Nikon V1 + FT-1: “นี่มันโคตร Telephoto!”

เคยเขียน สองวันกับ Nikon V1 ไปเมื่อนานมาแล้ว ตอนนั้นเขียนไปกับการใช้งานเลนส์ที่ติดมา 2 ตัว ในฐานะ “กล้องเซ็นเซอร์เล็ก ที่บังเอิญเซ็นเซอร์ใหญ่กว่าปกติเล็กน้อย และเปลี่ยนเลนส์ได้” ไม่ใช่ “กล้องคอมแพคเซ็นเซอร์ใหญ่” เหมือนที่ใครๆ ปรารถนาให้มันเป็น

วันนี้เกมมันเปลี่ยนไปเป็นอีกเกมนึงเลยครับ และทำให้ผมเข้าใจ Nikon มากขึ้นเยอะ ก็เพราะเจ้า FT-1 Adapter เนี่ยแหละ ที่ทำให้ผมสามารถจะมีเลนส์ซุปเปอร์เทเลโฟโต้ระดับ 800mm ได้ในขนาดและราคาที่เอื้อมถึงได้ .. ทำไมน่ะหรือครับ ก็เพราะว่าเจ้า FT-1 นี่จะทำให้เราใช้เลนส์ F-Mount ปกติกับระบบ Nikon 1 ได้ … ทีนี้ถามว่า แล้วมันไม่ใหญ่ไปหรือ


IMG_1617.jpg
Nikon V1, FT-1 Adapter, 70-300 f/4.5-5.6 VR

ก็บอกตามตรงว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าเลนส์ระดับ 70-300 VR เป็นเลนส์ที่ใหญ่และหนัก ทั้งๆ ที่ปกติไม่เคยรู้สึกแบบนั้นเลย เนื่องจากปกติจะใช้กับ D3s ซึ่งมีบอดี้ที่ใหญ่และหนักกว่าตัวเลนส์ ทำให้ไม่รู้สึกอะไร (และใช้กับเลนส์ที่หนักกว่านั้นซะเคยตัว) … แต่ว่าพอเอา 70-300 ตัวนี้มาใช้กับ V1 นี่รู้สึกได้เลยว่า “บอดี้มันไม่มีน้ำหนักอะไรเลย” … และที่แย่กว่านั้นเล็กน้อย ก็คือตัว 70-300 เองก็ดัน “เบาไป” (หนักไม่พอ) ที่จะทำให้ถือได้แบบมั่นๆ นิ่งๆ เท่าไหร่ ก็โชคดีที่มี VR มาช่วยเอาไว้ ไม่งั้นเน่าได้เหมือนกัน

แล้วมันเกี่ยวอะไรกับชื่อหัวเรื่องล่ะนี่? … ไม่ยากครับ เพราะ Nikon 1 เป็นระบบที่ใช้ crop factor 2.7x ดังนั้นทางยาวโฟกัสก็จะคูณไปเท่านั้น ทำให้ 300mm กลายเป็นเลนส์ 810mm ซึ่งมันคือระดับ “โคตรเทเลโฟโต้” ตัวละหลายแสน หนักหลายกิโล ขนาดเป็นบาซูก้า … แต่นี่มันอะไรกัน โคตรเทเลโฟโต้ในราคาที่เอื้อมแตะได้เลยนะนั่น .. แล้วมันทำอะไรได้บ้างล่ะ

ลองดูตัวอย่างแรกนะครับ รูปแรกเพื่อเป็นการเปรียบเทียบ จะเป็นรูปที่ผมถ่ายจาก iPhone 4s ซึ่งมีทางยาวโฟกัสเทียบเท่าที่ประมาณ 35mm ซึ่งเป็นระยะ wide-normal ไม่ได้กว้างมากขนาดที่จะเตะอะไรออกไปให้ดูไกลขึ้น (กล้อง iPhone 4s จะแคบกว่า iPhone 4 ซึ่งอันนัั้นจะประมาณ 28mm ถ้าผมจำไม่ผิด) โดยอยากให้ลองสังเกตดูตรงที่ผมวงไว้นะครับ (กดเพื่อดูรูปใหญ่ได้ จะได้เห็นง่ายๆ หน่อย)


IMG_1672.jpg

ทีนี้ …​ ลองมาดูอานุภาพของ “810mm f/5.6” (เทียบเท่า จริงๆ แล้วคือ 300mm x 2.7 f/5.6) กันบ้างนะครับ ว่าจะเป็นยังไง … จากจุดเมื่อกี้น่ะแหละครับ มันกลายเป็นรูปนี้


