TeX

ช่วงนี้ต้องนั่งเขียนรายงานโครงการวิจัยส่งไปยังผู้ให้ทุนวิจัยรายหนึ่ง (ขอสงวนชื่อ) ซึ่งทางเค้าบอกมาเองว่าไม่ต้องเน้น format มาก อยากจะได้ content มากกว่า เราก็เลยได้โอกาสเขียนมันด้วย TeX อีกที ซึ่ง Mac ก็มี MacTeX ให้ใช้นะ ติดตั้งง่ายไม่ยุ่งยาก ถึงจะสมบูรณ์เกินไปหน่อยก็เถอะ (คือมี package มากไป ขนาดเลยเวอร์ไปหน่อย)

ส่วนเรื่องภาษาไทย ก็มีคนเขียนเรื่องนี้ไว้ค่อนข้างละเอียดแล้ว ภาษาไทยสำหรับ LaTeX บน Mac OS X ที่ Thai Mac Dev ก็ละเอียดดี ทำตามได้เลยไม่มีอะไรผิดพลาด

ก็เลยมาถึงเรื่องที่อยากจะเขียนมานานแล้ว แต่ว่าไม่ได้เขียนซะที

  • ทำงานกับ TeX แล้วมีความสุขแฮะ ไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่อง Formatting ยิบย่อยว่ามันจะไม่เหมือนกัน มันแยก Content ออกจาก View ขาดเลย
  • ทุกอย่างที่เราทำ จะมี semantic ตลอด เช่นบอกว่าตรงนี้เป็น subsection หรือว่า subsubsection นะ แล้วถ้าตั้ง label แบบฉลาดๆ หน่อยนี่ เขียน shell script ง่ายๆ หาทุกอย่างในหนังสือทั้งเล่ม เพื่อทำ cross-reference นี่ง่ายสุดๆ
  • ไม่ต้องกังวลเรื่องความถูกต้องของหน้าในสารบัญอะไรทั้งสิ้น (สารบัญ สารบัญภาพ ฯลฯ)
  • ไม่ต้องกังวลเรื่องรายละเอียดความถูกต้องของการอ้างอิงเอกสาร ขอให้อ้างอิงเถอะ ที่เหลือมันจัดการให้
  • ถ้าอยากจะได้ style อื่น ก็เปลี่ยน style ของเอกสารได้ไม่ยาก แถมเปลียนมาแล้ว รายละเอียดปลีกย่อยมันจัดการให้เองหมด ไม่ต้องยุ่งยากกับการปรับโน่นปรับนี่เล็กๆ น้อยๆ เท่าไหร่
  • ผมชอบตรงที่มัน generate อะไรก็ตามที่มันควรจะถูก generate เช่น การอ้างอิงโดย label แล้ว TeX จะดึงเอาตัวเลขของภาพ/ตาราง/บท/ส่วน ที่ชื่อตาม label นั้นๆ มาใส่ให้โดยอัตโนมัติ ไม่ว่าเนื้อหาส่วนนั้นมันจะถูกย้ายไปไหนก็ตาม
  • การจัดเอกสาร ที่รับรองว่า สวย และ consistent กันทั้งเล่ม แน่นอน

แต่ว่ามันก็คงจะมีข้อเสียบ้างละน่า ข้อเสียที่สุดน่าจะเป็น

  • แน่นอน มันไม่ใช่ MS-Word ดังนั้นจึงมีข้อเสียตามมาอีกสองข้อคือ
  • แน่นอน มันไม่สร้าง .doc ให้เราแน่
  • แน่นอน Format มันอาจไม่ตรงกับเอกสารที่ Word สร้างแบบเปี๊ยบๆ ดังนั้นพวกบ้า Format มากกว่า Content (ว่าต้องตรงกับ “Word Template ของฉันเท่านั้น” แบบที่ถึงขนาดเอาไม้บรรทัดนั่งวัดกันจะเป็นจะตาย) คงไม่ชอบ
  • มันไม่ WYSIWGY ดังนั้นหลายคนไม่คุ้นเคยแน่ (แต่คนเคยเขียน HTML มาก่อนไม่น่ามีปัญหา

สรุปว่า Happy TeXing ;-)

