลายมาเป็นสิ่งที่เราต่างคนต่างฝันมานานแล้ว นั่นคือการแสดงออกแบบคนรักกัน เราเริ่มอยากแสดงออกมากขึ้นให้อีกคนรู้ว่าเรารู้สึกอย่างไรในใจ เรารักอีกคนหนึ่งขนาดไหน สิ่งที่สะสมมานานนับสิบปี ตั้งแต่เริ่มยิ้มให้กัน ตั้งแต่ส่งจดหมายติดต่อกัน ตั้งแต่ความฝันที่จะได้เจอกันที่ไม่เคยเป็นจริง กำลังค่อยๆ ล้นออกมาจากกำแพงที่เล็กลงๆ

ทีละน้อย และทีละน้อย ความรู้สึกของเราได้เปลี่ยนไปจากความกลัว จากความไม่แน่ใจ จากการที่หัวใจยอมแพ้ต่อเหตุผลที่ทำร้ายตัวเองของเราทั้งสองคนตลอดมา ก็กลายเป็นความแน่ใจ กลายเป็นความชัดเจน กลายเป็นความมั่นใจ ความรักที่เรามีให้กันและกัน ความรู้สึกที่เรามีให้กัน เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ เราต้องการให้อีกคนหนึ่ง เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา เราโหยหาเสี้ยวของเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันเหลือเกิน

ทีละน้อย และทีละน้อย ที่เราสองคนรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่สัมผัสได้ด้วยหัวใจ ความอบอุ่นที่แสดงถึงการสิ้นสุดของลมหนาวที่หล่อเลี้ยงภูเขาน้ำแข็งลูกนั้นตลอดมา และเมื่อพายุหิมะไม่สามารถพัดมาได้ และประตูปิดตายถูกไขออกมา …. ภูเขาน้ำแข็งขนาดมหึมาที่ก่อตัวขึ้นมาตลอดสิบกว่าปีรอบหัวใจของมีน ก็ถูกละลายหายไป และกำแพงยักษ์ใหญ่ที่ถูกก่อขึ้นมาขวางความรู้สึกในใจผม ก็ถูกทำลายลงอย่างไม่เหลือชิ้นดี

หัวใจของเราทั้งคู่ ได้แสดงออกถึงความรู้สึกที่เราบังคับให้มันเก็บมันกดเอาไว้มานานอย่างเต็มที่ เมื่อเราปล่อยหัวใจให้เป็นอิสระ ให้แสดงความรู้สึกและรับรู้ความรู้สึกไปตามใจของมัน ให้เราฟังเสียงและรับรู้ความรู้สึกของหัวใจตัวเอง เราทั้งสองคนถึงได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริง ที่เราทั้งสองคนต่างไม่เคยรู้จักและไม่เคยเข้าใจเลย ในช่วงตลอดชีวิตที่ผ่านมา

“หาก ‘ความรัก’ คือความรู้สึกแบบนี้ …. ที่ผ่านมาเราทั้งสองก็ไม่เคยรู้จักกับมันเลย”

ในที่สุด หัวใจของเราทั้งคู่ ก็ได้เฉลยคำตอบของชีวิตเราสองคน … ไว้ตรงหน้าแล้ว ณ วันนั้น


“ใช่แล้วล่ะ”
“คนนี้แหละ ที่รอคอยมานานแสนนาน”
“คนนี้แหละ ที่เราอยากจะใช้เวลาที่เหลือทั้งหมดของชีวิตกับเค้า”
……..
“คนนี้แหละ คือความสุขของชีวิต”

สุดท้ายการไปเที่ยวครั้งนั้นก็เป็นเพียงฝันตื่นหนึ่งจริงๆ … แต่เป็นฝันที่เมื่อเราตื่นขึ้นมาแล้ว โลกในฝันนั้นกลับกลายมาเป็นโลกจริงๆ ของเราทั้งสองคน โลกที่เรารู้แล้วว่า ชีวิตเรามีความสุขที่สุด เมื่อมีอีกคนอยู่เคียงข้างๆ

ฉากของชีวิตที่กำลังเปลี่ยนไป …. ภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ถูกละลายกลายเป็นแม่น้ำลำธารใส กำแพงที่ถูกทำลายจนมองเห็นทุ่งหญ้าทุ่งดอกไม้สุดลูกหูลูกตา … แสงสว่างลำเล็กๆ ส่องผ่านช่องเล็กๆ ระหว่างเมฆฝน ที่ปกคลุมท้องฟ้าของชีวิตมาเป็นเวลานานแสนนาน … ช่องว่างระหว่างเมฆนั้นเปิดให้เห็นฟ้าสวยที่อยู่เหนือขึ้นไป และรอวันเปิดออกมาให้เห็นดวงอาทิตย์สว่างอยู่กลางฟ้าคราม

ป.ล.: ถ้าต้องการดูภาพที่ถ่ายมา ดูได้บน Flickr ผมนะครับ Korea Trip 05/2010

เพลง: Fairytale (Alexander Rybak)

ขอโพสท์เพลง Fairy Tale ของ Alexander Rybak จากการแข่ง EuroVision ในเว็บนี้สักรอบ (Video จาก YouTube)… พร้อมด้วยคำแปลเนื้อเพลงทั้งหมด

ถ้าใครอ่านเรื่อง “คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายที่รอคอย” ตั้งแต่ตอนแรก ก็คงเข้าใจไม่ยาก ว่าทำไมผมถึงอินกับเพลงนี้มากมาย ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยิน …

ขอแปลเนื้อเพลงทั้งหมดทีละท่อน … แบบลวกๆ ไม่แต่ง ไม่ขัด ไม่เกลา ถ้าสนใจเนื้อเพลงภาษาอังกฤษ ดูที่นี่นะครับ Fairytale Lyrics – Alexander Rybak จาก elyrics.net

“หลายปีก่อน เมื่อผมยังเด็ก
ผมชอบผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมเคยรู้จัก
เราสนิทกันเป็น sweetheart วัยเด็ก
ซึ่งนั่นเป็นเรื่องจริงเมื่อนานมาแล้ว

ผมยังรักอยู่กับเทพนิยาย
ถึงมันจะเจ็บปวดเพียงไหนก็ตาม
ถึงผมจะเป็นบ้าเสียสติก็ไม่สนใจหรอก
เพราะชีวิตผมมันก็เหมือนโดนคำสาบอยู่แล้ว

เราทะเลาะกันในตอนกลางวัน
และรักกันในตอนกลางคืน
ไม่มีใครอีกแล้วที่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดเสียใจได้ขนาดนี้
แต่ก็ไม่มีใครอีกแล้วที่ทำให้ผมรู้จักมีความสุขได้ขนาดนี้

ผมไม่รู้หรอกว่าผมทำอะไรลงไป
แต่วันหนึ่งเราก็เลิกคุยกันและห่างหายกันไป
ถึงทุกวันนี้ผมหาเธอไม่เจอไม่รู้อยู่ที่ไหน
แต่ถ้าเจอเมื่อไหร่ จะกลับไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

เธอคือเทพนิยาย
ถึงมันจะเจ็บปวดเพียงไหน
ถึงผมจะเป็นบ้าเสียสติก็ไม่สนใจหรอก
เพราะชีวิตผมมันก็เหมือนโดนคำสาบอยู่แล้ว”

เรื่องราวที่เกี่ยวข้อง: เรื่องเล่าที่เรียบเรียงจากเรื่องจริง “คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายที่รอคอย”

คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายที่รอคอย #5: “The Last Raindrop”

เรื่องเล่า ที่เรียบเรียงจากเรื่องจริงของผม และว่าที่เจ้าสาว คุณวัชรพรรณ โล่ห์ทองคำ ตอนที่ 5

อัพเดทล่าสุดเมื่อ 10 กันยายน 2555

ความเดิม

2011-2012: เม็ดฝนหยดสุดท้าย (The Last Raindrop)

เราจะรู้สึกยังไงนะ ถ้าวันหนึ่ง คนรักที่ตายจากเราไปเมื่อนานมาแล้ว กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง และอยู่ใกล้แค่เอื้อมถึง

ถึงก่อนหน้านี้ผมจะเคยเจอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับมีนค่อนข้างเยอะพอสมควร แต่ผมไม่เคยเจออะไรก็ตามที่ทำให้ผมสามารถติดต่อมีนได้ (e-mail ที่ได้มาก็คงจะเลิกใช้ไปแล้ว เพราะส่งไปก็ไม่เคยจะตอบเลย) แต่คราวนี้เป็นความโชคดีของผม และได้กลายมาเป็นที่มาของข้อความติดปาก “ถ้าพระเจ้ามีจริง คงจะชื่อมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก” มันเป็นโชคดีของผมที่สุด ที่เครือข่ายสังคมที่ผมเจอมีน คือ “เฟสบุ๊ค” (Facebook) นั่นเอง

(แต่ความจริงที่ผมไม่รู้เลยเมื่อวันนั้น ก็คือบนสวรรค์นั้น นอกจากจะมีพระเจ้าแล้วยังมีนางฟ้าอีกด้วย และเป็นความจริงที่ต้องเรียกว่านี่คือ “นางฟ้ามาโปรด” ที่สุดในชีวิตผมครั้งหนึ่ง เพราะจริงๆ แล้วมีนก็ไม่ได้สมัครเฟสบุ๊ค เอง และไม่ได้มีความอยากเล่นอยากใช้งานเลยสักนิด แต่นางฟ้าคนนี้ของผมที่ชื่อ “นก” (คุณปาจรีย์ — เพื่อนสนิทมีนตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย และคุณพิธีกรในงานเลี้ยงแต่งงาน) เป็นคนสมัครให้ อัพโหลดรูปถ่ายของมีน ครั้งที่ไปเที่ยวกับนกและเพื่อนๆ ให้ เท่านั้นไม่พอ พอเห็นมีนไม่เคยเข้ามาเล่นอะไรเลย ก็ยังให้โหลดแอพเฟสบุ๊คลงไอโฟนอีกด้วย

ถ้าไม่มีคุณนก ก็คงไม่มีวันนี้ที่ผมและมีนจะมีความสุขขนาดนี้ในชีวิตเลย ก็ต้องขอใช้พื้นที่บรรทัดนี้ ขอบคุณนกจากใจจริงไว้ตรงนี้ด้วยนะครับ นกช่วยให้ชีวิตของคนสองคน มีวันนี้ครับ -/\-)

ผมนั่งดูรูปมีน ซึ่งมีอยู่ 3-4 รูปทั้งวัน ผมไม่รู้จะรู้สึกยังไงดี นี่แหละ ผู้หญิงคนที่ตายจากชีวิตผมไปนานเหลือเกิน ผมคิดถึงนะ เธอจะรู้มั้ย เธอจะคิดถึงผมบ้างหรือเปล่า … ไม่สิ เธอจะจำผมได้หรือเปล่า

ผมกดปุ่มขอเป็นเพื่อน (Add Friend) โดยไม่คิดอะไรทั้งสิ้น วันแล้ววันเล่าที่ผมรอการตอบรับอย่างใจจดใจจ่อ แต่มีนก็ไม่ได้ตอบรับผมมาสักที จนในที่สุดวันที่ 12 พ.ค. 2011 ผมก็ตัดสินใจส่งข้อความส่วนตัวไปหามีนว่ายังจำผมได้หรือเปล่า ถ้าไม่รบกวนเกินไปช่วยรับเป็นเพื่อนไว้หน่อยได้มั้ย

ผมหวังอะไรกับการขอเป็นเพื่อนกับมีนในครั้งนั้น?

ก็ต้องยอมรับว่า ผมไม่ได้หวังอะไรมากไปกว่าการที่มีนจะได้กลับมาอยู่ในชีวิตผมอีกครั้ง ผมจะไม่ต้องหามีนอีกต่อไปแล้ว ถึงผมจะไม่มีวันเป็นอะไรมากไปกว่านั้น ผมก็ยินดี เพราะที่ผ่านมาผมระหว่างที่ผมหามีนมาตลอดนั้น ผมสัญญากับตัวเองว่าเมื่อผมเจอเธอ ผมจะไม่เสียเธอคนนี้ไปอีกแล้ว … อย่างน้อย ผมขอแค่เป็นเพื่อนอยู่ห่างๆ ให้ผมรู้ว่าเธออยู่ที่ไหน ให้ผมได้เห็นรูปเธอ หรือรู้ข่าวคราวในชีวิตเธอบ้าง และ … ขอแค่ให้เธอไม่เกลียดผม เท่านั้นก็พอแล้ว

วันเวลาผ่านไปหลายวัน การรอคอยของผมก็ยังคงไม่จบ เมื่อมีนยังไม่ตอบรับผมมาเสียที แต่ดูผ่านๆ ก็เหมือนจะแวะเวียนมาใช้งานเฟสบุ๊คบ้างอะไรบ้าง …. ใช่สินะ ผมคงจะหวังลมๆ แล้งๆ ไป มีนคงจะเกลียดผมตั้งแต่วันที่เธอพูดกับผมวันนั้น ก่อนที่ผมจะไปเยี่ยมเธอที่ ม.นเรศวร จริงๆ น่ะแหละ … ผมไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่ามีนจำผมได้หรือเปล่า หรือลืมผมไปหมดแล้ว หรือเธอจำได้ไม่เคยลืม ว่าเกลียดผู้ชายคนนี้

ทางด้านมีน เมื่อเห็นข้อความที่ผมส่งไป และการขอเป็นเพื่อนในเฟสบุ๊ค เธอมีความรู้สึกทั้งดีใจ และทั้งกลัว ผู้ชายคนนี้ ที่เธอเคยรอคอยการติดต่อของเขามาตลอด การติดต่อที่ไม่เคยมา จนเขากลายเป็นเพียงแค่ความทรงจำที่ถูกฝังไปพร้อมกับหัวใจของเธอในภูเขานำ้แข็งที่เธอสร้างขึ้น ผู้ชายคนนี้เอง ที่หายไปจากชีวิตของเธอและไม่เคยติดต่อกลับมาอีกเลย ใจหนึ่งก็อยากจะรีบรับเป็นเพื่อนเอาไว้ แต่ใจหนึ่งก็กลัวแสนกลัว ว่ากลับมาทำไม ในวันที่ฉันอยู่ได้โดยไม่มีเธอให้ต้องรออีกต่อไปแล้ว และวันหนึ่งจะหายไปอีกหรือเปล่า

แต่ในที่สุด เสียงจากความต้องการของหัวใจที่ถูกขังเอาไว้ ก็คงจะเล็ดรอดออกมาให้มีนได้ยินบ้าง

1 มิ.ย. มีนก็ตอบข้อความที่ผมส่งไป และรับผมเป็นเพื่อนจนได้ วันนั้นบอกตามตรงว่าผมดีใจมาก และเราคุยกันเล็กน้อยด้วยการส่งข้อความส่วนตัวกันไปมาในเฟสบุ๊ค

ผมยังจำได้ดี ในการคุยกันคร้ังแรกของเราในข้อความส่วนตัวของเฟสบุ๊ค นั้น หลังจากถามสารทุกข์สุขดิบว่าทำงานที่ไหน สบายดีมั้ย เรียบร้อยแล้ว มีนก็ถามผมว่า

“ตอนนี้แต่งงานหรือยังคะ ห้ามถามมีนกลับนะ เพราะมีนส่อแววจะขึ้นคานอยู่”

ตอนนั้นผมอยากจะคิดเข้าข้างตัวเองมากมาย เธอถามผมเพราะอะไร บอกผมเพราะอะไรกันนะ บอกตามตรงเลย ว่าถึงผมจะต้องการเพียงแค่ให้เธอคนนี้กลับมาอยู่ในชีวิตผมอีกครั้ง แต่ทำไมผมรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกเลย ที่มีนยังไม่แต่งงาน จริงๆ ถ้ามีนไม่บอกมาก่อน ผมคงไม่กล้าที่จะถามด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่ผมอยากจะรู้เป็นที่สุด

“ยังครับ ยังไม่แต่ง สงสัยรอมีนอยู่”

ผมตอบไป อาจจะดูเป็นทีเล่นทีจริง แต่จริงในใจผมคิดแบบนี้จริงๆ นะ ถึงผมจะไม่รู้ว่าชีวิตเรามันรอกันอยู่หรือเปล่า มีนเองก็ดีใจเช่นเดียวกันที่ผมยังไม่แต่งงาน และตอบกลับมาว่า

“555 รอไปรอมาขึ้นคานทั้งคู่เลย”

คุยแค่ 2 ประโยคนี้เอง ใจที่เคยแห้งเหี่ยวมานาน ก็เริ่มที่จะชื้นขึ้นมาเรื่อยๆ ด้วยความที่ผมอยากเจอเธอมาก เพราะไม่ได้เจอกันเลยตั้งแต่จบมัธยม ถึงผมจะหลับตาแล้วเห็นมีนมาเสมอ ผมก็เลยลองชวนมีนทานข้าว/ดื่มกาแฟ หวังว่าจะได้คำตอบรับ แต่มีนกลับปฏิเสธ

ผมไม่ได้คุยอะไรมากกว่านั้นเท่าไหร่ นอกจากแอบดีใจ ถ้ามีนไม่อยากเจอผม ผมก็จะไม่กวนใจเค้า ผมจะไม่ฝืน ผมจะไม่ตื๊อ ผมกลัวผมจะพลาดทำอะไรให้มีนเกลียดผมอีก ผมจะไม่เสียเธอไปอีกแล้ว ดังนั้นผมก็เลยกลัวมาก ในการจะคุยแต่ละอย่างๆ ส่วนทางมีนเอง ก็มีความกลัวอยู่