DSC_4053.jpg

ต้องบอกว่า “นี่มัน!!!!!” ได้เท่านั้นครับ … มันทำให้ผมรู้สึกว่า Nikon 1 เป็น “ระบบ” ที่น่าใช้ขึ้นมาอีกเยอะ เพราะมันเพิ่มโอกาสได้ภาพแบบมหาศาล กับภาพที่ปกติเราจะไม่มีโอกาสได้เลย (นอกจากจะใช้ Superzoom Bridge Camera หรือที่หลายคนเรียกติดปากว่า DSLR-Like อะไรแบบนั้น .. ซึ่งก็จะยิ่งได้เซ็นเซอร์เล็กจัดไปอีก เลนส์ก็คุณภาพไม่ค่อยดีเท่าไหร่อีก) … และยังไม่นับกับการใช้กับ Primes ตัวอื่นๆ เช่น 50/1.8 ซึ่งทำให้กลายเป็น 135 f/1.8 นะครับ (แต่เนื่องจาก sensor มันเล็ก มันจะได้ DoF เท่ากับเลนส์ 135 เปิดประมาณ f/4 บน Full Frame นะ)

เพื่อความชัดเจน เอาไปอีกคู่นะครับ รูปแรกถ่ายด้วย iPhone 4s เหมือนเดิม โดยให้สังเกตคนที่ทำหน้าที่หยิบดอกไม้นะครับ (เนื่องจากเป็นวัด ไม่ได้ซื้อ ดังนั้นจึงไม่เรียกแม่ค้า)


IMG_1671.jpg

เมื่อใช้กับ “810mm f/5.6” ตัวนี้ ก็จะได้ภาพต่อไปนี้ครับ


DSC_4047.jpg

ประเด็นอื่นๆ นอกจากนั้นก็คือ โฟกัส ผมพบว่าความเร็วในการโฟกัสไม่ใช่ปัญหาเลย โฟกัสได้เร็วมาก แต่จะมีปัญหาว่ามันมีอาการ Focus Hunting พอสมควร ซึ่งปกติแล้วไม่เคยเจอเลนส์ตัวนี้เป็นบน FX เลย ซึ่งตอนนี้ผมกำลังพยายามเรียนรู้นิสัยมันอยู่ว่ามันจะ Hunt ในกรณีไหนบ้าง แล้วจะแก้ปัญหาหรือมี workaround อย่างไรได้บ้าง … ส่วนเมื่อผมลองเอามาใช้กับ Continuous Mode นี่สนุกมากเลยทีเดียวครับ เพราะมันทำให้มีโอกาสได้ภาพมากขึ้นอีกเยอะมากเลย

ทดสอบ Dynamic Range ของ Fuji X-Pro1 JPEG

ครั้งก่อนเคย ทดสอบ Dynamic Range กับ X100 JPEG ไปแล้ว และก็เคยลองเล่นๆ ขำๆ กับไฟล์ JPEG จาก Nikon V1 ใน สองวันกับ Nikon V1 รีวิว .. ช่วงวันหยุดสงกรานต์นี้เพิ่งจะมีโอกาสเอา Fujifilm X-Pro1 ไปทดสอบภาคสนามจริงๆ จังๆ เป็นครั้งแรก (หลังจากถ่ายเล่นๆ รอบๆ บ้านมาพักหนึ่ง) … ยังไม่เขียนรีวิวนะ แต่ตอนนี้เห็น DR ของ JPEG มันแล้ว​ “ว้าว” จนทำใจไม่เขียนเฉพาะเรื่องนี้แบบลัดคิวไม่ได้

เริ่มก่อนเลยก็แล้วกัน นี่ JPEG ดิบๆ จากกล้อง ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษทั้งสิ้น (กดดูรูปใหญ่ขึ้นได้นะ)


DSCF7535.jpg
X-Pro1, 18/2, 1/60s, f/5.6, ISO 200, Film Mode: Velvia

ไม่ต้องพูดพร่ามทำเพลงมาก เปิด Lightroom 4 อาวุธคู่ใจคนถ่ายรูปหลายคน ปรับแบบไม่คิดอะไรเลย ตบ Highlight ดึง Shadow … เอาแบบสุดๆ ไปเลยทั้งคู่ แค่นี้จริงๆ สาบานได้ (สิ้นคิดที่สุด)


lr_dr_adj.png

จากนั้นดูผลลัพธ์ … แม่จ้าว แทบจะกรี๊ดสลบ เดี๋ยวนี้ JPEG มันเก็บข้อมูลในไฟล์แบบเหลือเฟือเหลือใช้ขนาดนี้ นี่ขนาดผมถ่ายแค่ JPEG Normal นะ ไม่ใช่ JPEG Fine (ซึ่งไฟล์ใหญ่กว่า มีข้อมูลมากกว่า บีบอัดน้อยกว่า)


DSCF7535-2.jpg

ภาพที่ได้นี่มันอารมณ์ทำ HDR กลายๆ เลยนะเนี่ย (ถึงมันจะมีขอบม่วงชัดเจนมากตรงหลังคาก็เถอะ) มีข้อมูลเก็บไว้ให้เล่นเยอะขนาดนี้ … เหตุผลที่จะถ่าย RAW ก็น้อยลงไปอีกข้อนึงล่ะนะ … จริงๆ แล้วตอนนี้ถ้าไม่นับเรื่อง White Balance กับ Simulate Multiple Exposure นี่ก็ไม่รู้จะถ่าย RAW ไปทำอะไรแล้ว (สำหรับผมนะ เหตุผลของท่านก็เป็นเหตุผลของท่านครับ ผมเคารพเหตุผลที่คนอื่นถ่าย RAW เสมอ)