ฝัน

แต่ละคนก็ล้วนมีความฝัน
แตกต่างกันฝันไปได้ทุกอย่าง
แต่ละคนฝันหาอะไรบ้าง
ก็อยากสร้างฝันนั้นให้มันจริง
ทุกทุกคนฝันหาทุกทุกอย่าง
ไม่มีทางจะเป็นจริงไปทุกสิ่ง
ฝันจะมีดาวเป็นร้อยคอยแอบอิง
ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ไม่มีทาง
ฝันหารักหาคนมาเข้าใจ
ยิ่งฝันไปในใจยิ่งอ้างว้าง
ฝันนิมิตเป็นลิขิตบอกโชคลาง
จะดีบ้างเลวบ้างคละกันไป
ใครจะฝันหาอะไรช่างใครเขา
แต่ตัวเราฝันหาเธอยามหลับไหล
ทุกคืนวันฝันหาเธอเสมอไป
เธอ… ประชาธิปไตย .. ที่ไกลจริง

กลอนบทนี้แต่งมานานมากแล้ว ตั้งแต่เรียนมัธยมปลาย แต่ว่าไม่ได้เอาไปลงไว้ที่ไหนซักที เพิ่งนึกขึ้นมาได้ เลยเอาลงไว้ที่นี่ก็แล้วกัน

แข่ง POV-Ray code สั้น #5

ผมเป็นแฟนของ POV-Ray Short Code Contest (SCC) ซึ่งเป้นการแข่งขันเขียน POV-Ray code ให้มีขนาดเล็ก (โดยมากจะจำกัดอยู่ในไม่กี่ร้อยไบท์) ให้เป็นงานสร้างสรรค์ทางกราฟฟิกส์ มานานตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาล่ะครับ ทุกทีที่เข้าไปดูและติดตามผลการแข่งขัน และดูผลงานของผู้เข้ารอบแต่ละคน ก็ทำให้ต้องอ้าปากค้างกันไปทุกที

เมื่อกี้เพิ่งเห็นจาก ว่า Paul Bourke เพิ่งประกาศ ผลการแข่งขันของ SCC ปีนี้ (SCC Round #5) ซึ่งไม่ใช่แค่ภาพนิ่ง แต่ว่าเป็น animation! (ครับ ไม่ได้อ่านผิดครับ เป็น animation จริงๆ) โดยให้มี code อยู่ในขนาด 512 ตัวอักษรเท่านั้น!

ดูแล้วอ้างปากค้าง ต้องลองเข้าไปดูเอง

ส่วนนี่เป็น link ของปีก่อนๆ ครับ:

ซึ่งทั้งสองอันเป็นภาพนิ่งครับ และ code ต้องไม่เกิน 256 ตัวอักษร ดูแล้วอึ้งครับ… ภาพตัวอย่าง ชื่อภาพ Dawn over the mountains จาก SCC#4 (ขนาด code 253 bytes)

(click เพื่อดูภาพเต็มที่ http://local.wasp.uwa.edu.au/~pbourke/exhibition/scc4/final/pdotou.html)

เรื่องจริงกับเรื่องที่คนคิด

ว่าจะเขียนเรื่องทำนองนี้มานานแล้ว … เรื่องจริงกับเรื่องที่คนเห็น เรื่องที่คนตีความ หรือว่าที่รู้จักกันว่า Fact กับ Truth เนี่ยแหละ

จริงๆ แล้วพูดยากนะ เพราะว่าคนที่รู้เรื่องจริง ก็คงมีแต่คนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นๆ หรือว่าคนที่ทำให้มันเกิดมาก็เท่านั้น แต่ว่านอกจากนั้นก็คงเห็นได้แค่ผลที่มันเกิดขึ้น ซึ่งมักจะเกิดจากการตีความไปเอง หรือว่าคิดกันไปเอง จากความอคติของคนหรือกลุ่มบุคคลนั้นเอง

ออกตัวไว้ก่อน ในฐานะคนธรรมดาคนหนึ่ง ผมเองก็ไม่ได้ปราศจากอคติ และไม่คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองคิดมันเป็นเรื่องจริง เพียงแต่มันก็เป็นการตีความของเราเอง

เคยเจอเรื่องแบบนี้มาบ่อยครั้ง สิ่งที่เราทำ กับสิ่งที่คนคิดว่าเราทำ มันเป็นคนละเรื่องกัน