ใช่สินะ วันหนึ่งที่เราสองคนเคยติดต่อกัน ส่งจดหมายหากันทุกอาทิตย์ โทรศัพท์ข้ามฟ้าคุยกันแทบจะวันเว้นวัน มีความสุขที่มีอีกคนหนึ่งในชีวิต แม้จะอยู่ห่างไกลกัน .. แต่แล้วสิ่งเหล่านั้นก็หายไปจากชีวิตของเราทั้งสองคน ก็ย่อมมีความกลัวเป็นธรรมดา

“ถ้าผมพูดอะไรผิดไปอีก ผมจะเสียเธอไปตลอดกาล… ผมไม่เอาด้วย ผมกลัว”
“ถ้าเราคุยกันและมีความสุขกัน แลัววันหนึ่งเธอหายไปอีก… ฉันไม่เอาด้วย ฉันกลัว”

เราสองคนอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับความรู้สึกของตัวเอง ขาข้างนึงอยากจะก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน แต่ขาข้างนึงก็รั้งให้อยู่ในอดีต ก้าวเดินออกมาจากตรงนั้นไม่ได้ ทุกอย่างก็เลยเหมือนหยุดอยู่กับที่

เราไม่ได้ส่งข้อความคุยกันบ่อยนัก แค่อาทิตย์สองอาทิตย์ครั้ง และแต่ละครั้งก็เป็นเพียงข้อความสั้นๆ เพียงบรรทัดสองบรรทัด ข้อความสองข้อความเท่านั้น เทียบกับเมื่อก่อนที่ส่งจดหมายคุยกันสองอาทิตย์ครั้ง แต่ว่าครั้งนึงก็ 2-3 หน้ากระดาษแล้วมันเป็นอะไรที่น้อยแสนน้อย แต่มันกลับทำให้ผมดีใจไม่แพ้กัน ไม่สิ ดีใจยิ่งกว่าไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยเท่า ทุกครั้งที่ได้รับข้อความ

หลายเดือนผ่านไป เราสองคนก็เริ่มคุยกันได้เหมือนเพื่อนห่างๆ มากขึ้น ทำให้ผมอยากจะได้เบอร์โทรศัพท์มีนจังเลย ผมอยากได้ยินเสียงมีนจากอีกปลายของสายโทรศัพท์ ผมคิดถึงเสียงเธอมานับสิบปีแล้ว แต่ผมก็ไม่กล้าที่จะขอเบอร์โทรจากเธอ เพราะกลัวว่าเธอจะปฏิเสธ และผมคงจะไม่กล้าขออีกเป็นครั้งที่สอง ผมจึงต้องแกล้งทำเป็นขอ Contact มีนเพื่อใช้ WhatsApp ซึ่งจำเป็นต้องใช้เบอร์โทรศัพท์ แต่ก็โดนมีนดักคอแบบรู้ทัน

“ขอ WhatsApp นี่ ต้องใช้เบอร์ด้วยใช่มั้ยคะ”

ผมใจเต้นไม่ค่อยเป็นจังหวะเท่าไหร่ มันเป็นไม่กี่วินาทีที่ผมรู้สึกนานมาก กลัวว่ามีนจะบ่ายเบี่ยงเช่นเดียวกับมีนปฏิเสธการชวนทานข้าวก่อนหน้านี้ แต่แล้วมีนก็บอกเบอร์โทรศัพท์ผมมา ซึ่งคงไม่ต้องบอกว่าดีใจขนาดไหน

นานแค่ไหนแล้วนะ ที่ผมไม่ได้ยินเสียงเธอ นานแค่ไหนแล้วนะ ที่ผมรอวันนี้ ตั้งแต่วันที่เราคุยกันครั้งสุดท้าย แต่เบอร์มีน ก็ยังคงเป็นเบอร์ที่ผมกดโทรออกยากที่สุดไม่เปลี่ยนแปลง

นานแค่ไหนแล้วนะ ที่มีนไม่ได้ยินเสียงผม นานแค่ไหนแล้วนะ ที่เธอรอวันนี้ ตั้งแต่วันที่เราคุยกันทั้งสุดท้าย นานแค่ไหนแล้วที่เธอนั่งเฝ้ารอโทรศัพท์ที่ไม่เคยมาอีกเลย จนกระทั่งวันสุดท้ายที่เธออยู่ที่หอนั้น

ผมกลั้นหายใจอยู่นานก่อนที่จะกดเบอร์มีนทีละตัว และกลั้นใจอยู่นานกว่านั้นอีก กว่าจะกล้ากดโทรออก และวินาทีที่เราทั้งสองคนต่างรอคอยมานานก็มาถึง

“ฮัลโหล”

นานนับชั่วโมงที่เราคุยกันอย่างลืมเวลา และมันก็ทำให้ผมได้ทำสิ่งที่อยากจะทำมาตลอด ก็คือขอโทษมีนกับเหตุการณ์ครั้งนั้น ที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลย ก็คือมีนเองกลับขอโทษผม กับสิ่งที่เธอทำลงไปด้วยเช่นกัน

“ขอโทษนะครับมีน กับสิ่งที่ผมพูดไปวันนั้น ที่ทำให้คุณโกรธและไม่อยากเจอผมอีก”
“มีนก็ขอโทษนะคะ กับอะไรก็ตามที่มีนทำลงไป ที่ทำให้ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้”

แต่หลังจากนั้น เราสองคนก็ยังคงย่ำอยู่กับที่ เราคุยกันมากขึ้น แต่ทุกครั้งที่เหมือนว่าเราจะไปข้างหน้าได้ก้าวหนึ่ง เราก็จะรั้งตัวเองไว้ข้างหลังก้าวหนึ่ง ด้วยความที่เป็นคนไม่มั่นใจตัวเองทั้งคู่ ด้วยความที่เป็นคนปากหนักและไม่ตรงกับใจทั้งคู่ ความกลัวมันจึงยังคงชนะทุกอย่าง

ทุกครั้งที่ผมหาเรื่องชวนมีนเพื่อเจอกัน มีนจะปฏิเสธเสมอ

“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องเจอกันหรอก คุยกันแค่แบบนี้แหละ”

ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว ใจของเธอมันอยากให้ผมง้อเธออีกสักนิด ตื๊อเธออีกสักหน่อย แสดงออกมากกว่านี้บ้างว่าอยากเจอเธอจริงๆ แต่ผมก็ยังคงเป็นผม ที่เป็นคนขี้อาย ขี้กลัว ไม่มั่นใจตัวเองเอาซะเลย ผมยังคงทำตามคำพูดเธอ มากกว่าทำตามใจเธอ

“ครับ ตามนั้นครับ”

ซึ่งมันทำให้มีนรู้สึกไปว่า จริงๆ แล้วผมก็ไม่ค่อยอยากจะเจอเธอเท่าไหร่นักหรอก

ตลอดระยะเวลาเกือบ 1 ปี ตั้งแต่เรากลับมาคุยกัน เราเจอกันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เมื่อช่วงเดือน ก.ค. ซึ่งตอนนั้นมีนยังทำงานอยู่กับ CPF และต้องไปทำงานที่กาญจนบุรีกับเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่คนหนึ่ง ก็เลยไปพักนครปฐม ซึ่งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยที่ผมเป็นอาจารย์อยู่ เลยได้มีโอกาสทานข้าวด้วยกันมื้อหนึ่ง

ผมนั่งรอมีนที่ล็อบบี้โรงแรมที่มีนพัก พยายามนั่งอ่านหนังสือไปเรื่อยเปื่อยข่มความตื่นเต้นและหัวใจที่เต้นแรงไม่เป็นจังหวะ พอมีนมาถึงและเดินมาทักทาย ผมแทบจะต้องขยี้ตามองภาพที่ผมเห็นว่าผมไม่ได้ตาฝาดไป หรือหยิกแก้มตัวเองว่าผมไม่ได้ฝันไป ผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมต้องจินตนาการถึงเค้ามานับสิบปี ผู้หญิงคนที่สวยที่สุดในความรู้สึกของผมมาตลอด ผมบอกไม่ถูกว่าดีใจขนาดไหน มีนก็รู้สึกแบบเดียวกัน กับผู้ชายคนหนึี่งที่เธอไม่ได้เจอมานับสิบปี คนที่เธอคิดถึงมาตลอดเช่นเดียวกัน ขนาดที่ว่าถ้าไม่มีเพื่อนร่วมงานไปด้วย คงจะเข้ามากอดให้หายคิดถึง พร้อมกับถามว่าหายไปไหนมาตั้งนาน

แต่การแสดงออกของเราทั้งสองคน ก็ยังตรงข้ามกับที่รู้สึกในใจอยู่เช่นเดิม แต่ผมสังเกตนะ ว่ามีนก็พูดถึงเรื่องที่ผมเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อหาเธอให้เพื่อนร่วมงานฟังด้วยท่าทางภูมิใจและดีใจอยู่เหมือนกัน มันทำให้ผมอดรู้สึกไม่ได้ ว่ามีนดีใจมาก ที่ผมตามหาเธอมาตลอด หาเธอจนเจอ จนกระทั่งเราได้เจอกัน

ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ช่วงเดือน ก.พ. ด้วยอะไรหลายๆ อย่างในชีวิตของเราสองคนที่เปลี่ยนไป ทำให้เราได้คุยกันมากขึ้น มากขึ้น แต่ทุกครั้งที่คุยกัน ภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่เราสร้างมันเอาไว้จะเป็นกำแพงขวางหน้าอยู่เสมอ ทุกครั้งที่มีนบอกว่าเหมือนจะว่าง และผมอยากจะเจอ มีนก็จะบ่ายเบี่ยงปฏิเสธว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องเจอ เช่นเดิม และผมก็จะตอบรับชะตากรรมตามนั้น เช่นเดิม ทำให้ผมมีโอกาสที่จะเจอมีนนับครั้งได้ ….

แต่แล้ววันหนึ่ง ก็มีเรื่องที่จะทำให้อะไรหลายๆ อย่างเปลี่ยนไปเกิดขึ้น … เมื่อมีนอยากจะพาครอบครัว (คุณพ่อ คุณแม่) ไปเที่ยวประเทศเกาหลี และผมก็ไปช่วยเดินหาแพคเกจทัวร์ในงานท่องเที่ยว ช่วงนั้นผมกับมีนก็มีเรื่องไม่เข้าใจกันอยู่เรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่พอสมควรในชีวิตมีนตอนนั้น เพราะเพื่อนมีนคนหนึ่งตั้งแต่สมัยที่มีนทำงานที่ CPF และเคยคุยเคยชอบพอกันอยู่บ้าง ถึงจะไม่ใช่แฟนแต่ก็เกินกว่าเพื่อนธรรมดา และยังคงวนเวียนป้วนเปี้ยนในชีวิตเธออยู่เสมอ แต่ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีอะไรชัดเจนจริงจัง ก็ได้กลับมาคุยกับเธออีกครั้ง และด้วยความที่มีนเป็นคนรักษาน้ำใจและความรู้สึกคน ดังนั้นเธอจึงไม่อยากหักน้ำใจทำอะไรให้เด็ดขาด

เรื่องนี้ทำให้ผมจิตตกพอสมควร … ด้วยความกลัว ด้วยปมในใจว่าตัวเองไม่ดีพอสำหรับมีน คนอื่นดีกว่าผมทั้งหมด ด้วยแผลใจทุกอย่างที่ผมเคยสร้างไว้ให้เธอ ด้วยระยะห่างทั้งหมดที่มีระหว่างเรามากกว่าสิบปีที่ผ่านไป ทำให้ผมกลัวว่าสุดท้าย …. ผมจะไม่ใช่คนที่เธอเลือก

แต่สุดท้ายเมื่อดูแพคเกจอยู่ มีนก็เป็นคนถามว่า “ตัวเองจะไปเที่ยวด้วยกันมั้ย” … ซึ่งผมไม่กล้าที่จะตอบรับหรอก ถึงจะอยากไปก็เถอะ ไม่รู้การกระทำมันจะตรงข้ามกับใจไปถึงไหน ให้ตาย .. แต่เมื่อมีนถามครั้งที่สาม ผมก็ตอบตกลง และนั่นเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตครั้งหนึ่ง

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เราก็เริ่มสนิทกันมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากกว่าการเป็นเพื่อนคนหนึ่ง ผมเริ่มไปบ้านมีนบ้าง และทุกครั้งที่ไป ก็มีโอกาสคุยกับคุณแม่ของมีนบ้าง ซึ่งการคุยกับคุณแม่นี่แหละ ทำให้ผมเริ่มมั่นใจอะไรหลายๆ อย่างมากขึ้นในการที่จะคุยกับมีน และการที่ผมจะเอาชนะใจมีนอีกครั้ง ….

แต่ภูเขาน้ำแข็งในใจของมีนก็ยังสูงเป็นเทือกเขามหึมา และกำแพงในความกลัวของผมก็ยังคงหนาเป็นกิโล ….

เวลาคุยกัน มีนมักจะบอกเสมอว่า วันนี้จะต้องไปตรวจคุณภาพโรงงานที่ไหน และเมื่อไหร่ก็ตามที่ผมจะอยากเจอ มีนก็จะหนี ก็จะปฏิเสธ ก็จะบอกว่าอย่าเจอดีกว่า อะไรแบบนี้เสมอๆ จนกระทั่งเมื่อผมไม่ถาม ไม่ขอเจอ ขอแค่ได้คุย มีนก็จะเอาไปน้อยใจว่าผมคงไม่อยากเจอแล้ว … ต่างคนก็ยังคงต่างคิดกันไปเองว่า อีกฝ่ายไม่อยากเจอตัวเองหรอก งั้นเป็นแบบนี้ไปแหละ ดีแล้ว

ภูเขาน้ำแข็งในใจของมีน มันก็มาจากสิ่งที่ผมเคยทำลงไปในอดีต ที่มีนไม่เคยเข้าใจ ตั้งแต่สมัยมัธยม ที่อยู่ดีๆ ก็เลิกคุยกับเธอ แล้วก็ทำเหมือนไม่สนใจ ไม่เคยคุยด้วย ไม่เคยมองหน้าตรงๆ หรือความเสียใจ ความเหงา จากการรอคอยการติดต่อสมัยที่เรียนมหาวิทยาลัย …. เธอเก็บกดทุกความรู้สึกและขังหัวใจของตัวเธอเอง เอาไว้ในใจกลางของเทือกเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ และปิดตายเอาไว้ไม่ให้ใครทำร้ายเธอได้อีก โดยเฉพาะคนที่ก่อให้เกิดภูเขาน้ำแข็งเทือกนี้ขึ้นมา … ซึ่งนั่นคือ .. ผม

กำแพงขนาดใหญ่ในใจผม ก็เกิดมาจากความกลัว กลัวว่าตัวเองจะไม่ดีพอ กลัวว่ามีนจะหายไปจากชีวิตผมอีก แค่กลับมาเจออีกครั้ง ได้เจอกันบ้าง ได้คุยกันบ้าง ก็ดีเหลือเกินแล้ว เทียบกับสิบกว่าปีที่ผมคิดถึง ที่ผมหามีนมาตลอด

ภูเขาและกำแพงนี้ ทำให้เราสองคนเดินไปไหนไม่ได้ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราจะก้าวไปข้างหน้า เราก็จะย้อนกลับมาที่เดิม เราอยากเจอกัน แต่เราก็ไม่เจอกัน เราอยากคุยกัน แต่เราก็ห่างเท่าเดิม … เมื่อไหร่ก็ตามที่จะได้เจอกัน มีนก็จะขังความรู้สึกตัวเองในน้ำแข็ง และปฏิเสธ และตรงนั้นกำแพงความกลัวของผมที่อยู่ในใจ ก็จะทำงานให้ผมยอมรับการไม่เจอนั้น

บางครั้งที่เราเริ่มสนิทกันขึ้น ภูเขาน้ำแข็งที่ว่านี้กลับใหญ่ขึ้น บางครั้งที่เราสนิทกันขึ้น กำแพงที่ว่านี้ก็กลับหนาขึ้น … จนท้ายที่สุด ด้วยความที่นิสัยพื้นฐานของเราทั้งคู่ก็ยังคงไม่เปลี่ยน เราก็เลือกทางที่จะทำร้ายความรู้สึกของตัวเองที่สุด

วันที่ผมบอกความรู้สึกอะไรหลายๆ อย่างของผมกับมีน ว่าที่ผ่านมาผมรู้สึกอย่างไรตลอด ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะดีขึ้นนะ แต่หลังจากนั้นเรากลับคุยกันน้อยลง ประกอบกับเหตุผลหลายๆ อย่าง ปัจจัยภายนอก เรื่องของคนอื่น และเรื่องราวอะไรต่ออะไรที่เกิดขึ้น ซึ่งมีผลให้ทุกอย่างเหมือนจะจบลงอีกครั้ง

ท่ามกลางความสับสนที่กำลังเกิดขึ้น .. ผมกลัวว่าสุดท้ายแล้วคนที่มีนเลือกจะไม่ใช่ผม ผมกลัวจะรับผลนั้นไม่ได้ถ้าจะต้องเป็นเช่นนั้น แต่แทนที่จะเลือกสู้ต่อให้ดีที่สุด เพื่อชนะใจเธอเป็นครั้งสุดท้าย ความกลัวที่มันครอบงำจิตใจ ทำให้ผมขอเป็นคนยอมเลือกที่จะเจ็บเองเสียดีกว่า ผมยอมเจ็บเพราะเลือกที่จะไป ดีกว่าจะต้องเจ็บเพราะเธอไม่เลือกผม ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมตัดสินใจที่จะทำสิ่งที่ผมไม่เคยคิดจะทำเลย และไม่เคยทำเลยในชีวิต เมื่อผมไปหามีนที่บ้านวันที่ 17 มีนาคม .. เพื่อที่จะบอกว่า