พูดไปก็เหมือนๆ กับเกมต่อจุด ที่ไม่มีรูปแน่นอนให้ต่อน่ะแหละ อยากเห็นภาพก็ลองนึกถึง “กลุ่มดาว” บนฟ้าละกัน ดาวมันก็อยู่อย่างนั้น แล้วใครไปต่อเชื่อมกันให้เป็นกลุ่มดาวโน้นนี้ล่ะ? ฝรั่งกับไทยก็ต่อไม่เหมือนกัน แล้วใครถูกใครผิด? ถ้ามีพระเจ้าจริง และพระเจ้าสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาให้มีความหมายจริง ท่านอาจไม่ได้หมายความแบบที่เราต่อกันก็ได้

ว่างั้นเถอะ

เคยเจอเหตุการณ์ประเภทนี้มาแล้ว บางครั้งฟังก็อึ้งไปเหมือนกัน ว่า เออ คนมันก็ตีความกันไปได้แฮะ แต่คงไม่เขียนเล่าให้ฟังแถวนี้ แต่บางเรื่องได้ยินก็ขำเหมือนกัน ขำคนที่คิดและตีความ มากกว่าจะขำคำพูดที่ออกมา (เพราะมักจะขำไม่ออกกับมัน)

ยกตัวอย่างง่ายๆ เยอะแยะไป (เรื่องจริงทั้งหมด เก็บๆ มาจากตัวเอง และบรรดาคนใกล้ตัว แต่ขอสงวนไว้ว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องของใครก็แล้วกัน)

  • บางคนเดินกับพี่น้อง ที่หน้าตาไม่เหมือนกับตัวเอง จะมีคนคิดว่าเดินไปกับแฟนมั้ย?
  • บางคนไปส่งคนรู้จักเป็นบางครั้ง เพราะว่าเป็นห่วง (เพราะพื้นที่แถวนั้นมันเคยเกิดเรื่อง และอีกอย่างเป็นทางผ่านกลับบ้านอยู่แล้ว ไม่ได้ลำบากอะไร) จะถูกตีความไปอย่างอื่นมั้ย? (เช่น พากลับไปนอนด้วย หรือว่าอื่นๆ แล้วแต่อคติส่วนตัว)
  • ถูกชวนไปงานเลี้ยง แต่ว่าก่อนหน้านั้นเพิ่งจะไปซื้อหนังสือมาหลายเล่ม และเอากลับไปเก็บก่อนไม่ได้ (อยู่คนละเมือง) ก็เลยต้องหอบไปด้วย จะถูกมองว่า สร้างภาพ ทำตัวเป็นผู้คงแก่เรียน มั้ย?
  • บังเอิญเจอกับคนรู้จักที่กำลังขนของไปให้น้องคนหนึ่งที่เพิ่งจะมาอยู่ใหม่ เลยเข้าไปช่วย จะถูกมองกลับกันมั้ย ว่ากระเหี้ยนกระหืออยากจะไปเจอน้องคนนั้น เพื่อประโยชน์ในการทำอะไรมิชอบต่อไป มั้ย?
  • ตัดผมเพราะรำคาญ จะมีคนคิดว่าเพราะอกหักมั้ย?
  • ไม่พูดเพราะขี้เกียจพูด เพราะพูดไปเยอะแล้ว (บางทีก็เบา บางทีก็แรง) แต่ไม่เคยได้ประโยชน์ ไม่เคยได้ผล บางเรื่องพูดไปยังไง ก็เงียบกัน ไม่เคยได้ข้อสรุป ถึงจะมีก็ถูกตีความไปอีกแบบ เหนี่อย แต่คนที่ไม่เคยเข้ามาฟังในวันที่พูด จะคิดว่าไม่พูดเพราะอะไร กลัว? มีความลับ? หรือว่าอะไรก็ไม่รู้
  • เลิกกับแฟนเพราะทนความงี่เง่า เจ้าระแวงไม่เป็นเรื่อง ทะเลาะกันไม่เว้นแต่ละวัน ไม่ไหว จะถูกคิดว่าเพราะว่าไปมีคนอื่นมั้ย?

ทุกเรื่องในนี้ คำตอบคือ “ใช่” มันเคยถูกตีความผิดไปแบบนั้นจริงๆ แต่ว่าเรื่องจริงมันคนละเรื่องกัน

เรื่องเศร้ากว่านั้น เรื่องจริงเร็วๆ นี้ ตอนที่คุณแม่มีอาการโรคหัวใจกำเริบ คุณพ่อไปนั่งรอที่หน้าห้องฉุกเฉิน บอกผมว่า “พ่อรออยู่เนี่ยแหละ เดี๋ยวแม่เห็นแล้วจะเครียดเอา คิดว่าตอนนี้แม่คงไม่อยากเจอพ่อเท่าไหร่” (ก่อนหน้านั้นเพิ่งจะทะเลาะกัน) แต่ว่าพอเข้าไปหาแม่ แม่กลับให้ไปตามพ่อ บอกว่า “ถึงพ่อไม่ชอบหน้าแม่เท่าไหร่ ก็อยากให้เข้ามา เพราะว่าคนเค้ามองมาจะคิดยังไง” ….. สรุปว่า เรื่องจริงของทั้งคู่ กับเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างคิดกับอีกคน ไม่ตรงกัน

ภาพหนึ่งภาพดีกว่าคำพันคำ หลักฐานทางประวัติศาสตร์บางอย่างมีค่ามากกว่าบันทึกทั้งเล่ม ….​แต่ว่ามันก็เป็นเพียงแค่ “จุด” หนึ่งจุดเท่านั้น จุดเหล่านั้นจะเชื่อมโยงกันยังไง ก็แล้วแต่คนที่เห็น คนที่คิดเอาไปตีความน่ะแหละ บางอย่าง ปักใจเชื่อไปแล้วว่าต้องเป็นแบบนั้น เปลี่ยนยาก ก็เหมือนกับประวัติศาสตร์กระแสหลักน่ะแหละ ที่เปลี่ยนยาก

ลองไปดูหนังเรื่อง Timeline ดูครับ เล่นเรื่อง Fact กับ Truth ของประวัติศาสตร์ไว้บ้าง สนุกดี และคิดว่าคงได้ข้อคิดกับเรื่องนี้พอสมควร (ถึงหนังจะได้ rating จาก IMDB ไม่ดีเท่าไหร่ก็เถอะ)

ถ้าภาพหนึ่งภาพดีกว่าคำพันคำ … สิ่งที่แย่กว่านั้นคือภาพหนึ่งภาพบวกกับคำไม่กี่คนนี่แหละ เพราะว่ามันจะเป็นคำไม่กี่คำ ที่ถูกตีความอะไรไปยังไงก็ไม่รู้ ภาพที่เห็น กับคำบรรยายใต้ภาพ ไม่จำเป็นต้องตรงกันนี่ (เห็นตัวอย่างได้ในหนังสือทั่วไป…)

แต่คนที่ไม่รู้อะไร …. มักจะเชื่อและคล้อยตามคำบรรยายใต้ภาพนั้นแฮะ

อ่ะ …. สุดท้ายนะ ตัวอย่างภาพและข้อความใต้ภาพ….​ อันนี้ขอแค่สนุกๆ นะ จริงๆ แล้วเรื่องจริงมันไม่ใช่แบบคำบรรยาย (น้องเค้าเป็นคนดี)

pet2.jpg

วันนั้นมีน้องสองคนเข้ามาให้น้องคนที่ชูสองนิ้วสอนการบ้าน พอเห็นผมจะถ่ายรูป ก็เลยชูสองนิ้วสู้ตาย อันนี้เป็นตัวอย่างห่วยๆ นะ ถ้าอยากเห็นตัวอย่างที่ดีกว่านี้ แบบว่า เดินด้วยกัน หรือว่าอะไรแบบนี้ และให้คนตีความได้เนี่ย บอกมาละกัน มาดูได้ ถ่ายไว้เยอะ

[update 1] คนที่เห็นรูปนี้ และจะไปตีความโน่นนี่ตามใจชอบ นี่ กรุณาอย่าทำเช่นนั้นนะครับ มันไม่มีเรื่องอะไรแบบนั้นจริงๆ เป็นการถามการบ้านจริง และมีหลายคนอยู่ในห้องนั้น (เป็นสิบ) และถ้าคุณทำเช่นนั้น คุณกำลัง “เข้าใจผิด” และสร้าง Truth ของตัวเอง

[update 2] มีอีกเรื่องว่ะ ที่เพิ่งนึกออก … ผมเคยไปนั่งรอแฟนที่ศาลายา ปกติผมจะไว้ผมยาว ไว้เคราด้วย มีครั้งนึงที่ผมตัดผมสั้น และโกนหนวดเครา กลายเป็นมีคนนินทาแฟนซะงั้น ว่าหลายใจ เปลี่ยนแฟนบ่อย สับราง เออดีแฮะ

Goodbye, SIGMA. Hello, DACI!