“ลาก่อนครับ”

ผมบอกลามีนเป็นครั้งแรกในชีวิต พร้อมกับเห็นมีนเสียใจ ร้องไห้ แต่ก็ต้องกลืนน้ำตาไม่ให้ใครเห็น … ผมเลือกทางเลือกที่ผมจะเจ็บปวดมากที่สุด เพราะไม่อยากให้ตัวเองต้องเจ็บปวดไปมากกว่านั้น

แต่นั่นเอง ที่ทำให้ผมรู้ใจตัวเองจริงๆ ว่าผมรักมีนแค่ไหน ผมตอนแรกผมคิดว่าผมรักเค้ามากพอที่จะไม่สร้างความลำบากใจให้เค้าอีก ไม่ทำความลำบากใจให้เค้าต้องเลือก แต่แท้จริงแล้วมันกลับทำให้ผมเสียใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน จนแทบจะเสียคนในช่วงนั้น ไม่ว่าจะมีคนพยายามเข้ามาคุยกับผมสักกี่คนในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นก็ตามที แต่ผมกลับทำใจคุยกับใครไม่ได้ … แท้ที่จริง ชีวิตผมไม่ต้องเลือกว่าจะอยู่หรือไปหรือระหว่างใครกับใคร เพราะผมได้เลือกไปแล้วเมื่อ 18 ปีก่อน

และนั่นเอง ที่ทำให้มีนรู้ใจตัวเองจริงๆ ว่ามีนรู้สึกยังไงกับผมกันแน่ มันคือความรักอย่างปฏิเสธไม่ได้ และแท้ที่จริง ชีวิตเธอไม่ต้องเลือกเลยระหว่างใครกับใครเลย เพราะเธอได้เลือกไปแล้ว เมื่อ 18 ปีก่อน เช่นเดียวกัน

นี่คงเป็นครั้งแรก ที่น้ำแข็งบนภูเขาเริ่มมีรอยแตกร้าวและเริ่มละลาย เพราะสุดท้ายมีนก็เป็นฝ่ายติดต่อกลับมา แต่แทนที่เราจะเปิดใจคุยกันตรงๆ เลย มีนก็คุยกับผมแค่ถามว่ายังจะไปเท่ียวกันอยู่หรือเปล่า และสุดท้ายเราก็นัดทานข้าวกันอีกครั้ง …

และเมื่อผมเจอมีน ผมก็รู้และเข้าใจทันทีว่าผมคิดถึงผู้หญิงคนนี้ขนาดไหน กำแพงหนาก็เริ่มพังลง เมื่อผมอดเอื้อมมือไปลูบหัวเธอเบาๆ ไม่ได้ และมีนเองก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่หลั่งไหล่ผ่านปลายมือเช่นเดียวกัน

หลังจากนั้นเราก็กลับมาคุยกันได้ดีขึ้น และเริ่มสนิทมากขึ้น จนกระทั่งวันที่ผมบอกรักมีนอีกครั้ง ….. และครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่มีนบอกรักผมตอบ ซึ่งผมดีใจมาก แต่แล้ว มีนกลับบอกว่า

“เป็นเพื่อนกันนะคะ”

ผมช็อคมาก ทั้งๆ ที่เธอเพิ่งจะบอกรักผม ก่อนที่ผมจะถามอะไรต่อ มีนก็พูดต่อมาทำนองว่า

“ถ้าเราเป็นเพื่อนกัน เราก็จะมีกันและกันไปเรื่อยๆ ไม่ต้องเลิกกัน ไม่ต้องจากกัน ไม่ต้องไปไหนไง”

ความกลัวทั้งหมดที่อยู่ในใจเธอทำงานอีกครั้งหนึ่ง เธอคงมีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้มาก จนกลัวว่าจะเสียทุกอย่างไปอีก ….. เพราะไม่ใช่ผมหรอกหรือ ที่เคยหายไป ในวันที่เรารู้สึกดีกันแบบนี้ และกำลังจะเป็นแฟนกันจริงจัง … วันนั้น ที่ผมควรไปหาเธอที่ ม.นเรศวร … วันนั้น ที่ทำให้เธอต้องรอคอยโทรศัพท์จากคนๆ หนึ่งด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ จนกลายเป็นขังตัวเองอยู่กับความผิดหวังและการไม่หวังอะไรอีกแล้ว

ความรักและความหวัง มันช่างเป็นเรื่องที่เจ็บปวดเหลือเกินสำหรับเธอ … มีนเลือกที่จะขอหยุดทุกอย่างไว้แค่คำๆ นี้

ซึ่งแน่นอน … ด้วยความกลัวและความที่ปากไม่ตรงกับใจ ผมก็ตอบไปว่า

“ครับ”

ตอนนั้นบอกตามตรง ความรู้สึกหนึ่งคือ ดีแล้ว เพราะเราก็จะมีเค้าแบบนี้ แต่อีกความรู้สึกหนึ่ง ผมก็เสียใจมากที่ทุกอย่างมันจะจบลงแบบนี้ ทั้งๆ ที่มันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ

หลังจากนั้น เราสองคนก็กลับมาคุยกันน้อยลงอีกครั้ง เพราะผมเสียใจมากที่มีนขอให้ผมเป็นเพื่อน ทั้งๆ ที่ใจหนึ่งก็คิดว่าดีแล้ว และมีนเองก็คงเสียใจมากเช่นเดียวกัน ที่ผมเลือกจะยอมรับการเป็นเพื่อนมากกว่าที่จะขอเธอเป็นอะไรมากกว่านั้นอย่างจริงจัง

จนกระทั่งวันหนึ่งในปลายเดือน เม.ย. ก่อนหน้าวันเดินทางไปเที่ยวแค่เพียงไม่กี่วัน มีนว่างเพราะเพิ่งออกจากงานเดิม และเป็นช่วงก่อนที่จะเริ่มทำงานที่ใหม่ ก่อนจะไปเที่ยวที่เกาหลี ผมมีโอกาสจะเจอกับมีนอีกครั้งหนึ่ง

“ช่วงนี้ตัวเองเงียบจัง คิดว่าลืมมีนไปแล้วซะอีก”

วันนั้นเอง เป็นวันแรกที่เราสองคนเปิดใจคุยอะไรกันก็ไม่รู้เยอะแยะมากมาย คุยกันอย่างเป็นตัวเอง ตามความรู้สึกที่ใจตัวเองเป็น …… มีความรู้สึกดีๆ กันมากมายที่ไม่เคยถูกพูดออกมา

และอาจจะเป็นครั้งแรกในชีวิตระหว่างผมและมีน ที่เราสองคนได้เริ่มคุยอะไรกันแบบปากตรงกับใจ ไม่ใช้ท่าทางและคำพูดที่มันตรงกันข้ามกับความรู้สึก เราเริ่มเล่าเรื่องราวย้อนอดีตกัน ว่าเมื่อก่อนตอนนั้นตอนนี้ ความรู้สึกที่แท้จริงของเราเป็นยังไงกันแน่ … มันก็โล่งดีนะ ที่ได้บอกอะไรกันตรงๆ

“ผมไม่มีวันลืมคุณหรอกครับ … ผมรักคุณมาตลอด 18 ปีแล้ว และผมหาคุณมาตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา ผมจะไม่ยอมเสียคุณไปอีกเป็นครั้งที่สาม และผมจะไม่ไปไหนอีกแล้ว”

ถึงแม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมบอกมีนกับเรื่องราวเหล่านี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมบอกมีนแบบนี้ … แต่นี่คงเป็นครั้งแรก ที่ผมได้บอกมีนเมื่อภูเขาน้ำแข็งเริ่มละลาย …. และกำแพงก็เริ่มถูกทำลายเช่นกัน

ที่ผ่านมา … ระหว่างผมและมีน มันคือ “ความรัก และความไม่เข้าใจ” ที่มีให้กันมาตลอด 18 ปี …

(จบตอน)

กลอน: คิดถึง

กลอนบทสุดท้ายที่แต่งจริงจังในชีวิต ….

คิดถึง

เหม่อมองไปในนภาฟากฟ้ากว้าง
ที่มืดมนอ้างว้างไร้จุดหมาย
ฝนโปรยมาราวน้ำตาที่โปรยปราย
แสงสีทองส่องประกายอย่างโรยแรง
ฟากนภาฟ้าราตรีที่ไกลลับ
ตะวันลาดาราดับฟ้าอับแสง
เดือนดารายังหลับไหลไร้เรี่ยวแรง
จะส่องแสงสานฟ้าราตรีกาล
มวลวิหคโผผินโบยบินร่อน
กลับรังนอนสิ้นกำลังร้องขับขาน
ทิ้งบทเพลงจากลมหนาวที่ยาวนาน
กล่อมประสานฝันฟ้ายามราตรี
ไร้วิหคครวญเพลงบรรเลงร้อง
แสงเรืองรองเคยส่องฟ้าเลือนลาหนี
แต่ที่เหงาจนร้าวใจในราตรี
ก็เพราะเพียงค่ำคืนนี้ไม่มีเธอ

เป็นกลอนที่แต่งหลังจากเหตุการณ์ในตอนจบของ คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายที่รอคอย #3: “The Storm and Rain” … หลังจากเวลาผ่านไปพักใหญ่ๆ ที่ผมพยายามหามีนแต่ไม่เจอสักที (เรื่องราวใน ตอนที่ 4 “The Abyss in Sky”) ก็เปลี่ยนสองบรรทัดสุดท้ายเป็น

แต่จะเหงาสักเท่าใดในราตรี
ก็ไม่เท่าเหงาโลกนี้ … ไม่มีเธอ

หลังจากนั้นมา ผมแต่งกลอนจริงจังไม่ได้อีกเลย อย่างมากก็เขียนไว้แค่บรรทัดสองบรรทัด แล้วก็ต่อไม่ได้ คงเพราะเสียแรงบันดาลใจที่ทำให้แต่งกลอนได้มาตลอดตั้งแต่มัธยม

จะอยู่กับ “ปัจจุบัน” อย่างไรดี?

ผมเคยเขียนบทความเรื่อง “จากอดีต สู่อนาคต (ไม่ใช่แบบที่คิดนะ)” ไปเมื่อค่อนข้างนานมาแล้ว ในบทความนั้นเนื้อหาหลักๆ ได้พูดถึงการก้าวเท้าจากความอดีต ไปหาอนาคต โดยไม่ให้เงาของอะไรก็ตามจากอดีตไปตามหลอกหลอนเราตลอดชีวิต

วันนี้ผมเขียนเรื่องนี้ในอีกมุมหนึ่ง จะเป็นอะไรที่ค่อนข้าง personal มากขึ้นกว่าความที่แล้วนิดหน่อย และโฟกัสกับแค่เรื่องเดียวคือ “ปัจจุบัน”

ย้อนกลับไปที่คำถามหนึ่งที่ผมเคยถามในการพูดในงาน ThinkCamp ครั้งล่าสุด และในบทความก่อนหน้านี้ คือ “คนเราทุกข์กับอะไร”?


ThinkCamp.004.jpg

คำตอบง่ายๆ จากภาพนี้ก็คือ เราทุกข์กับเรื่องแค่ 2 เรื่อง นั่นก็คือ

  1. อดีต ซึ่งคือสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้อีกแล้ว เราทุกข์กับอดีตเพราะ “ความรู้ในปัจจุบัน” (what we know today) แล้วเกิดอาการอยากกลับไปแก้ไขสิ่งที่ผ่านมาแล้ว คำพูดว่า “ถ้ารู้งี้นะ …” กลายเป็นคำที่ได้ยินบ่อยมากคำหนึ่ง ไม่ว่าจะจากใครก็ตาม … เรามักต้องการแก้ไขอดีต
  2. อนาคต ซึ่งก็คือสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ยังคงเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา อะไรก็เกิดขึ้นได้ เราทุกข์กับอนาคตก็เพราะความกลัว กลัวนี่ กลัวนั่น กลัวโน่น กลัวสิ่งที่เรากลัวว่าจะเกิดขึ้น จะเกิดขึ้นจริงๆ กลัวว่าวันหนึ่งเราจะเสียใจแบบในอดีต กลัวว่าอนาคตจะไม่เป็นอย่างที่เราฝัน …. เรามักต้องการคำตอบที่แน่นอนตายตัว การรับประกันอนาคต

สรุปสั้นๆ ง่ายๆ คือ

เราทุกข์เพราะเราอยากเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่เรากลับอยากได้ความแน่นอนจากสิ่งที่มันยังคงเปลี่ยนได้ตลอดเวลา เราทุกข์เพราะเราไม่ยอมรับธรรมชาติของทั้งอดีตและอนาคต ธรรมชาติของกาลเวลา

ทางออกเรื่องนี้มีทางเดียว ก็คือการยอมรับธรรมชาติที่ว่านี้ และ “อยู่กับปัจจุบัน” ซึ่งปราศจากทุกข์ เป็นความว่างเปล่า ส่วนวิธีในการอยู่กับปัจจุบันนี้ก็คือแนวคิดในการดำเนินชีวิตของผมในปัจจุบันด้วย (ซึ่งก่อนหน้านี้ผมได้ post ลง Facebook ไปครั้งหนึ่ง แต่เป็นภาษาอังกฤษ) สรุปเป็นข้อๆ ได้ดังนี้

  1. ทำอะไรสักอย่างกับสิ่งที่มีในปัจจุบัน ทำมันให้ดีแค่ที่จะดีได้ ทำได้แค่ไหนแค่นั้น ทำดีที่สุดแค่ที่ใจมันอยากจะทำ อย่าเบียดเบียนตัวเอง ทำอะไรบางอย่างให้มันเกิดขึ้น หรือตัดสินใจอะไรบางอย่างเพื่อให้อะไรบางอย่างเกิดขึ้น
  2. ไม่ต้องไปพยายามเข้าใจปัจจุบัน (ทำไมเรอะ? ดูข้อ 5-6)
  3. ไม่ต้องพยายามรื้อฟื้นอดีตเพื่อที่จะเสียดายหรืออยากเปลี่ยนแปลงอะไร (ทำไมเรอะ? ดูข้อ 5-6)
  4. ไม่ต้องพยายามไปคิดถึง หรือรู้อนาคต (ทำไมเรอะ? ดูข้อ 5-6)
  5. มองย้อนดูอดีต ด้วยสิ่งที่เรารู้ในปัจจุบัน เชื่อมจุดทั้งหมดเข้าด้วยกันทีละจุดๆ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นวันนั้นๆ ทำให้เกิดทุกวันนี้ได้ยังไงทีละจุดๆ (เช่น จากเรื่อง “คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายที่รอคอย” ที่กำลังเขียนค้างอยู่ การที่มีนยิ้มให้ผม ทำให้เรารูํ้จักกัน แล้วทำให้ผมรู้สึกตัวเองไม่ดีพอ จนขยันเรียน การที่ติดต่อมา และความโง่ของผมในวันนั้น ทำให้ผมเขียนโปรแกรมเป็นอยู่ทุกวันนี้ ฯลฯ) ไม่ต้องคิดเสียดาย ไม่ต้องไปคิดเปลี่ยนอะไรมัน
  6. มองไปอนาคต ด้วยความเชื่อว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ในปัจจุบัน (ข้อ 1.) มันจะพาเราไปไหนสักที่หนึ่งแน่นอน และวันหนึ่งในอนาคตนั้นๆ เราจะเข้าใจสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ กำลังเจออยู่ในปัจจุบัน เหมือนที่เราเอาสิ่งที่เรารู้จากปัจจุบันมองย้อนไปในอดีต

สรุปสั้นๆ ง่ายๆ คือ

อดีตมีไว้เข้าใจ ว่าทำให้ปัจจุบันมันเกิดขึ้นมาได้ยังไง ด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีในปัจจุบัน และอนาคตมีไว้เปลี่ยนแปลง ด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำในปัจจุบัน

จริงๆ แล้วเรื่อง “คนแรกของหัวใจฯ” ที่ผมกำลังเขียนๆ อยู่เนี่ย ก็มาจากแบบนี้น่ะแหละ ผมมองทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอดีต ด้วยความรู้ของทุกสิ่งที่เป็นในปัจจุบัน หลายอย่างที่ผมไม่เข้าใจตอนนั้น หลายอย่างที่ผมเสียใจตอนนั้น วันนี้ผมมองเห็นมันชัดขึ้นเยอะ ว่ามันต้องเกิดขึ้นเพื่ออะไร

สมัยเรียน ผมไม่เคยคิดหรอก ว่าวันหนึ่งผมจะมาเป็นอาจารย์ที่ศิลปากร ผมจะมานั่งเขียนบทความนี้ ผมจะมีบริษัทซอฟต์แวร์ทำแอพบนโทรศัทพ์ ผมจะเขียนหนังสือขาย ผมจะเป็นผู้บริหารศูนย์คอมพิวเตอร์ในมหาวิทยาลัย … สิ่งที่ผมอยากเป็นไม่เคยเป็นสิ่งเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย ยิ่งย้อนกลับไปตอนเด็กเท่าไหร่ สิ่งที่เราอยากเป็นยิ่งต่างจากนี้มากขึ้นๆ ผมอาจจะเคยอยากเป็นคนสร้างหุ่นยนต์ อาจจะเคยอยากเป็นคนขายโรตี (เพราะน่าสนุกดี) อาจจะเคยอยากเป็นอะไรก็ไม่รู้มากมาย

ชีวิตเราทุกวันนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เราอยากเป็น แต่เป็นสิ่งที่เราทำให้ตัวเองเป็นต่างหาก

ดังนั้น เลิกอยากให้อะไรเป็นอย่างไรเสียที เพราะมันจะไม่มีทางเป็นแบบนั้นหรอก เสียเวลาเปล่าๆ ด้วย แต่จงลงมือทำอะไรสักอย่างในวันนี้ เปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างเฉพาะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ตัวเองเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่วันนี้ แล้ววันหนึ่งเมื่อเวลาผ่านไป ผมเชื่อว่าคุณจะเข้าใจ ว่าสิ่งที่คุณทำในวันนี้คุณทำไปเพื่ออะไร

มีประโยคหนึ่งจากหนังเรื่อง The Time Machine (เวอร์ชั่นปี 2002) ที่ผมชอบมาก

You’re inescapable result of your own tragedy.