ผมพยายามตั้ง Lab วิจัยทาง Computational Science (ใน Link เป็นข้อมูล “เก่ามาก” ไม่ได้ update มานานมากกกก) ที่ภาควิชาคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ ม.ศิลปากร ตั้งแต่จบกลับมาทำงานใหม่ๆ และ Lab นั้นก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาภายใต้ชื่อ SIGMA Lab (Scientific & Informatics Group of Multidisciplinary Arts; และคำย่อก็แปลว่าการรวบรวมซะด้วย) ซึ่งอยู่ในภาควิชาคอมพิวเตอร์เป็นเวลาครึ่งปี ก่อนที่จะขยับขยายมาอยู่ที่ใหม่ ที่สถาบันวิจัยและพัฒนา ม.ศิลปากร เช่นกัน ภายใต้โครงการนำร่อง Silpakorn Digital Content City (ตามที่ได้คุยและปรึกษากับผู้บริหาร ในเรื่องที่ท่านต้องการผลักดัน) ซึ่งผมก็เคยได้ post กิจกรรมของ SIGMA Lab ไปใน blog นี้เมื่อนานมาแล้ว

และในวันนี้ วันที่ SDCC โตขึ้น งานการทั้งหมดออกในชื่อนี้มากขึ้น เทียบกับ SIGMA Lab ที่เป็นองค์กรเกือบจะลับๆ ที่ไม่มีตัวตน (เพราะว่าที่มหาวิทยาลัยไม่ได้มีระบบการเรียนการสอนแบบห้องวิจัย) และลักษณะงานที่ออกไปในเชิง Computational Science และ Scientific Computation ตามเจตนาเดิมน้อยลงไปทุกที (ถึงวันนี้แทบไม่มีเลย) ในขณะที่ความต้องการในการทำ Digital Content มีมากขึ้น ไปประชุมที่ไหนก็มีแต่เรื่องนี้ทั้งนั้น เรื่อง Digital Content กลายเป็นประเด็นหลักในการทำงาน การวางแผนงาน และการสนทนา …. หลายคนพยายามที่จะผลักดันให้กลายเป็นวาระแห่งชาติ (แต่ไม่รู้จะแค่ไปอยู่ในแผน ที่ไม่เคยมีผลจริงๆ หรือเปล่า)

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของความสามารถของทีมงาน SIGMA Lab เอง ที่ไม่เพียงพอจะทำ Scientific Computation และยังไม่มีโจทย์อีกด้วย แต่ว่าถ้าเป็นเรื่องการทำเนื้อหาดิจิทัลล่ะก็ ..​ เรามีความพร้อมพอสมควร และคิดว่าทำได้ดีกว่า

จะอย่างไรก็ตาม วันนี้ถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่งสำหรับคนที่ผมทำงานด้วย คือ SIGMA Lab จะไม่มีตัวตนอีกต่อไปแล้ว

ยินดีต้อนรับสู่ DACI: Digital Arts & Content Industry

รับผิดชอบ?

พักนี้หงุดหงิดง่ายแฮะ โดยเฉพาะกับเรื่องความรับผิดชอบของคน คนในองค์กรอื่นผมไม่สนใจ แต่ว่าคนที่ทำงานด้วย และนักศึกษาที่ตัวเองสอนนี่สิ เหนื่อย

ตอนนี้มันมีงานอบรม Grid admin ที่มีคนไม่ยอมทำ ทาง ม. ศิลปากรก็เลยต้องรับมา แต่ว่าคนที่รับมาก็ไม่ทำอะไร ตอนแรกคิดว่าจะให้ผมเป็นวิทยากรอย่างเดียว และหาคนมานั่งฟังอย่างเดียว แต่ว่าไปๆ มาๆ กลายเป็นว่าวิทยากรต้องทำเองทุกอย่างเลยแฮะ ทั้งเรื่องจัดหาสถานที่ เรื่องหาอาหารว่าง เรื่อง ฯลฯ โดยทุกอย่างมารู้กันวันสุดท้าย