พูดเป็นภาษาพุทธหน่อย ก็คือ “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” และ “กรรม” ก็คือ “การกระทำ” นั่นแหละ ชีวิตเราทุกวันนี้ ก็คือผลที่หนีไ่ได้จากทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเคยทำมา และชีวิตเราในวันข้างหน้า ก็คือผลที่หนีไม่ได้จากทุกสิ่งที่เราเคยทำมา และทุกอย่างที่เรากำลังจะทำในวันนี้เอง

การไม่ทำอะไรเลย แล้วรอเวลาในอนาคตให้มาถึงเฉยๆ เราก็แค่ลากสิ่งที่มันเป็นอยู่ในปัจจุบันให้มันยาวต่อไปถึงอนาคต ก็เท่านั้นเอง

อย่าปล่อยให้ชีวิตของเรา กลายเป็นผลที่หนีไม่ได้ จากการไม่ทำอะไรของเราเลยครับ มันจะเป็น tragedy (โศกนาฏกรรม) เสียเปล่าๆ

คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายที่รอคอย #4: “The Abyss in Sky”

เรื่องเล่า ที่เรียบเรียงจากเรื่องจริงของผม และว่าที่เจ้าสาว คุณวัชรพรรณ โล่ห์ทองคำ ตอนที่ 4

อัพเดทล่าสุดเมื่อ 10 กันยายน 2555

ความเดิม

1999-2011: เมื่อฟ้ามืดมิด (The Abyss in Sky)

คงไม่มีเวลาไหนอีกแล้วที่ฟ้าจะมืดเท่านี้ เมื่อต่างคนต่างอกหักจากกัน ทั้งที่ต่างก็ยังรักกันอยู่ ก็กลับคิดว่าอีกคนไม่ต้องการที่จะเจอกับตัวเองอีกต่อไปแล้ว ช่องว่างที่เคยมีอยู่ ได้กลายเป็นความว่างเปล่าและมืดมิดขนาดใหญ่กั้นกลางระหว่างเราทั้งสองคน

เหตุการณ์ครั้งนั้นได้เปลี่ยนแปลงหลายต่อหลายอย่างในชีวิตของเราสองคนอย่างมาก ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างเรื่องภายนอกและการดูแลตัวเอง มีนตัดผมสั้นกุด ส่วนผมทำตรงกันข้ามกันด้วยการเริ่มไว้หนวดเครา ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยไว้ และไม่เคยคิดจะไว้ ไม่ตัดผม ปล่อยยาวไปเรื่อยๆ เสื้อผ้าก็เปลี่ยนจากที่ชอบใส่เสื้อลายสก๊อตสีสดๆ มาเป็นเสื้อสีดำล้วนเรียบๆ ราวกับไว้ทุกข์ไว้อาลัยให้กับอะไรบางอย่าง … ซึ่งทั้งสองอย่างนี้กลายมาเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวผมไปเลยด้วยซ้ำ

เรื่องตลกร้ายที่สุดของชีวิต ก็คือ เราทั้งสองคนต่างก็อยากจะคุยกันเหมือนเดิม แต่คนหนึ่งก็ทำได้อย่างมากแค่หยิบหูโทรศัพท์ขึ้นมา หมุนเบอร์ได้ครึ่งนึงแล้ววาง ในขณะที่อีกคนหนึ่งก็ยังคงรอ … ทั้งที่รัก ทั้งที่คิดถึง แต่ก็ไม่มีใครทำลายกำแพงในใจตัวเองเลย กลับก่อกำแพงนั้นให้มันสูงมากขึ้นๆ

จากช่องว่างของความห่าง กลายเป็นกำแพงของความกลัว และท้ายที่สุดเมื่อมันสะสมมากขึ้นๆ ท่ามกลางความเหงา ความไม่เข้าใจ ความสิ้นหวัง ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนให้มันกลายเป็นภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ ที่แช่แข็งความรู้สึกที่เรามีให้กันซุกซ่อนเอาไว้ข้างใน กักขังหัวใจและความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเราสองคนเอาไว้ลึกลงไปทุกวันๆ

แต่ถึงจะกลัวที่จะติดต่อไปหา ผมก็ห้ามใจไม่ให้คิดถึงมีนไม่ได้ ผมจึงก็ยังมองภาพถ่ายที่ผมมีอยู่เสมอ และบางครั้งบางคราว ก็ลองค้นหาชื่อมีนตามระบบค้นหาต่างๆ บนอินเทอร์เน็ตบ้างอะไรบ้าง ถึงผมจะไม่เจออะไรเลยก็ตาม .. ลึกๆ แล้ว ผมยังมีความหวังอยู่ว่าเราจะบังเอิญได้เจอกันอีกครั้ง และยิ่งนับวันผมก็ยิ่งคิดถึงมีนมากขึ้นๆ

ใครนะ ชอบเปรียบเทียบความหวังเป็นแสงสว่างที่ส่องลงมาจากฟ้า และที่เปรียบเทียบความสิ้นหวังเป็นเหมือนกับหุบเหวที่มืดมิด … จนถึงตอนนั้น แม้ผมจะเชื่อว่าตัวเองเคยผ่านความท้อแท้และหมดหวังมาหลายครั้งในหลายต่อหลายเรื่อง แต่ไม่เคยเลย ที่ผมจะรู้จักกับฟ้าที่มืดมิดยิ่งกว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น … หลายปีหลังจากครั้งสุดท้ายที่เราสองคนได้คุยกัน

วันที่ฟ้าหมดแสง มาถึงเมื่อผมทนเก็บความรู้สึกทั้งหมดไม่ได้อีก ความคิดถึงที่ผมสะสมมาตลอดมันชนะความกลัวในใจผมลงได้ ถึงมีนจะเกลียดผมแค่ไหน ผมก็อยากได้ยินเสียงเธออีกสักครั้ง ถึงเธอจะไม่อยากคุยกับผมอีกแล้ว ผมก็อยากจะขอโทษเธอเป็นครั้งสุดท้าย ….

“ฮัลโหล”

และนี่เอง … เป็นวันที่ชีวิตสะกดคำว่า “สายเกินไป” ให้กับผม

ถ้าแสงจากฟ้าคือความหวัง และหุบเหวคือความสิ้นหวัง นี่คงจะเป็นหุบเหวลึกไร้ซึ่งก้นบึ้งอยู่กลางฟากฟ้า ฟ้าที่เคยสว่างและให้แสงกับชีวิตผมตลอดมา กลายเป็นที่มืดมนที่สุด ที่ซึ่งแสงส่องไปไม่ถึง

ด้วยความที่ผมไม่เคยรู้เลยจนกระทั่งเร็วๆ นี้ ว่ามีนรอผมมาตลอดจนกระทั่งย้ายหอ ทำให้ผมไม่เคยรู้เลยว่าเธอได้ย้ายหอออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ด้วยความที่ผมเป็นคนชอบคิดตรงข้ามกับการเข้าข้างตัวเอง คือชอบคิดทำร้ายตัวเอง ชอบคิดกรณีเลวร้ายที่สุดให้ตัวเองเสมอๆ เป็นทุนเดิม ทำให้ผมคิดและเข้าใจไปว่ามีนได้ย้ายหอไปนานแล้ว เพราะไม่อยากให้ผมติดต่อเธอได้ เพราะไม่อยากคุยกับผม ไม่อยากเจอผมแล้วจริงๆ

แล้วเบอร์ที่บ้านล่ะ ใช่สิ เบอร์ที่ผมจำขึ้นใจ แต่ก็ไม่เคยโทรไปตลอดเวลาที่ผ่านมา … และเมื่อผมกล้าโทรไป ผมก็เจอเหตุการณ์ที่เลวร้ายกว่าเดิม … เบอร์นั้นใช้งานไม่ได้อีกต่อไปแล้ว โดยผมเพิ่งรู้เร็วๆ นี้เองว่าเหตุที่ใช้ไม่ได้ตอนนั้นก็คือ องค์การโทรศัพท์เปลี่ยนเบอร์ทั้งพื้นที่

ชีวิตเราสองคนในตอนนั้น คงจะเป็นยิ่งกว่าเส้นขนาน เพราะเส้นขนานสองเส้นมันไม่เคยมีจุดตัดกันเลย มันไม่เคยต้องมาเจอกันให้รู้จักกัน ให้ต้องคิดถึงกัน ให้หลับตาก็ยังมีภาพคนๆ หนึ่ง แต่มันคงจะเหมือนเส้นตรงที่เคยตัดกันเพียงครั้งหนึ่ง และนับจากจุดที่เคยตัดกันนั้น เส้นตรงทั้งสองเส้นก็จะยิ่งห่างกันไปเรื่อยๆ ไม่มีวันกลับมาหากันเจออีก … เหมือนกับว่าเราต่างคนต่างได้ตายจากชีวิตอีกคนหนึ่งไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับ

ตั้งแต่นั้นมา … ผมจะมีเรื่องเล่าให้ลูกศิษย์ ลูกน้อง คนใกล้ตัว ที่สนิทกับผมมากพอ ทุกคนฟัง ..

เป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่ง คนที่มีค่ากับผมมาก คนที่เปลี่ยนชีวิตผมจากคนที่เหลวไหลไร้สาระ กลายมาเป็นคนที่พวกเขารู้จัก ผู้หญิงคนที่ไม่มีอะไรมาทดแทนได้ในความรู้สึกและความทรงจำทั้งหมด และผมจะไม่มีวันลืมผู้หญิงคนนี้ไม่ว่าชีวิตผมจะมีใคร ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม …

ผู้หญิงคนที่ได้ตายจากผมไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับ มีเพียงภาพถ่ายเก่าๆ ที่ผมยังเก็บไว้ และภาพในจินตนาการที่ติดอยู่ที่เปลือกตา ให้เห็นเงาของเธอทุกครั้งที่หลับตาหรือกระพริบตาเท่านั้น

แทบทุกคืนก่อนจะนอน แทบทุกเช้าเมื่อลืมตา ใจผมจะลอยไปถึงใครคนหนึ่งเสมอ ตอนนี้เธอจะเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรือเปล่า จะคิดถึงผมเหมือนกับที่ผมคิดถึงเขาตลอดบ้างไหม หรือจะลืมกันไปหมดแล้ว ภาพของมีนยังคงชัดเจนในความทรงจำและจินตนาการเสมอ ไม่ว่าผมจะไปที่ไหน ผมจะเห็นภาพเธอที่นั่นกับผมตลอดมา

ถึงผมจะเคยค้นหาชื่อมีนจากระบบค้นหาบนอินเทอร์เน็ตมาบ้างก่อนหน้านั้น แต่มันไม่เคยกลายมาเป็นความหวังสุดท้ายเพียงความหวังเดียวของผม

“หากมีอยู่บนโลก ผมจะต้องหาเจอในอินเทอร์เน็ต”

เป็นคำพูดปลอบใจตัวเอง สร้างความหวังให้ตัวเอง ที่ผมย้ำหัวตะปูบอกตัวเองทุกวันๆ จนกลายมาเป็นข้อความติดปากของผมตลอดเวลาหลังจากนั้น แต่ถึงผมจะค้นอะไรเจอแค่ไหนอย่างไร ผมก็ค้นไม่เคยเจออะไรที่จะทำให้ผมติดต่อกับมีนได้เลยสักครั้ง

ต่อให้ Google หรือระบบค้นหาอื่นๆ มันจะเก่งแค่ไหน มันก็สร้างข้อมูลเองไม่ได้ ก็ยังต้องพึ่งข้อมูลตามเว็บต่างๆ ที่จะเปลี่ยนไปอยู่ดี ดังนั้นการนั่งค้นด้วยคำค้นเดิมๆ ทุกวัน แล้วมานั่งหาว่าอะไรมันเปลี่ยนไป เผื่อหน้าเว็บใหม่ที่เพิ่มเข้ามาจะช่วยให้ผมเจอมีนที่ไหนสักที่ เป็นเรื่องที่ยาก เหนื่อย และยิ่งทำยิ่งท้อแท้มากขึ้นเรื่อยๆ … ก็ทำให้ผมคิดอะไรได้บางอย่าง

ผมเขียนโปรแกรมมาหลายต่อหลายตัวตั้งแต่อายุน้อยมาก แต่ผมไม่เคยอินกับมันเลย ผมไม่เคยมีความตั้งใจจะเขียนโปรแกรมเพื่ออะไรสักอย่างเดียว ก็ทำได้แค่เขียนไปเรื่อยๆ ตามที่จำเป็นต้องเขียนที่ต้องเรียน หรือตามที่รับงานจากที่ต่างๆ มาทำก็เท่านั้น …

“การทำอะไรเพื่อความรัก”มันคงจะมีความหมายที่สุด เช่นเดียวกับข้อความนี้

“I’ve fought many wars in my time. Some I’ve fought for land, some for power, some for glory.
I suppose fighting for love makes more sense than all the rest.”
— King Priam, “Troy” Movie (2004)

หลายท่อนจากเพลงประกอบละครเรื่อง “ล่า” ดังก้องในหูผมทุกวันๆ

บนหนทางที่ดูเดียวดาย ในหัวใจก็ยังโหยหา
กับความรักที่เคยมีอยู่ แต่วันนี้จากฉันไปไกลสุดตา
และความรักความรักที่มีคุณค่า กับใจฉันนั่นคือเธอ
…….
จะตามหาไม่ว่าเธออยู่ไหน จะตามไปให้ได้เธอคืนมา
จะตามหาถึงแม้จะไกลสุดฟ้า จะไขว่คว้าเธอมาแนบกาย
…….
สิ่งที่เหลือที่ฉันพอจะทำได้ นั่นคือการเสาะหาให้พบเจอ

ใช่สินะ สิ่งที่เหลือที่ผมพอจะทำได้ ก็คือ “เขียนโปรแกรม เพื่อความรักที่หายไป …. เพื่อหาเธอให้เจอ”

ผมเริ่มต้นเขียนโปรแกรมขึ้นมาตัวหนึ่ง ตอนแรกตั้งใจไว้ว่าจะเอาไว้ช่วยค้น Google เฉยๆ แต่ผมก็ค่อยๆ เพิ่มความสามารถให้กับมันเรื่อยๆ จากโปรแกรมที่ช่วยค้นธรรมดาๆ มาสู่ระบบที่ค้นหาการเขียนชื่อภาษาอังกฤษจากชื่อไทยได้ทุกรูปแบบ มีส่วนในการช่วยวิเคราะห์รูปประโยคเพื่อหาชื่อคน ชื่อสถานที่ซึ่งอาจเกี่ยวข้อง มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานด้วยการกระจายการค้นหาไปอยู่บนหน่วยประมวลผลต่างๆ และสุดท้ายกลายเป็นระบบที่สลับซับซ้อนมากมาย และมีส่วนเชื่อมส่วนเสริมกับระบบเครือข่ายสังคมที่มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

[geek alert — เวอร์ชั่น “for geek” จะมีให้อ่านหลัง “จบตอน” ครับ]]

หากมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับมีน หรือคนที่มีโอกาสเป็นมีน ขึ้นในอินเทอร์เน็ต ผมจะรู้เป็นคนแรกๆ เพราะโปรแกรมตัวนี้มันจะแจ้งผมตลอด เท่าที่มันหาเจอ

ผมไม่เคยอินกับการเขียนโปรแกรมขนาดนี้มาก่อน เรียกได้ว่าความรู้และประสบการณ์ในการพัฒนาโปรแกรมของผมที่มีในทุกวันนี้ มีรากมีฐานมาจากโปรแกรมตัวนี้เกือบทั้งนั้น …. ข้อความที่ว่า “หากไม่มีผู้หญิงคนนี้ ชีวิตผมไม่มีวันมีวันนี้” ยิ่งเป็นจริงขึ้นทุกวัน …

วันเวลาผ่านไปและผ่านไป พร้อมกับภาพอดีตของเราสองคน ที่นับวันยิ่งเป็นภาพที่ไกลออกไปจนเริ่มเลือนลาง

แต่โปรแกรมนี้ยังทำงานของมันมาเรื่อยๆ บนเครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของแล็บวิจัยที่ผมเคยทำงานที่มหาวิทยาลัยที่ผมเรียน ถึงมันจะไม่ค่อยเจออะไรที่เป็นประโยชน์เท่าไหร่ แต่มันก็ทำให้ผมรู้ว่าชีวิตของมีนอย่างคร่าวๆ ว่ามีนเรียนต่อ ปริญญาโทที่จุฬาฯ ผมเคยอ่านงานวิจัยของมีน ผมรู้ว่าเรียนจบแล้วไปทำงานที่ CP (จริงๆ ที่ๆ มีนทำงานคือ CPF แต่ผมไม่รู้ความแตกต่างในตอนนั้น) และเคยอ่านบทความนี่นั่นโน่นที่มีนเขียนบ้าง แต่ผมไม่เคยเจออะไรมากกว่านั้นเลย