ไม่พอ คนที่ฝากให้ไปประชาสัมพันธ์ ก็ดันลืมซะอีก แต่ว่าก็ยังพอแก้ปัญหากันได้ ด้วยกันโทรตามๆ กันมาเรื่อยๆ สุดท้ายได้คนที่คิดว่าจะมาแน่ๆ หลายคนล่ะ ด้วยสัญญาปากเปล่า และคิดว่าตัวเลขน่าจะเป็นตามเป้าอย่างน้อยที่สุด

แต่ว่าทำไมกัน พวกที่สัญญาปากเปล่า ไม่โผล่หัวมาเลย ไม่มีการบอกเลยด้วยซ้ำไป ความรับผิดชอบต่อคำพูดตัวเองมันหายไปไหน? พวกที่น่าจะมาแน่ๆ และควรเป็นหน้าที่ส่วนหนึ่งด้วยซ้ำไป มันหายหัวไปไหนหมด?

ดีแต่ปากกันทั้้งนั้น

แบบนี้ผมจะช่วยทำไปทำไมวะ เหนื่อย และผมควรรับผิดชอบงานนี้ยังไงดีก็ไม่รู้เหมือนกัน มันแกลบมาตั้งแต่ต้นแล้วล่ะ

รับปากไปแล้ว ทำได้แค่ไหนก็ต้องทำ ไม่ต้องมาอ้างโน่นอ้างนี่ให้มันเสียเวลาหรอก ว่าไม่ตื่น ว่านอนดึก ว่าโน่นนี่ โดยเฉพาะคนใน lab ผม เพราะว่าผมเองก็อยู่ seminar กับพวกคุณถึงตีหนึ่งกว่า กลับบ้านกว่าจะนอนก็ตีสามเหมือนกัน ผมยังมานั่งรอแต่เช้าได้ งานการอื่นๆ ผมก็เยอะแยะ

ความรับผิดชอบน่ะ มันมีกันบ้างไหม? มันหายไปไหน? หรือว่ามันไม่เคยมี?

คนกลุ่มที่ผมโกรธที่สุด คือ คนในองค์กรผมเอง คนที่ผมทำงานด้วยและคิดว่าน่าจะช่วยให้ผ่านงานนี้ไปได้ด้วยดี

เข็ดแล้วครับ และคงจะไม่คาดหวังอะไรกับพวกคุณอีก ขอบคุณมากที่ให้บทเรียน

และ … อย่าว่างั้นงี้เลยนะ ผมไม่ให้อภัยครับ

เริ่มเห็น Accord 2008 ล่ะ

เพิ่งเริ่มเห็น Accord ตัวใหม่ จริงๆ บนถนนเร็วๆ นี้เอง … ความรู้สึกแรก คือ ….​ แปลก

มันสวยนะ แต่ไม่หมดจด ดูเกินๆ ยังไงไม่รู้ …. เหมือนกับเอาโน่นนี่มาตัดปะกันอย่างไม่เนียน ไม่ลงตัว ความเหลี่ยมความโค้งความมน มันไม่ได้ยังไงก็ไม่รู้

ส่วนเรื่องไฟท้าย นี่ดูก็รู้ ว่าเอามาจาก BMW Series 5+7 แต่ว่า….. เหมือนกับตัดปะโดยไม่เอากระดาษทรายขัด … ก็ขัดตาอีกจนได้ (แต่ ​BMW นี่เนียน)

รถดูใหญ่ขึ้นนะ (ก็จริง จาก spec) แต่ว่าเหมือนกับคนหัวเล็กตัวโตอ่ะ มองจากด้านหลังแล้วมีความรู้สึกว่าหัวเล็ก แต่ว่าพุงยื่น .. ตัวรถมันบวมๆ ยังไงก็ไม่รู้

อาจจะรู้สึกไปเองนะ … อาจจะต้องรอ Minor change…

และแล้ว … Minor change ก็ออกมา แบบมีไฟหยดน้ำ …. แว้กกกกกก