จริงๆ แค่นี้ก็น่าจะพอแล้วไม่ใช่เหรอ … ไม่ใช่หรอกครับ ด้วยนิสัยของผม คงจะไม่ใช่คนที่อยู่ดีๆ จะเดินเข้าไปถามหาคนชื่อนี้ๆ ใน CPF หรือเดินไปถามอาจารย์ที่ปรึกษาของมีนหรอก ขนาดถามพนักงานเวลาจะซื้อของ ผมยังไม่ถามเลย ผมอยากได้อะไรที่ทำให้ผมพอจะ “บังเอิญไปเจอ” ได้ หรือจะดีกว่านั้น ให้ผมติดต่อได้โดยตรงเลยดีกว่า

สำหรับชีวิตผมและมีนในช่วงนั้น ก็เหมือนเส้นตรงสองเส้นที่แยกจากกันจริงๆ … เส้นตรงสองเส้นที่เคยตัดกันในเวลาสั้นๆ ที่นับวันยิ่งแยกทางห่างกันไปเรื่อยๆ ต่างคนก็ต่างมีชีวิตตัวเอง ต่างคนก็เรียนจบ ต่างคนก็มีการมีงาน มีสังคม มีใครต่อใครผ่านเข้ามาในชีวิต แต่มันก็เหมือนกับชีวิตของเราสองคน กำลังรอคอยอะไรบางอย่าง ที่เราสองคนก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจ

ตลอดเวลาที่ผ่านไป ผมก็ยังคงคิดถึงมีนเสมอ ยังคงเห็นภาพมีนอยู่บ่อยๆ เหมือนเดิม ผมยังคงลืมไม่ได้ และไม่คิดจะลืมด้วย … ผู้หญิงคนหนึ่งที่ตายไปแล้วจากชีวิตจริงของผม แต่ไม่เคยตายไปจากใจ จากความรู้สึกเลย

เมื่อมีใครจะเดินผ่านเข้ามาในชีวิต และถึงเราทั้งสองคนจะลองเปิดประตูชีวิตยังไง แต่ประตูหัวใจของเราทั้งคู่นั้นเหมือนจะถูกปิดเอาไว้ ไม่ให้ใครเข้าไปถึงส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจได้เลยแม้แต่คนเดียว …. ราวกับว่าหัวใจของเรา ได้กลายมาเป็นห้องปิดตาย ที่ขังตัวมันเองเอาไว้จากทุกอย่าง

ห้องปิดตาย …. ที่ถูกปิดเอาไว้ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้น โดยที่เราทั้งคู่เองก็ไม่ได้รู้ตัว
ห้องปิดตาย …. ที่แม้แต่ตัวเราเองก็ไม่สามารถไขเปิดออกได้ เพราะเราได้เคยให้กุญแจของหัวใจกับใครคนหนึ่งไปแล้ว โดยที่แม้แต่ตัวเราเองก็ไม่รู้ตัวมาก่อน

If I had a box just for wishes
And dreams that had never come true
The box would be empty
Except for the memory
Of how they were answered by you

เพลง “Time in a Bottle” (เวลาในขวดแก้ว) ดังซ้ำไปซ้ำมาในหูของผมบ่อยครั้ง มันเป็นเรื่องราวของคนๆ หนึ่ง ที่อยากจะเก็บเวลาทั้งหมดเอาไว้ใช้กับผู้หญิงคนที่ตัวเองรัก หากวันหนึ่งความรักของเขาเป็นจริง แต่เพลงนี้ลงท้ายว่า เมื่อวันเวลาได้ผ่านไปจนถึงจุดสิ้นสุดของกาลเวลาที่เป็นนิรันดร์ ทุกอย่างจะเป็นจริงขึ้นมาทั้งหมด ยกเว้นไว้เรื่องเดียว คือเรื่องความรักของเขา ที่ไม่มีวันสมหวัง แม้เวลาจะผ่านไปจนถึงนิรันดร์ก็ตาม

เรื่องของเราสองคน … นับวันยิ่งมองดูแล้วอาจจะยิ่งกว่าสิ้นหวังสำหรับผม ที่บอกตามตรงว่าผมไม่ได้หวังอะไรอีกแล้ว นอกจากเล่าเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่เปลี่ยนชีวิตผม และได้ตายจากผมไปแล้ว ให้คนใกล้ตัวทุกคนฟัง

ในขณะเดียวกันกับที่ชีวิตของเราต่างดำเนินต่อไปตามเส้นทางที่แยกกันไปเรื่อยๆ นั้น …. โปรแกรมตัวนั้น ก็ยังคงทำงานต่อมาเรื่อยๆ ค้นหาในเว็บที่มากขึ้นๆ และเครือข่ายสังคมที่มากขึ้นๆ ….. จนกระทั่งวันหนึ่ง กว่าสิบปีผ่านไปนับจากวันที่ผมเริ่มจะค้นหามีน …. ผมก็ได้รับข้อความจากโปรแกรมตัวเอง …

“เดฟ นายลองดูนี่สิ”

เป็นข้อความที่นานๆ ทีมันจะส่งมาหาผมสักทีที่เจออะไรเข้าท่า แต่ที่ผ่านมาเมื่อผมเข้าไปดู ก็ไม่เจออะไรที่เป็นประโยชน์เท่าไหร่นัก … แต่ครั้งนี้ เป็นวันที่ผมเห็นแสงสว่างจากลอดออกมาจากหุบเหวมืดบนฟากฟ้าเป็นครั้งแรก

ใช่ครับ ผมเจอแล้ว

(จบตอน)

[geek alert — Special Extended Edition]

ผมเริ่มต้นจากการเขียน Perl script ง่ายๆ เพื่อที่จะช่วยผมในการค้น Google และยัด script นี้ลงใน crontab เพื่อให้ทำงานตามวันและเวลาที่กำหนด เนื่องจาก Google ในขณะนั้นยังไม่ได้เปิดช่องทางให้ค้นหาได้แบบผ่าน API เหมือนทุกวันนี้ ดังนั้นผมจึงต้องแงะข้อมูลจาก HTML เองด้วยวิธีต่างๆ ทั้งการเขียน parser เองและใช้ regular expression ช่วยสร้างตัว recognizer ต่างๆ และทำตัวเปรียบเทียบผลกันวันต่อวัน ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง เพื่อที่ผมจะได้ไม่ต้องดูเว็บที่เคยค้นเจอมาแล้ว

วันหนึ่งผมก็มานึกได้ ว่าเป็นไปได้มั้ย ที่จะข้อมูลบางอย่างที่เป็นภาษาอังกฤษ แต่ชื่อมีนเป็นภาษาอังกฤษสะกดยังไงล่ะ ผมก็ไม่รู้อยู่ดี เอาแค่ตัว “ว” จะเป็น v หรือ w ก็ แล้วยังมีอีกหลายที่ ที่สามารถใส่ตัว h ลงไปได้แบบไม่มีเหตุผล ทั้งชื่อทั้งนามสกุล … ก็ไม่เป็นไร ผมก็แค่ต้องทำตัว generate คำค้นจากชื่อภาษาไทย เท่าที่มันจะเป็นไปได้ออกมาทั้งหมด และส่งไปให้โปแกรมที่ทำหน้าที่ค้นหา ทำการค้นอีกที

เนื่องจากมันมีหลายคำค้น การค้นและวิเคราะห์ก็ค่อนข้างจะใช้เวลานานหากต้องทำทีละความเป็นไปได้ของชื่อ นั่นเอง ทำให้ผมได้เริ่มศึกษาและเรียนรู้สิ่งที่เรียกว่า Parallel และ Distributed computing ซึ่งผมก็ได้แอบใช้เครื่อง Supercomputer ของแลบวิจัยผม ที่บางทีมี CPU time และ resource เหลือพอที่จะรันโปรแกรมตัวนี้ได้ … ด้วยธรรมชาติของงานนี้ ที่เป็น Embarassingly parallel ดังนั้นจึงไม่มีปัญหามากเท่าไหร่ในการแก้ให้มันทำงานแบบขนานและกระจายได้

เมื่อผมเริ่มอ่านโค้ด Perl ของตัวเองไม่รู้เรื่อง ผมก็โทษภาษาโปรแกรมและเปลี่ยนไปใช้ภาษาอื่นที่โครงสร้างมันสวยกว่านั้น และอ่านง่ายกว่านั้น เพราะผมเริ่มมีความรู้สึกว่า ผมคงจะต้องอยู่กับการค้นหานี้ไปอีกนาน ดังนั้นเขียนโค้ดที่มันอ่านออกไว้ก่อนจะดีกว่า ดังนั้นผมเลยเริ่มรื้อโปรแกรมใหม่ เขียนใหม่ด้วยภาษาหลายภาษาแล้วแต่ความเหมาะสมของแต่ละส่วน

แต่ข้อเสียของ Google ที่ใหญ่ที่สุดก็คือ ค้นอะไรได้อย่างนั้น ค้นชื่อ ก็ได้ชื่อ ผมเจอเว็บไซต์หลายแห่งที่มีชื่อมีน แต่ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ไม่มีอะไรที่จะทำให้ผมหาเค้าเจอแม้แต่อย่างเดียว ผมต้องเข้าไปอ่านเนื้อหาในแต่ละหน้าเอง ว่าจะมีอะไรบ้างที่จะทำให้ผมเจอเค้าได้

สุดท้ายผมก็ทำ Analytic Engine สำหรับพยายามวิเคราะห์ข้อความบนเว็บไซต์แบบมั่วๆ ผมพยายามทำให้มันฉลาดพอที่จะดูว่าอะไรเป็นชื่อคน อะไรเป็นชื่อสถานที่ อะไรเป็นฯลฯ … ผมอยากรู้ว่าจะติดต่อเค้าได้ยังไง จากนั้นผมก็เริ่มเหนื่อยกับการเข้าไปเช็คการทำงานของโปรแกรม ก็เลยเริ่มหัดเขียนพวกระบบแจ้งเตือนต่างๆ ที่จะส่งข้อความเข้ามือถือหรือ e-mail ผมบ้าง เมื่อเจออะไรที่น่าสนใจ

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ โปรแกรมนี้ยังทำงานของมันมาเรื่อยๆ ถึงจะไม่ค่อยเจออะไรที่เป็นประโยชน์เท่าไหร่ ผมรู้ว่ามีนเรียนต่อ ป.โท ที่จุฬาฯ ผมเคยอ่านงานวิจัยของมีน ผมรู้ว่าเรียนจบแล้วไปทำงานที่ CP และเคยอ่านบทความนี่นั่นโน่นที่มีนเขียนบ้าง แต่ผมไม่เคยเจออะไรที่มากกว่านั้นเลย และด้วยนิสัยของผม คงจะไม่ใช่คนที่อยู่ดีๆ จะเดินเข้าไปถามหามีนใน CP หรือเดินไปถามอาจารย์ที่ปรึกษามีนหรอก ขนาดถามพนักงานเวลาจะซื้อของ ผมยังไม่ถามเลย

ยุคสมัยผ่านไป ยุคของ API เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โปรแกรมตัวนั้นก็ถูกปรับปรุงแก้ไขมาเรื่อยๆ ตั้งแต่การเชื่อมเข้ากับ Social API เท่าที่มันมี ผมไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มีนจะเข้ามาเล่นอะไรเมื่อไหร่ ดังนั้นผมก็เชื่อมเท่าที่ผมรู้ และผมเขียนมันในลักษณะที่ว่า หากใครที่มีโอกาสจะเป็นมีน เข้ามาใช้งานในระบบที่เปิด API เหล่านี้ และ API มันสามารถหาได้เมื่อไหร่ ผมจะรู้เป็นคนแรกๆ ทันที

โปรแกรมตัวนี้รันมาเรื่อยๆ บนเครื่อง Supercomputer รุ่นเล็กของ SGI ซึ่งแลบวิจัยผมซื้อเอาไว้รัน Simulation แต่เนื่องจากผมเป็นคนเขียน scheduler ของตัวระบบนี้ ทำให้ผมสามารถที่จะเจียด CPU เล็กน้อย เวลาที่ไม่ค่อยมีคนรัน job อะไรเอาไว้ มารันโปรแกรมตัวนี้ของผมได้

ทั้งหมดนี้อาจจะดูเหมือนกับเป็นการทำอะไรไม่รู้แบบ geek​ โง่ๆ คนหนึ่ง ที่ทำเป็นแต่อะไร geekๆ …. แต่ผมอยากจะบอกว่า ความรู้จริงๆ ของผมในด้าน Computer Science การพัฒนาโปรแกรม การพัฒนาระบบต่างๆ และการใช้งานเทคโนโลยีต่างๆ แบบ practical เกือบทั้งหมดที่ผมรู้และทำได้ในทุกวันนี้นั้น มีต้นตอ มีที่มา มีรากมาจากสิ่งที่ผมทำตอนนั้นแทบทั้งนั้น …. ข้อความที่ว่า “หากไม่มีผู้หญิงคนนี้ ชีวิตผมไม่มีวันมีวันนี้” ยิ่งเป็นจริงขึ้นทุกวัน … ถึงโปรแกรมตัวนี้จะไม่ใช่โปรแกรมที่เจ๋งที่สุดในโลก มีอัลกอริทึมโง่ๆ หลายอย่างที่ถ้าเอาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมาดู คงจะหัวเราะก๊ากออกมาด้วยความขำกลิ้ง การออกแบบหลายอย่างที่เป็นแบบไร้กระบวนท่า มีบั๊กน่าจะเยอะแยะอยู่ และมี work-around หลายต่อหลายอย่าง และที่สำคัญ มันทำงานเป็นแบบ background daemon process ที่มีการเรียกใช้ผ่าน command line interface ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ได้ user interface สวยงามอะไรเลย …. แต่มันเป็นโปรแกรมที่ผมได้เรียนรู้ทุกอย่างมากที่สุด และเป็นโปรแกรมที่ผมรักที่สุด

[จบช่วง: geek alert]

คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายที่รอคอย #3: “The Storm and Rain”

เรื่องเล่า ที่เรียบเรียงจากเรื่องจริงของผม และว่าที่เจ้าสาว คุณวัชรพรรณ โล่ห์ทองคำ ตอนที่ 3

อัพเดทล่าสุดเมื่อ 10 กันยายน 2555

ความเดิม

06-08/1999: พายุุฝนกระหน่ำ (The Storm & Rain)

ผมโทรไปยังหอพักของมีน ซึ่งพักอยู่กับเพื่อน ถ้าผมจำไม่ผิดโทรศัพท์หอตอนนั้นยังเป็นลักษณะชุมสายที่ใช้คนสลับสายอยู่ ค่าโทรศัพท์จากญี่ปุ่นมาไทยตอนนั้นก็ยังเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน บัตรโทรศัพท์ราคาพันเยน (สามร้อยกว่าบาท) นี่ใช้ได้ไม่ถึง 10 นาทีเท่านั้นเอง

“ฮัลโหล ขอสายมีนครับ”

ผมรู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้ยินเสียงมีนผ่านทางโทรศัพท์เป็นครั้งแรกในเวลากว่า 4 ปี ความกลัวเริ่มเข้าครอบงำจิตใจอีกครั้ง ถ้าเธอจำผมไม่ได้ หรือไม่อยากคุยกับผมล่ะ ผมจะคุยอย่างไรดี ผมจะมีข้ออ้างในการจะขอให้เธอคุยกับผมมั้ย หรือผมควรจะง้อและขอโทษกับอดีตที่ผ่านมายังไง เธอจะคิดยังไงกับผมล่ะ ฯลฯ

แต่ทุกอย่างที่ผมกลัวก็ไม่ได้เกิดขึ้นเลยสักนิด เพราะมีนที่ปลายอีกด้านหนึ่งของสายโทรศัพท์ ก็ยังเหมือนกับมีนคนเดิมที่ผมเคยโทรหาสมัยผมยังเรียนอยู่ ม.ต้น ไม่มีผิดเพี้ยน ทั้งๆ ที่เราแทบไม่ได้คุยกันเลย และแทบจะห่างเหินจนเป็นคนอื่น เรียกได้ว่าในช่วง 2-3 ปีหลังนี้ รู้สึกได้ว่าเราทั้งคู่ต่างกลายเป็นคนที่ห่างกันยิ่งกว่าเพื่อนทั่วๆ ไปด้วยซ้ำ

มีนเองก็คงงงเหมือนกัน ว่าทำไมอยู่ดีๆ ผมถึงคิดติดต่อมา ทั้งๆ ที่ค่อนข้างจะห่างเหินหมางเมินกันมานานมาก แล้วก็ไม่เคยเข้าใจว่าที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น คนที่เธอรู้สึกมาตลอดว่าคงจะเกลียดเธอมาก คนที่เธอรู้สึกมาตลอดว่าไม่อยากแม้แต่จะมองหน้าเธอ และมองเธอด้วยหางตาที่เย็นชามาตลอด เธอก็ไม่เข้าใจว่าตอนนี้กำลังเกิดอะไรขึ้นอีก แต่มีนก็แสดงน้ำเสียงดีใจและแปลกใจอย่างที่ผมรู้สึกได้ ราวกับว่านี่เป็นสิ่งที่เธอรอคอยมานานแล้ว …

ผมรู้สึกว่า .. มีนมีความสุขนะ ที่ผมโทรไป มีนมีความสุขนะ ที่เราได้คุยกัน

ผมกับมีนคุยกันราวกับอัดอั้นและเก็บกดความต้องการที่อยากคุยกันมานานมาก ได้คุยกันทีไรก็ยาวทุกที (จนบางทีบัตรโทรศัพท์ 5,000 เยน ก็ไม่พอ) และคุยกันได้ทุกเรื่อง ไม่รู้ว่าเอาเรื่องอะไรมาคุยกันบ้าง แต่เมื่อไหร่ที่ได้คุยกัน ก็จะคุยกันยาว และเรื่องต่างๆ ก็จะเข้ามาเองโดยธรรมชาติ

เนื่องจากค่าโทรศัพท์ระหว่างประเทศตอนนั้นเป็นอะไรที่แพงมาก ทำให้ผมไม่สามารถจะคุยกับมีนได้มากอย่างที่ใจต้องการ และคุยทีไรมันก็ไม่เคยหายคิดถึง เราสองคนจึงต้องติดต่อกันด้วยวิธีที่คลาสสิคกว่านั้น ก็คือ “การเขียนจดหมาย”

การส่งจดหมายแต่ละครั้งจากญี่ปุ่นมาไทย จะใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ ดังนั้นกว่าจดหมายฉบับหนึ่งจะถูกอ่าน ได้รับการตอบ และถูกส่งกลับไปถึงอีกฝ่าย ก็จะกินเวลาประมาณ 2 สัปดาห์เป็นอย่างน้อย ซึ่งนั่นหมายถึงว่าเดือนหนึ่งๆ เราจะได้รับจดหมายโต้ตอบกันเพียง 2 ครั้งเท่านั้น

ทุกครั้งที่ผมเขียนจดหมาย ผมจะนั่งนับวันเลยว่าวันนี้จดหมายจะส่งถึงหรือยัง มีนจะได้อ่านหรือยัง แล้วจะตอบกลับมาเลยมั้ย แล้วผมก็นั่งรอเวลาที่ควรจะได้รับจดหมายตอบกลับมา ช่วงนั้นผมจะขยันเช็คตู้จดหมายมากเป็นพิเศษ (ทั้งที่ปกติแทบไม่เคยสนใจจะเช็คเลย ค่าน้ำค่าไฟมาส่งก็ไม่ค่อยจะสนใจเช็คจนแทบจะโดนตัดเป็นเรื่องปกติ)

พอได้จดหมายตอบกลับมา ทุกครั้งก็จะดีใจมาก รีบวิ่งเอาขึ้นไปอ่านบนห้อง (ทิ้งจดหมายอื่นๆ ไว้ในตู้น่ะแหละ) ก่อนจะแกะอ่านก็จะนอนกอดแป๊บนึงก่อน แล้วพอเปิดซอง ก่อนจะอ่านก็จะต้องหอมกระดาษสักครั้งหนึ่ง จดหมายแต่ละฉบับก็จะอ่านซ้ำไปซ้ำมา อ่านแล้วอ่านอีก อ่านไปอมยิ้มไป เป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่มีค่ามากมายกับความรู้สึก

มีนเองก็รู้สึกแบบเดียวกับผมทุกครั้งที่ได้รับจดหมาย แต่อาจจะมียิ่งกว่าผมเสียอีก ตรงที่เค้ามีความสุขกับการไปเลือกกระดาษเขียนจดหมายด้วย ว่าจะเอาแบบไหน สีอะไร ลายอะไรดี ฯลฯ ในขณะที่ผมมักจะใช้กระดาษเขียนจดหมายแบบธรรมดาๆ และซอง Air Mail ธรรมดาในการส่ง

และแล้ว … ผมก็ขอสิ่งที่กลายเป็นสมบัติมีค่าของผมอีกชิ้นหนึ่งจากมีน นั่นก็คือ “รูปถ่าย” ซึ่งแม้ว่ามีนจะทำท่าเล่นตัวไม่อยากจะให้ จะเอาไปทำไม ไม่ต้องเอาไปหรอก นี่นั่นโน่น แต่เมื่อผมเปิดซองจดหมายซองต่อไปออกมา ผมก็พบกับรูปถ่ายของมีน ในชุดนิสิตใส่กระโปรงยาว …


meen_uni.jpg

“มีนสวยจัง” ผมคิดกับตัวเองดังๆ และนี่คือความจริงอีกอย่างของชีวิตผม ที่ผมไม่เคยเห็นใครสวยกว่ามีนเลยตลอดเวลาที่รู้จักกันมา จนถึงทุกวันนี้ ผมยังคงรู้สึกว่ามีนคือผู้หญิงที่สวยที่สุด และไม่มีอะไรทำให้ผมรู้สึกเป็นอย่างอื่นไปได้

ผมไม่สามารถบรรยายได้หรอกครับ ว่าผมดีใจแค่ไหนที่มีนส่งรูปนี้มาให้ผม ว่าความรู้สึกผมวันนั้นเป็นยังไง รู้แต่ว่า นี่คือรูปที่ผมหวงที่สุดในชีวิต ทุกคร้ังผมเห็นแล้วก็ยิ้ม ดีใจ แล้วหลายๆ ครั้งก็หยิบรูปถ่ายใบนี้ขึ้นมาหอมเบาๆ

(ทุกวันนี้ ผมเก็บรูปนี้ไว้ในหนังสือ Godel, Escher, Bach หน้า 148 ตลอดมา ซึ่งหนังสือเล่มนี้จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับ “Loop” และ “Recursion” เป็นแก่นหลัก ไม่ว่าจะเป็นรูปมือสองมือกำลังวาดกันเอง หรือบันไดเวียนที่เป็นไปไม่ได้ และ Loop อีกหลายต่อหลายแบบ ส่วน Recursion นั้นก็คือการเกิดขึ้นซ้อนในตัวมันเองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และเลข 148 มีความหมายก็คือ “ตั้งแต่เริ่มต้น (1) จนถึงตาย (4) นับครั้งไม่ถ้วน (8 — infinity)” ….. ลึกๆ แล้วโดยนัย ผมอยากให้เรื่องของผมและมีน เป็นเหมือนกับสิ่งนี้ ที่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เราก็จะกลับมาเริ่มต้นกันใหม่ได้ทุกครั้ง ตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกัน จนถึงวันสุดท้าย ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ตาม)

แม้จะส่งจดหมายคุยกันตลอด แต่เราก็ยังคุยโทรศัพท์กันบ่อยมาก ไม่ว่าจะสั้น (บัตร 1,000 เยน) ยาวหน่อย (บัตร 3,000 เยน) หรือยาวมาก (บัตร 5,000 เยน) เรียกว่าผมหาเงินจากการทำงานพิเศษ (เขียนโปรแกรมแบบพาร์ทไทม์) ได้เท่าไหร่ก็แทบจะมาลงกับบัตรโทรศัพท์

วันหนึ่ง ….. จุดยอดของความรู้สึกทุกอย่างที่เรามีให้กันมาตลอดก็มาถึง … ผมรวบรวมความกล้าทั้งหมดเพื่อบอกเธอว่า

“ผมรักมีนครับ”

ผมจำได้ว่าผมได้ยินเสียงมีนร้องไห้ แล้วก็พูดต่อมาอย่างดีใจว่า

“ทำไมซึ้งจังล่ะตัวเอง”

ผมบอกตามตรงว่าเขินมากที่พูดแบบนั้น และเขินยิ่งกว่าเมื่อได้ยินมีนบอกแบบนั้น

เมื่อวันปิดเทอมที่ญี่ปุ่นจะมาถึง ผมบอกมีนว่าจะกลับเมืองไทย และจะไปเยี่ยมเค้าที่มหาวิทยาลัย ซึ่งดูท่าทางมีนจะเขินไม่ใช่น้อย เพราะถึงจะคุยกันมาพักใหญ่ๆ ในโทรศัพท์ ส่งจดหมายหากันนับสิบฉบับ แต่ครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกัน และคุยกันดีๆ นั้น มันเป็นภาพความทรงจำไกลๆ … แต่เราก็สัญญาว่าจะเจอกัน เมื่อผมกลับเมืองไทย ผมจะรีบไปหา

ทุกอย่างเหมือนดี และราบรื่น …… โดยที่เราทั้งสองคนไม่รู้เลย ว่าสิ่งที่สัญญากัน จะเป็นเพียงฝันท่ามกลางน้ำตา

คืนก่อนที่ผมจะเดินทางไปหามีนที่ ม.นเรศวร เราก็โทรคุยกันเป็นปกติ และตรงนั้น ตอนนั้นเอง ที่ผมทำเรื่องที่โง่ที่สุดในชีวิต และเป็นเรื่องที่ผมไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้ไปอีกนับสิบปี ด้วยความที่บางครั้งผมจะปากไว พูดไม่ระวัง และบางครั้งคำพูดโง่ๆ อะไรบางอย่างของผม มันไปทำร้ายความรู้สึกคนอื่นได้โดยไม่รู้ตัวและไม่ตั้งใจ

สิ่งที่ผมพูดในวันนั้น ทำให้มีนร้องไห้ …. ผมไม่เคยเห็นมีนเสียใจขนาดนั้นมาก่อน

“ไม่ต้องคุย ไม่ต้องมาเจอกันอีกแล้วนะ”

และนั่นก็คือ คำพูดสุดท้ายที่ผมได้ยินจากมีน …..

ผมคิดและเชื่อฝังหัวมาตลอด ว่ามีนคงจะเกลียดผมแล้ว ไม่อยากคุยกับผมแล้ว ไม่อยากเจอผมอีกต่อไปแล้ว ทั้งๆ ที่วันต่อมาผมควรจะไปง้อที่มหาวิทยาลัย หรืออย่างน้อยๆ ก่อนจะกลับญี่ปุ่น ผมควรจะหน้าด้านไปหาสักครั้งหนึ่ง หรือโทรไปหาก็ยังดี … แต่ไม่เลย เพราะผมกลัว เพราะผมเชื่อไปแล้วว่ามีนรู้สึกกับผมแบบนั้น ผมก็เลยยิ่งไม่กล้า และอีกความรู้สึกหนึ่งก็คือ ผมไม่อยากให้มีนต้องเสียใจเพราะผมอีกแล้ว ผมก็เลยยิ่งไม่กล้าที่จะติดต่อไปอีก …

ใครบ้างนะ จะคิดว่า นั่นคือครั้งสุดท้ายที่เราสองคนได้คุยกัน …… ทุกอย่าง มันเป็นเพียงแค่ฝันลมๆ แล้งๆ เพียงตื่นหนึ่ง ที่เมื่อเราตื่นขึ้นมาก็ต้องเจอกับความจริง

ความจริงที่เราไม่มีอีกคนหนึ่งอีกต่อไปแล้วในชีวิต ความจริงที่ทั้งๆ ที่ผมยังรัก ยังคิดถึง ยังห่วงหา ยังอาลัย แต่ผมก็ไม่กล้าที่จะติดต่อไปอีก

และความจริงที่ผมไม่เคยคิด ไม่เคยรู้เลย ก็คือ … หลังจากนั้น เด็กสาวคนหนึ่ง จะเฝ้ารอโทรศัพท์ เฝ้ารอจดหมาย เฝ้ารอการติดต่อ จากใครคนหนึ่งที่เคยโทรมาหาเธอเกือบทุกวันแม้จะอยู่แสนไกล จากใครคนนั้นที่เคยบอกรักเธอ คนที่เธอนับวันรอที่จะได้เจอกันมาตลอด เธอไม่เคยออกจากหอไปไหนในเวลาที่ปกติใครคนนั้นจะเคยโทรศัพท์มาหา ไม่ว่ากลุ่มเพื่อนจะไปเที่ยวไหน หรือไปทำกิจกรรมอะไร เธอก็จะเฝ้ารออยู่ที่หอเสมอ

เสียงโทรศัพท์ … จากผม ที่ไม่เคยมีมาหาเธออีกเลย … แม้กระทั่งวันสุดท้ายที่เธออยู่หอนั้น ….

(จบตอน)

คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายที่รอคอย #2: “The Cloudy Horizon”

เรื่องเล่า ที่เรียบเรียงจากเรื่องจริงของผม และว่าที่เจ้าสาว คุณวัชรพรรณ โล่ห์ทองคำ ตอนที่ 2

อัพเดทล่าสุดเมื่อ 10 กันยายน 2555

ความเดิม

1996-1999: เมฆฝนที่ปลายฟ้า (The Cloudy Horizon)

ผมกลับมาเริ่มเรียนอย่างจริงจัง หลังจากที่ผมทิ้งการเรียนแบบไม่สนใจไยดีและทำตัวเหลวไหลมาตลอดสองปีกว่าตั้งแต่กลับมาจากอเมริกา แต่ถึงจะขยันอย่างเป็นบ้าเป็นหลังแค่ไหนมันก็ลำบากเหมือนกันนะ เพราะไม่ว่าโดยพื้นฐานแล้วจะเป็นคนฉลาดแค่ไหน เคยเรียนเก่งตั้งแต่เด็กแค่ไหน แต่การทิ้งมันไปนานแบบนั้น ก็ทำให้ผมลำบากมากในการรื้อฟื้นทุกอย่างใหม่อีกครั้ง (ผมบอกได้อย่างไม่อายใครครับ ผมจบ ม.3 ด้วยการแยกตัวประกอบไม่เป็น ทำฟิสิกส์ง่ายๆ ระดับกฏนิวตันธรรมดาๆ ไม่ได้ ไม่เก็ทอะไรเลยว่าอะไรคืออะไร อ่านหนังสือเรียนอะไรก็ไม่เข้าหัวเลย ไม่ว่าจะวิชาอะไรก็ตาม เรียกว่าคะแนนสอบและเกรดนี่แค่พอจะรอดตลอด ม.ต้น จะรอดสบายๆ ก็ภาษาอังกฤษ เพราะบุญเก่าเยอะ)

แต่ครั้งแล้วคร้ังเล่าที่ผมท้อ ผมก็ได้แต่บอกรูปถ่ายที่ผมเก็บไว้ว่า “มีนครับ วันหนึ่ง ผมจะดีพอ และเมื่อผมดีพอ ผมจะกลับมาจีบคุณใหม่ .. อีกครั้ง” ……

ผลจากการบ้าเรียน ทำให้ผลการเรียนผมดีขึ้น ถึงจะยังไม่ถึงขนาดเก่งมากมายอะไรเท่าไหร่ แต่ผมก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองน่าจะดีขึ้นบ้างแล้วมั้ง

ผมหาโอกาสคุยกับมีนมาตลอดเวลาที่เรียน ม.ปลาย แต่ด้วยช่องว่างระหว่างชั้นเรียน และช่องว่างจากความห่างกันที่ผมสร้างมันขึ้นมาเองนั้น ทำให้โอกาสนั้นยิ่งหายากขึ้นไปอีก เบอร์โทรศัพท์บ้านที่ผมมี ถึงผมจะจำได้อย่างขึ้นใจแค่ไหน ผมก็ไม่กล้าโทรไปหาอีกแล้ว คงจะเพราะกลัว กลัวว่าจะโดนถามว่า “โทรมาทำไม ถ้าไม่มีอะไรก็แค่นี้นะ” แล้วผมก็จะหาเหตุอันควรในการรั้งให้คุยต่ออีกสักนาทีหนึ่งไม่ได้

และแล้ววันหนึ่ง โอกาสที่ผมรอคอยก็มาถึง พร้อมๆ กับเป็นวันที่หัวใจผมเกือบสลายเป็นครั้งแรก ….

วันนั้น ผมบังเอิญเจอมีนบนรถทัวร์ขากลับจากกรุงเทพฯ ต่างคนต่างไปเรียนพิเศษแล้วบังเอิญเจอกันตอนเดินทางกลับ ตอนนั้น … ผมรู้สึกดีใจมากที่มีโอกาสได้นั่งข้างๆ เธอคนนี้อีกครั้ง

ผมไม่รู้หรอกนะ ว่าเวลานั้นมีนจะรอให้ผมง้ออยู่หรือเปล่า จะรอให้ผมชวนคุยอยู่มั้ย แต่ด้วยความที่ผมไม่มั่นใจตัวเอง คิดเข้าข้างตัวเองไม่เป็น ผมก็ไม่กล้าจะคิดไปแบบนั้นเลย และด้วยความที่เป็นคนขี้อายยังไงก็ไม่เปลี่ยน ปากหนักมากเรื่องการบอกความรู้สึกของตัวเอง ทำให้ผมพูดอะไรก็ลำบากไปหมด ทุกคำพูดที่มันหลุดจากปากมา มันไม่เคยเป็นคำที่อยากจะพูดออกไปเลยแม้แต่คำเดียว อยากจะชวนคุยดีๆ นะ แต่ก็ขรึมใส่ อยากจะง้อนะ แต่ก็ทำหยิ่ง ทำไมก็ไม่รู้เหมือนกัน

มีนเองก็อยากคุยนะ แต่ก็ไม่รู้จะชวนคุยเรื่องอะไร เพราะความห่างเหินระหว่างเราสองคน และแล้ว มีนก็ถามผมถึงเพื่อนเก่าผมสมัยเรียนที่วชิราวุธคนหนึ่ง … ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับผม นั่นหมายความว่าเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับมีนด้วย (แต่สำหรับสังคมของมีนแล้ว ผมก็คือรุ่นน้องในโรงเรียน) ถึงมันจะเป็นเรื่องไม่มีอะไร ก็คงแค่พูดถึงเฉยๆ อาจจะพูดถึงเพราะอยากจะชวนผมคุย แต่เพราะความห่างเลยไม่มีเรื่องอะไรที่รู้ร่วมกันเลย ก็เลยเอาเรื่องคนที่คิดว่าผมจะรู้จักมาถามไถ่ เผื่อจะได้คุยกันต่อได้ ก็เป็นไปได้นะ

แต่ด้วยความที่ผมคิดทำร้ายตัวเองเก่งอยู่แล้ว ด้วยความที่ผมคิดว่าคนอื่นเหมาะกับมีนมากกว่าตัวเองอยู่แล้ว ด้วยกำแพงของคำว่ารุ่นพี่รุ่นน้อง ด้วยฯลฯ มันกลับทำให้ผมรู้สึกเจ็บมากที่ขั้วหัวใจ แต่ตอนนั้นก็ยังทำเก่ง ทำปากแข็งไปเรื่อย พูดยิ้มไปเรื่อย แต่ใจมันไม่เป็นแบบนั้น ก็ยังอยากจะด่าตัวเองอยู่ว่าจะเก็บอาการไปถึงไหน ….

เราแทบไม่ได้คุยกันอีกเลยตลอดเวลาที่เรียน ม.ปลาย เพราะผมก็มัวแต่บ้าเรียน เรียน เรียน แล้วก็เรียน ผมกลายเป็นคนเก็บตัวมากขึ้น จากที่เพื่อนน้อยอยู่แล้ว ก็ยิ่งน้อยลงไปอีก ผมไม่ค่อยจะคบเพื่อนรุ่นเดียวกันด้วยซ้ำ และผมไม่ค่อยจะคบเพื่อนรุ่นมีนด้วย จะมีแต่คบรุ่นพี่ไปอีกรุ่น หรือพวกนักศึกษาราชภัฏไปเลย อาจจะเพราะปมลึกๆ ที่มีนสร้างให้ผมด้วย ผมเลยต้องพยายามทำตัวแบบนั้น

ผมออกมาอยู่หอหลังโรงเรียน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง และจะได้อ่านหนังสือได้เต็มที่มากขึ้น ผมโดดเรียนหลายต่อหลายวิชา เพื่อเอาเวลาไปนั่งอ่านหนังสือเอง ฝึกทำโจทย์เอง เพราะคิดว่ามันตรงประเด็นกว่า โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาที่ผมคิดว่าทำไปทำมา ผมถนัดที่สุด และน่าจะเป็นอาวุธสำคัญในการทำคะแนนสอบของผม (แต่หลายครั้งก็ชอบนั่งเล่นหมากรุกเรื่อยเปื่อยไปวันๆ)

แต่.. มีนจะรู้มั้ยนะ ว่าบางวันที่ผมเห็นเธอนั่งอยู่ตรงทางเดินด้วยท่าทางเหงาๆ ที่ถึงเธอจะไม่แสดงออกยังไงผมก็เห็น … ผมก็อยากจะเดินผ่านแล้วยิ้มให้บ้าง เหมือนกับที่ผมเคยจำรอยยิ้มครั้งนั้นได้ … แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงต้องทำเป็นรีบเดินผ่านเร็วๆ แบบไม่สนใจไยดีอะไรด้วย ทั้งที่อยากมอง แต่ทำไมผมกลับแค่เหล่มองด้วยหางตา ไม่หยุดมองเค้าเต็มๆ ตาด้วย …. ทุกอย่างที่ทำมันตรงข้ามกับใจเลยจริงๆ ให้ตายเถอะ

และนั่นเอง ทำให้แผลในใจของมีน ที่ผมเป็นคนกรีดไว้เอง มันยิ่งลึกขึ้น ร้าวขึ้น เพราะมันยิ่งตอกย้ำที่มีนรู้สึกว่าผมไม่ได้ชอบเค้าอีกต่อไปแล้ว ให้กลายเป็นความรู้สึกว่าผมคงจะเกลียดเค้ามาก ถึงขนาดเดินผ่านยังไม่มอง ไม่สนใจ และเหมือนจะรีบๆ เดินให้ผ่านไปให้เร็วที่สุด เท่านั้นไม่พอ ยังมองเค้าด้วยหางตา ด้วยสายตาเย็นชาที่สุดอีกต่างหาก ซึ่งเค้าเจ็บปวดและเสียใจมาตลอด

ในวันนั้น ความรู้สึกของเราทั้งสองคน ก็คงจะเหมือนกับเพลง “โลกทั้งใบให้นายคนเดียว” ทั้ง 2 เวอร์ชั่น ที่เริ่มต้นเหมือนกัน

ต่างคนเข้าใจ
ต่างก็เรียนรู้ทุกอย่าง ด้วยสองเรา
แค่มองสายตา ก็พอรู้ใจ มีเธอมีฉัน
ก่อเป็นความหมาย ให้ใจผูกพันธ์
ให้เรารักกัน ทุกทุกนาที

แต่ท่อนต่อมากลับแตกต่างกัน คงจะเหมือนกับความรู้สึกของผมและของมีน ที่คนหนึ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอจนไม่กล้าที่จะคุยด้วย ในขณะที่อีกคนก็รู้สึกไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้

สิ่งเดียวที่มี / แต่วันนี้เธอ
นั่นก็คือรักยิ่งใหญ่ ที่ให้เธอ / กลับไม่เป็นเหมือนคนเก่า ไม่เข้าใจ
แต่วันนี้เรา ไม่ควรพบกัน / ก็ความรักเรา ที่เคยมากมาย
เพราะฉันไม่ดี / น้อยลงไปทุกที
เหตุการณ์วันนั้น ต่างจากวันนี้ / บอกกันได้ไหม ที่ทำอย่างนี้
แหละเรารู้ดี ว่าต้องทำใจ / เหตุผลที่มี นั้นคืออะไร

ผมนึกขอบคุณมีนอยู่ลึกๆ ที่่เลือกจะเรียน ม.6 ไม่รีบร้อนเข้ามหาวิทยาลัยด้วยการสอบเทียบไปก่อน ทำให้ผมได้เห็นเธอนานขึ้นอีกหน่อย แต่แล้ววันเวลาก็ผ่านไปและผ่านไป ปีสุดท้ายของการจากลาจริงๆ ก็มาถึง เมื่อมีนอยู่ ม.6 และผมอยู่ ม.5 ซึ่งเป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่มีนอยู่ ม.3 และผมอยู่ ม.2 แต่ครั้งนี้ไม่มีระดับชั้นต่อไปในโรงเรียนให้ผมลุ้นอีกแล้ว มีแต่การจากลาเท่านั้นที่รอเราทั้งสองคนอยู่

ผมไม่รู้เลยว่ามีนตั้งใจจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยไหน อยากเรียนคณะอะไร ทั้งๆ ที่ผมอยากจะรู้มากๆ แต่ด้วยความกลัวทำให้ผมก็ไม่กล้าเข้าไปถาม แต่ผมก็ตั้งใจจะสอบเทียบเพื่อที่จะสอบ Entrance ให้ได้รุ่นเดียวกับมีน เหตุผลเล็กๆ น้อยๆ เรื่องหนึ่งก็คือ อย่างน้อยกำแพงบ้าๆ ในความรู้สึกของเธอที่ว่าผมเป็น “รุ่นน้อง” มันจะได้หมดลงไปเสียที

แต่ที่สำคัญกว่านั้น ผมนึกไม่ออกว่า เมื่อเหตุผลเดียวที่ผมเคยมีในการไปโรงเรียนมาตลอดนั้นหายไป ผมจะมีแรงมีใจจะไปที่นั่นได้อย่างไร ผมคงทำใจไม่ได้ กับการมองเห็นเงาของเค้าอยู่ในที่ๆ เค้าเคยนั่ง ตรงทางเดินระเบียง ตรงโต๊ะหินอ่อนริมสนามฟุตบอล ฯลฯ แต่วันหนึ่งผมจะมองไปแล้วไม่เห็นใครเลย

เนื่องจากผลการเรียนของผมมันคาบเส้นที่จะสอบทุนพอดี (สอบทุนต้องใช้ 3.5 ขึ้นไป และผมได้ 3.51 นะ ถ้าจำไม่ผิด) ทำให้ผมสมัครสอบทุน ก.พ. ด้วย ซึ่งผลออกมา ผมได้ทุนรัฐบาลไทยไปเรียนที่ประเทศญี่ปุ่น และยังสอบติดที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย….. ในขณะที่มีนสอบติดที่ ม.นเรศวร

ผมดีใจนะ แต่ก็ใจหายมากมายในเวลาเดียวกัน ตอนนั้นผมต้องเลือกระหว่างเรียนที่จุฬาฯ หรือไปญี่ปุ่น ใจหนึ่งน่ะมันอยากเรียนในเมืองไทย เผื่อจะได้ติดต่อมีนได้บ้าง แต่ก็มีความรู้สึกหนึ่งที่ว่า คนติดจุฬาฯ เยอะแยะมากมาย แต่น้อยคนนักจะได้ทุนไปเรียนตั้งแต่ปริญญาตรี ด้วยความคิดโง่ๆ ของผมในตอนนั้น คำว่า “นักเรียนนอก” มันคงจะทำให้ผมดีพอขึ้นได้บ้างกระมัง

ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง ที่ไม่ใช่แค่เรื่องมีน ในที่สุดผมก็ตัดสินใจที่จะไปเรียนที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 1998 โดยที่ผมไม่ได้บอกอะไรกับมีนเลยแม้แต่คำเดียว … และตลอดเวลาที่ผมเรียนภาษาก่อนที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้น ผมก็ไม่ได้ติดต่อเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียวเช่นกัน … ตอนนั้นผมไม่รู้ว่ามีนจะเป็นยังไง จะยังจำผมได้อยู่หรือเปล่า หรือจะลืมผมไปแล้ว

หลังจากที่ผมเข้ามหาวิทยาลัย Tsukuba ได้ในช่วงเดือนมีนาคม 1999 (หลังจากเรียนภาษาไปหนึ่งปี) และทุกอย่างเริ่มลงตัว มันก็คงจะถึงเวลาแล้ว ที่ผมรู้สึกว่าผมดีพอ และกล้าที่จะติดต่อมีนอีกครั้ง …… เดือนมิถุนายนปีนั้น ผมก็ยกหูโทรศัพท์ขึ้น และหมุนไปเบอร์ที่ผมคุ้นเคย เบอร์ที่จำขึ้นใจ แต่ไม่ได้โทรไปเลยมาเกือบ 4 ปี ..

ถึงตรงนี้ผมคงต้องบอกว่า ถ้าไม่มีมีน ผมคงไม่มีวันที่จะกลับมาบ้าเรียน ไม่มีวันที่จะได้ทุนรัฐบาลไปเรียนถึงประเทศญี่ปุ่น และคงไม่มีวันที่จะมีวันนี้ …… ผมคงไม่รู้จะเอาอะไรเป็นแรงบันดาลใจ ไม่มีอะไรเป็นตัวกระตุ้นเลย

คุณแม่ของมีนเป็นคนรับสาย ผมค่อนข้างจะเกร็งมาก แต่สุดท้ายผมก็ขอเบอร์โทรศัพท์หอมีนจนได้ และแล้ว หลังจากทำใจอยู่นาน และนอนคิดว่าจะพูดอะไรอยู่นาน จะทักทายว่าอะไรดี จะชวนคุยเรื่องอะไรดี จะ ฯลฯ อะไรดี คิดแล้วคิดอีก คิดจนไม่รู้จะเสียเวลาคิดไปทำไม … ผมก็รวบรวมความกล้า ทำสิ่งที่อยากจะทำมานานแล้ว ก็คือ … “หยิบโทรศัพท์ โทรหามีนเสียที” (แต่กว่าจะหมุนได้ ก็หมุนแล้ววาง หมุนแล้ววาง อยู่นั่นแหละ … เหมือนเดิม)

แต่ฟ้าที่กำลังจะเริ่มสดใสครั้งนี้ กลับมีเมฆดำตั้งเค้าอยู่ไกลๆ ที่ปลายฟ้า โดยที่ตอนนั้นไม่มีใครรู้เลย ….

(จบตอน)

คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายที่รอคอย #1: “The Butterfly Effect”

เรื่องเล่า ที่เรียบเรียงจากเรื่องจริงของผม และว่าที่เจ้าสาว คุณวัชรพรรณ โล่ห์ทองคำ ตอนที่ 1

อัพเดทล่าสุดเมื่อ 10 กันยายน 2555

1994-1996: เมื่อผีเสื้อกระพือปีก (The Butterfly Effect)

Does the flap of a butterfly’s wings in Brazil set off a tornado in Texas?
— Philip Merilees

การกระพือปีกของผีเสื้อน้อยๆ ตัวหนึ่ง สักที่หนึ่งในโลก จะทำให้เกิดพายุใหญ่ในอีกที่หนึ่งไหมนะ … ถ้าตามสามัญสำนึกพื้นฐานของเราแล้ว คงจะไม่เป็นแบบนั้น เพราะผีเสื้อนับล้านตัวก็กระพือปีกอยู่ทุกวี่วัน แต่ไม่ค่อยจะเห็นมีพายุใหญ่เกิดขึ้นเท่าไหร่เลย

แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่า โมเลกุลของอากาศรอบๆ ปีกผีเสื้อนั้น ได้รับผลกระทบจากการกระพือปีกนั้นๆ ไปแล้วอย่างเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ผลของมันจะส่งผลถึงอนาคตของสภาพอากาศตลอดกาล และหากเราไล่ย้อนรอยของเหตุการณ์ทางสภาพอากาศ กลับไปถึงต้นตอของการสั่นสะเทือนเล็กๆ ของโมเลกุลได้ … เราอาจจะเห็นว่าการกระพือปีกของผีเสื้อบางครั้ง ก็ส่งผลให้เกิดพายุใหญ่ หรือปัดเป่าให้เกิดฟ้าสวยใสหลังพายุใหญ่ได้จริงๆ

ผีเสื้อตัวหนึ่ง กระพือปีกเบาๆ เมื่อ 18 ปีก่อน …….. กับรอยยิ้มที่ผมไม่มีวันลืม


————————————————————————–

มิถุนายน 1994 ผมเข้าเรียนที่โรงเรียนสาธิตวิทยาลัยครูเทพสตรี (ขณะนั้น; ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี) จ.ลพบุรี หลังจากไปเรียนที่อเมริกาพักหนึ่ง ด้วยความที่ไม่ได้จบอะไรเป็นการเป็นงานจากโรงเรียนที่อเมริกา ก็เลยต้องมาเรียนซ้ำในระดับชั้นเดียวกับรุ่นน้อง ด้วยการเข้ามาเรียนระดับ ม.2 (ผมจบ ม.1 จากวชิราวุธวิทยาลัย ก่อนไปเรียนที่อเมริกา)

ด้วยอะไรหลายๆ อย่างที่ผ่านมาและผ่านไปในชีวิตผมช่วงประมาณ 2 ปีนั้น ทำให้ผมเบื่อการเรียน เบื่อสังคม เบื่อคน เบื่อทุกอย่างที่ผมต้องเจอ ผมไม่มีความสุขกับชีวิตที่ผมจำเป็นต้องอยู่เอาเสียเลย และจะมีความสุขในโลกของคอมพิวเตอร์เกมเท่านั้นแหละ ผมจำได้ลางๆ ว่าเวลาผมอยู่ที่โรงเรียนทีไร ผมจะชอบนั่งเหม่อมองอะไรแบบไร้จุดหมายอยู่เสมอ ในห้องเรียนก็ชอบมองไปนอกหน้าต่าง เวลาว่างๆ ก็ชอบนั่งเหม่อลอยอยู่ตามม้านั่งหรือทางเดิน และด้วยความที่ด้วยนิสัยตามธรรมชาติแล้วผมเป็นคนขี้อายและไม่มีความมั่นใจตัวเองเท่าไหร่นักเป็นทุนเดิม ก็เลยไม่ค่อยจะทักทายหรือทำความรู้จักกับใครด้วย เข้ากับใครก็ลำบาก ก็เลยยิ่งกลายเป็นคนที่อยู่คนเดียวมากขึ้นๆ ทุกวัน

จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังนั่งใจลอยอยู่ตรงทางเดินบนตึกเรียน เหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตผมไปอย่างไม่มีวันกลับก็เกิดขึ้น:

เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง .. เดินผ่านทางเดินนั้น แล้วก็ยิ้มให้ผม พร้อมกับแววตาที่สดใสแต่สะท้อนถึงความเขินอายในใจ

นี่คือภาพฝังใจที่ผมไม่มีวันลืม

ผมรู้จากเพื่อนคนหนึ่ง ว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นชื่อ “มีน” และเรียนอยู่ชั้น ม.3 ซึ่งทำให้เป็นรุ่นพี่ในโรงเรียน (แต่จริงๆ แล้วเป็นรุ่นเดียวกัน เพราะผมซ้ำชั้นไปอย่างที่บอกไปแล้ว และถ้านับอายุกันแล้ว ผมก็อายุมากกว่าด้วยซ้ำไป) แต่ด้วยความที่ผมเป็นคนขี้อายและไม่มั่นใจตัวเองของผม ก็ทำให้ใช้เวลาอีกระยะหนึ่งเหมือนกัน กว่าที่เราจะได้รู้จักกัน

ไม่รู้เป็นอะไรนะ ทั้งๆ ที่ปกติแล้วผมไม่ค่อยทักทายหรือทำความรู้จักกับใคร ชอบทำตัวเงียบๆ ดูเหมือนหยิ่ง หรือดูเหมือนเก๊กไปวันๆ แต่สุดท้ายเราก็รู้จักกันจนได้ ด้วยวันหนึ่ง ผมก็กล้าพอที่จะยิ้มให้และทักทายเด็กผู้หญิงคนนั้น คนที่ผมแอบมองหรือชะเง้อมองหามาตลอดทุกวันตั้งแต่เห็นรอยยิ้มครั้งนั้น

ตั้งแต่นั้น…. มีนกลายมาเป็นความสุขเดียวในการไปโรงเรียนของผม ให้ผมมีความสุขในการคิดถึงวันต่อไป และกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของความคิด ความรู้สึก ตลอดเวลาของผม

วันแรกที่ได้เบอร์โทรศัพท์บ้านมีน ซึ่งผมยังจำเบอร์นั้นได้ขึ้นใจจนถึงวันนี้ แม้ว่าทุกวันนี้เบอร์นี้จะไม่ได้ใช้แล้ว ผมดีใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ไม่ใช่จะกล้าโทรไปหรอกนะ การจะทำใจให้กล้าโทรไปได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยสักนิด ผมยังจำได้ว่าตอนที่โทรไปครั้งแรกน่ะ มือสั่น ปากสั่นพูดไม่ออก เป็นเบอร์ที่ใจเต้นแปลกๆ ทุกครั้งที่ทำใจหมุนโทรศัพท์ไป บางครั้งก็หมุนได้ครึ่งทาง แล้ววาง หมุนแล้ววาง อยู่ 3-4 รอบ กว่าจะหมุนได้ …

มีนเป็นคนแรกในชีวิต ที่ผมขอเบอร์โทรศัพท์ และเป็นคนแรกในชีวิต ที่ผมโทรศัพท์คุยด้วยแบบนั้น

ตอนนั้น การโทรศัพท์เป็นทางเดียวที่เราสองคนจะได้คุยกันนานๆ หน่อย เพราะตอนอยู่ที่โรงเรียนก็ไม่ได้มีโอกาสคุยกันมากนัก ด้วยเหตุผลอะไรหลายๆ อย่าง อาจจะเป็นเพราะว่าเรียนอยู่คนละชั้นกันด้วย และอาจจะเป็นเพราะว่าไม่ใช่แค่ผม ที่เป็นคนขี้อายและไม่มั่นใจตัวเอง แต่มีนเองก็เป็นคนขี้อายและไม่มั่นใจตัวเองเช่นเดียวกัน ดังนั้นการที่ผมเป็นรุ่นน้องในโรงเรียน ทำให้มีนรู้สึกอายว่าเพื่อนฝูงจะมองหรือคิดอย่างไร ที่เค้าไปนั่งคุยหรือเดินกับรุ่นน้อง มากกว่าจะเป็นรุ่นพี่หรือรุ่นเพื่อน ทำให้สุดท้ายแล้ว ส่วนมากเราก็ได้แต่แอบมองกัน หรือเดินสวนกันไปสวนกันมา แล้วก็ยิ้มให้กันอย่างเขินๆ ในโรงเรียน

หลังจากรู้จักกันได้ระยะหนึ่ง ผมก็กล้าที่จะขอไปส่งมีนขึ้นรถไฟเพื่อเดินทางกลับบ้านหลังเลิกเรียน ซึ่งเป็นความสุขมากมาย ผมยังคงจำความรู้สึกได้ว่า ผมรอเวลาเลิกเรียนมาถึงมากขนาดไหน แม้การไปส่งขึ้นรถไฟที่สถานี จะกินเวลาสั้นๆ แต่ก็มีความสุขมากที่ได้อยู่ใกล้ๆ และไม่เป็นเป้าสายตามากนัก จะมีก็แต่เพื่อนๆ มีนที่ขึ้นรถไฟกลับด้วยกันเท่านั้น ทำให้เราสองคนคุยกันแบบปกติได้หน่อยนึง …. มานึกย้อนไปแล้วก็ยังขำอยู่เลย ว่าลึกๆ แล้วผมจะแอบภาวนาให้รถไฟมาถึงช้าๆ หน่อยตลอดแหละ (และต้องขอขอบคุณการรถไฟแห่งประเทศไทยนะ ที่ทำให้คำภาวนาของผมเป็นจริงเกือบทุกวัน)

ต่อมาไม่นาน โรงเรียนก็มีนโยบายจะทดลองตั้งชมรมคอมพิวเตอร์ (แต่ไม่มีคอมพิวเตอร์สักเครื่อง –“) ด้วยความที่ผู้อำนวยการโรงเรียนพอจะรู้ว่าผมเป็นพวกเด็กบ้าคอม ก็เลยอยากให้ผมช่วยสอนเพื่อนๆ ….. มีนก็ยังอุตส่าห์มาเข้าชมรมด้วยตั้งครั้งนึงแน่ะ ทั้งๆ ที่มีนไม่มีความสนใจอะไรกับเรื่องคอมพิวเตอร์เลยแม้แต่น้อย แล้วก็ทนนั่งฟังที่ผมพูดเรื่องคอมๆ กับกระดานดำ ถึงมันจะเป็นเรื่องที่คงไม่มีคนรู้เรื่องก็เถอะ (สอนคำสั่งโน่นนี่ของคอมกับกระดานดำ ไม่มีเครื่องให้ลอง ใครจะไปรู้เรื่อง) ….. จะว่าไป นั่นน่ะ เป็นการสอน “ครั้งแรก” ในชีวิตผมเลยนะ

ผมเป็นคนแต่งกลอนเก่งมาตั้งแต่สมัยเรียนที่วชิราวุธ .. แต่เชื่อไหมว่าผมเคยแต่แต่งกลอนเพื่อประกวด ไม่เคยแต่งกลอนด้วยความสุข ด้วยความอยากแต่งอะไรเลย แต่มาวันหนึ่ง ผมได้ยินเพลง I’ll Have to Say I Love You in a Song ที่มีเนื้อความทำนองว่า “ทุกครั้งที่อยากจะบอก คำพูดมันออกมาผิดทุกที เลยต้องบอกรักในเพลง” ทำให้ผมอยากจะแต่งกลอนบอกมีนบ้าง ว่าผมรู้สึกยังไงกับเค้า ซึ่งจริงๆ ก็แต่งไว้หลายบทนะ แต่ด้วยความที่ผมเป็นคนขี้อาย ก็ได้ให้เจ้าตัวไปไม่กี่บทหรอก นอกนั้นเหรอ ก็เก็บไว้ในสมุดตัวเองน่ะแหละ ไม่ก็เก็บไว้ในความทรงจำ …. และอันนี้เป็นอันหนึ่งที่จำได้ อาจจะดูเว่อๆ น้ำเน่าๆ หน่อย ตามประสากลอนพาไป

อยากจะบอกออกไปใจจะขาด
อยากจะบอกแต่ขยาดกลัวพลาดหวัง
อยากจะบอกตะโกนเสียงดังดัง
อยากจะบอกให้เธอฟังแค่บางคำ
ก็แค่คำที่ไม่มากด้วยความหมาย
ก็แค่คำที่ไม่คลายหากใจมั่น
ก็แค่คำที่จะอยู่ตราบนิรันดร์
ก็แค่คำคำนั้น ฉัน….เธอ

(ดูนะ อุตส่าแต่งเป็นกลอน จะได้เบาลงหน่อย ไม่น่าเกลียดเท่าไหร่ ยังอายใส่ ….. ลงไปซะอีก)

หลายเดือนที่ชีวิตผมและมีนวนเวียนอยู่ในวัฏจักรแค่นี้ จนถึงวันหนึ่งที่ผมก็รวบรวมความกล้าพอ ที่จะนัด “เดท” กับมีน

จริงๆ แล้วมันก็ไม่ใช่เดทอะไรหรอก ก็แค่มีอยู่วันหนึ่งที่มีนจะต้องมาทำงานกลุ่มกับเพื่อนที่โรงเรียนในวันหยุด ผมก็เลยมาเจอกับมีน แล้วก็พอหาเวลานั่งคุยกันตามโต๊ะหินอ่อนที่โรงเรียนได้บ้างน่ะแหละ … แต่วันนั้น มีอะไรพิเศษกว่าวันอื่นนิดหน่อย เพราะผมไม่ลืมที่จะเอากล้องถ่ายรูปไปด้วย

การเจอกันวันนั้น แม้จะกินเวลาสั้นๆ ไม่นานมากเท่าไหร่นัก และอยู่ในสายตาของครูฝึกสอนคนหนึ่งตลอดเวลา แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่มีแต่รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความสุข … และผมต้องขอบคุณครูฝึกสอนท่านนั้นมาก ที่กรุณาช่วยถ่ายรูปคู่รูปนี้ให้



คงหายากมั้ง ที่จะมีคู่ไหน ที่จะมีรูปคู่ที่เก่ากว่าที่ผมมี .. 18 ปีแล้วนะ

สมัยนั้นกล้องยังเป็นกล้องฟิล์ม .. ผมยังคงจำได้ดีกับการกดชัตเตอร์รูปที่เหลือแบบทิ้งๆ ขว้างๆ ถ่ายนี่นั่นโน่นเล่น เจอเพื่อนไม่สนิทเท่าไหร่ก็ถ่ายรูปไว้ ฟิล์มจะได้หมดม้วนเร็วๆ และยังคงจำได้ดีกับความรู้สึกตอนที่ส่งฟิล์มม้วนนั้นไปล้าง ว่าเป็นยังไง .. วันที่ได้รูปกลับมาจากการส่งไปล้างฟิล์ม เป็นวันที่ผมดีใจมาก มากยิ่งกว่าได้ของขวัญหรือรางวัลใดๆ ทั้งหมด …

รูปนี้และอีก 4 รูปที่ถูกถ่ายในวันนั้น คือสมบัติมีค่าของชีวิตผม และเป็นรูปที่ผมจะต้องมีติดตัวอยู่เสมอตลอด 18 ปีที่ผ่านมา โดยจะในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง อาจจะอยู่บนโต๊ะทำงาน หัวนอน กระเป๋าสตางค์ หรือแปลงเป็นรูปแบบดิจิทัลลงอุปกรณ์พกพาแบบต่างๆ ที่ผมพกได้ (ทุกวันนี้ก็เก็บไว้ใน iPhone)

วันหนึ่ง มีนบอกว่าคุณพ่อคุณแม่จะพาไปรับน้องชายซึ่งเรียนอยู่ที่วชิราวุธ และวันนั้นเป็นวันที่มีการแข่งรักบี้ด้วย ผมก็อยากจะไปสิ ด้วยข้ออ้างว่าจะไปเยี่ยมโรงเรียนเก่า ทั้งที่ผมไม่เคยเดินทางเข้ากรุงเทพคนเดียวมาก่อนเลย แต่ก็ยังหาทางไปจนได้ เมื่อไปถึง แทนที่จะทักทายเพื่อนฝูงตามประสาคนเคยเรียนด้วยกัน ก็เปล่าเลย ผมเดินมองหามีนตลอดเวลา และในที่สุดก็เจอมีนและครอบครัวนั่งดูรักบี้อยู่ที่สนามหลังโรงเรียน ซึ่งผมไม่กล้าจะเดินเข้าไปทักทายหรอก ผมกลัวแล้วก็อายด้วย ก็เลยได้แต่เดินผ่าน สะกิดไหล่มีนครั้งนึง ยิ้มให้ แล้วก็เดินไปไหนก็ไม่รู้ .. แต่เชื่อไหม ว่าเจอแค่วินาทีนั้นแหละ ผมก็มีความสุขไม่รู้จะมีความสุขยังไงแล้ว

เรากลับมาเจอกันที่โรงเรียน แล้วก็ทักทายกันปกติ ยิ้มให้กันปกติ ชีวิตเป็นแบบนั้นไปอีกพักหนึ่ง และนับวันผมยิ่งรู้สึกดีกับมีนมากขึ้นเรื่อยๆ … ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะดีใช่มั้ยล่ะ …….. แต่ ………………..

ด้วยความที่มีนเองก็แคร์ความคิดของเพื่อนรอบๆ ตัว ว่าจะคิดอย่างไรกับการที่เหมือนจะมีแฟนเป็นรุ่นน้อง การที่มีนเป็นเด็กเรียบร้อยและค่อนข้างขี้อาย ทำให้มีนไม่ค่อยกล้าที่จะคุยกับผมมากนัก บางครั้งเวลาที่ผมจะเข้าไปทักไปคุยด้วยในโรงเรียน ก็ได้รับการบ่ายเบี่ยงที่จะคุยด้วย

นั่นเอง เป็นจุดที่ทำให้ผมกับมีนเริ่มห่างกันไป ผมเริ่มไม่คุยกับมีนเวลาไปโรงเรียน ไม่ได้โทรศัพท์ไปหาแทบทุกวันเหมือนที่เคย และด้วยความที่รู้สึกว่ามีนแคร์มากเรื่องรุ่นพี่รุ่นน้อง บางครั้งผมก็ประชดแรงมากๆ ด้วยการคุยกับเด็กผู้หญิงรุ่นพี่คนอื่นในโรงเรียนให้มีนเห็น ด้วยความที่อยากให้มีนเห็นว่าคนอื่นเขาก็ไม่แคร์สิ่งเหล่านี้กัน ซึ่งจริงๆ มันก็คงไม่ใช่วิธีที่ดีสักเท่าไหร่นักหรอก

และอย่างที่บอกว่าโดยพื้นเพแล้ว ผมเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเองอย่างรุนแรง และค่อนข้างจะมีปมที่ทำให้มีความรู้สึกว่าคนนั้นคนนี้ดีกว่าตัวเอง เห็นตัวเองด้อยกว่าคนอื่น รู้สึกตัวเองสู้ใครไม่ได้ ชอบคิดอะไรที่ทำร้ายความรู้สึกตัวเอง และชอบทำอะไรที่เป็นการประชดชีวิตตัวเองแรงๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว … นับวันผมจึงยิ่งมีความรู้สึกว่า ผมไม่เหมาะไม่คู่ไม่ควรอะไรกับเค้าเลย เพราะมีนเองก็มีคนชอบ คนสนใจเยอะ ทั้งรุ่นเพื่อนๆ มีนเอง และรุ่นพี่ มีนเป็นคนสวย เก่ง เด่น และอื่นๆ มากมาย เค้าคงเหมาะกับใครก็ได้ … “ที่ไม่ใช่ผม” เพราะผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไม่มีอะไรดีสักอย่าง

อีกเรื่องหนึ่งก็คือ ด้วยความที่มีนอยู่ ม.3 แล้ว เดี๋ยวก็ต้องขึ้น ม.ปลาย ก็อาจจะต้องย้ายโรงเรียนไปเรียนที่อื่น แค่คิดผมก็ใจเสียและเสียใจแล้ว ผมคงทำใจไม่ได้ หากการจากลา ….. มันมาในนาทีสุดท้าย …. แค่นึกถึงภาพที่มีนพูดกับผมว่า “เราจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วนะ” แค่นี้ผมก็ใจหายมากมาย แต่แทนที่ผมจะใช้เวลาที่เหลือให้คุ้มค่าที่สุด ผมกลับเลือกที่จะทำลายมันทิ้งซะตรงนั้น … ทั้งๆ ที่ความรู้สึกที่เรียกว่า “รัก” มันยังไม่เคยหายไปไหน (ถึงจะเป็นรักแบบเด็กๆ ก็เถอะนะ)

ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้ มันได้สร้างแผลในใจเอาไว้ให้กับมีน และได้สร้างแผลในความรู้สึกให้กับตัวผมเอง เพราะโดยพื้นเพแล้วเราเป็นคนที่ไม่ต่างกันเลย ปากแข็ง ปากไม่ตรงกับใจ ไม่มั่นใจตัวเอง แต่แสดงออกตรงข้ามไปงั้นทั้งหมด แคร์นะ แต่ปากบอกว่าไม่เป็นไร อยากเจอนะ แต่ทำเมินเฉย อยากคุยด้วยนะ แต่ทีท่าปฏิเสธ …. ดังนั้น การที่ผมห่างจากเค้าไปตอนนั้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม ทำให้มีนรู้สึกว่า ผมคงไม่ชอบเค้าอีกต่อไปแล้วใช่มั้ย เพราะเค้าไม่ดีพอหรือเปล่า เช่นเดียวกัน

และชีวิตของเราสองคนก็เริ่มเปลี่ยนไป ….. ตอนนั้นใครมองก็คงคิดว่าเป็นธรรมชาติของเด็กมัธยม ที่ชอบใครเป็นความรู้สึกแบบ Puppy Love ชอบใครประเดี๋ยวประด๋าว ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน

แต่เชื่อไหมล่ะ ว่าผมก็ยังแอบมองเค้าอยู่เสมอๆ ในโรงเรียน โดยที่ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าผมจะแอบมองเค้าอยู่ทำไม ผมลุ้นมากมาย ให้เค้าเรียน ม.ปลาย ต่อที่โรงเรียนเดิม และผมก็รู้สึกขอบคุณสวรรค์ ที่เค้ายังคงเรียนต่อ ม.ปลาย ที่เดิมจริงๆ

เมื่อผมขึ้น ม.4 ผมก็ยังคงแอบมองมีนเหมือนที่เคยเป็นมาตลอด แม้ว่าจะมีใครเข้ามาคุยกับผม กับเค้า หรือยังไงก็ตาม ลึกๆ แล้วผมคงยังไม่ลืมความรู้สึกที่เคยมีเมื่อก่อนหน้านั้น แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอที่จะคุยกับเค้าอยู่ดีน่ะแหละ แต่ด้วยความรู้สึกที่ว่า แล้วจะทนอยู่แบบนี้น่ะเหรอ ไม่ทำอะไรสักอย่างเหรอ มันก็จะไปยากอะไร “แค่ทำตัวเองให้ดีพอก็หมดเรื่อง ใช่มั้ย” มันเริ่มมีมากขึ้นๆ เรื่อยๆ

จนกระทั่งวันหนึ่งผมก็ตัดสินใจพูดกับรูปถ่ายมีน ที่ผมเก็บไว้ว่า

“มีนครับ วันหนึ่ง ผมจะดีพอ และเมื่อผมดีพอ ผมจะกลับมาจีบคุณใหม่ .. อีกครั้ง”

และนั่นเอง เป็นจุดเริ่มของการบ้าเรียนอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ในช่วง ม.ปลายของผม

ชีวิตผมไม่มีทางมีวันนี้ …. หากไม่มีผู้หญิงคนนี้

(จบตอน)