MacBook air 11″ [ตอน 2]

เมื่อคืนหลังจากโพสท์ MacBook air 11″ ไปไม่นาน ก็มีคนถามกันมาหนาหู ถึงประเด็นต่างๆ ใน twitter บ้างอะไรบ้าง ก็เอาเป็นว่าผมเอามาสรุปรวบยอดในนี้ก็แล้วกันนะครับ

  • Q: เรื่องความร้อน ร้อนหรือเปล่า ถ้าเทียบกับ MacBook Pro เป็นไงบ้าง?
  • A: เท่าที่ใช้งานปกติ ไม่รู้สึกถึงความร้อนอะไรแต่อย่างใด ต้องบอกว่าเย็นมาก … จนทำให้คนอยู่เมืองร้อนชอบใจ และใครอยู่เมืองหนาวอาจจะรักมันน้อยกว่า MacBook air รุ่นที่แล้ว หรือว่า MacBook Pro รุ่นไหนก็ได้ ที่เราจะรักมันมากตอนอากาศหนาวๆ
  • Q: แล้วเรื่อง battery ล่ะ เทียบกับราคาเคลมของ Apple แล้วเป็นไงบ้าง?
  • A: จากการใช้งานจริง (ไม้ได้ใข้แบบตั้งใจถนอม battery) คือเปิด wi-fi เปิดจอสว่างพอสมควร (เกินครึ่ง แต่ไม่เต็มที่) เปิดการใช้งานโปรแกรมต่างๆ อย่างน้อยๆ ก็ web browser, pages, xcode, textmate, terminal, echofon, ecto ค้างเอาไว้ ก็พบว่าได้อย่างน้อยเท่ากับราคาเคลม คือ 5 ชั่วโมง (สำหรับรุ่น 11″) แน่นอน อาจจะได้เกินนั้นนิดหน่อย แต่ว่าผมไม่ได้ลองเล่นไฟล์มีเดีย พวกเพลงหรืออะไรแบบนี้ไปด้วยนะครับ เนื่องจากไม่ได้คิดจะเก็บเพลงบนนี้แม้แต่เพลงเดียวอยู่แล้ว
  • Q: มีอาการจอเต้นหรือเปล่า เห็นมีคนเจอๆ กัน?
  • A: มันคืออะไรเหรอครับ ไม่เจอครับ ปกติดีทุกอย่าง

และหลังจาก 1 วันผ่านไป ผมก็ยังคงยืนยันครับ ว่าปุ่มบน keyboard มันตื้นไปนิด และมีความ “หนืด” มากกว่า MacBook Pro ทำให้กดไม่สนุกเท่า แต่ว่าก็ชินมากขึ้นพอสมควร

แต่ว่าสิ่งที่ผมยังคงไม่ชินอีกอย่างก็คือ ขนาดของหน้าจอที่มัน wide ไปหน่อย ถึงจะเข้าใจเหตุผลของการออกแแบ แต่ว่ามันก็ยังไม่ชินอยู่ดี

ดังนั้นเมื่อประกอบเหตุผลเรื่องจอ และเหตุผลเรื่อง keyboard ที่หนืดและแบน ทำให้ความสนุกสุนทรีย์ในการใช้น้อยลงไปพอสมควร และผมพบว่าผมพิมพ์บน MacBook air ได้ช้ากว่าที่ผมพิมพ์ได้บน MacBook Pro เล็กน้อย ไม่ทราบว่าเพราะปัจจัยอะไรเป็นหลัก

MacBook air 11″

ได้ของเล่นใหม่อีกแล้ว คราวนี้เกิดจากอารมณ์ชั่ววูบล้วนๆ เลย

มีอยู่วันหนึ่ง ผมต้องไปสอนหนังสือที่ ม.กรุงเทพ แล้วปรากฏว่ารถติดมาก ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็แล้วแต่ ตอนนั้นอยู่ในอารมณ์อยากจะเขียนหนังสือต่อมากๆ หรือไม่ก็เขียน app เล่น (ถ้าออกมาดีก็ขาย)

ตอนนั้นมี iPad อยู่นะ แต่ว่าปัญหาคือ iPad มันทำทั้งสองอย่างที่ว่าไม่ได้เนี่ยสิ จะเขียนหนังสือบน iPad ก็ลองแล้วไม่เวิร์กเท่าไหร่ (แถม iPhone มัน tethering เอาไฟล์หนังสือที่โยนไว้บน cloud ไม่ได้อีก จะซื้อ iPad 3G ก็กระไรอยู่) และยังไงมันก็คงเขียน app ไม่ได้แน่ ก็เลยสบถไปว่า “ถ้างาน Back to Mac มี 11″ ออกมานะ จะสั่งเป็นคนแรกเลย”

และมันก็ออกมาจริงๆ ด้วยสิ –‘ อย่างกับศาสดาได้ยิน และผมก็สั่งไปแทบจะทันทีโดยไม่คิดอะไรมาก สั่งจาก apple store online ครับ โดยสั่ง BTO เล็กน้อย คือผมอยากได้ keyboard อังกฤษ ไม่มี screen ไทยน่ะครับ นอกจากนั้นมาตรฐานหมด (บ้าไหมล่ะ) ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าจากเหตุผลที่ผมจะซื้อมันมาใช้ spec มาตรฐานรุ่นต่ำสุดน่ะ เพียงพอแล้ว

ผมขอ review มันสั้นๆ นะครับ ไม่ขอยืดเยื้อเวิ่นเว้อล่ะ และคงไม่มีรูปด้วย เพราะว่าคงจะเห็นกันมาเยอะแล้ว

  • กล่องใหญ่กว่าที่คิดไว้แฮะ คิดว่าด้วยขนาดของเครื่องแล้ว กล่องมันจะเล็กกว่านี้ซะอีก
  • เปิดมาดูก็พบเหตุผลว่าทำไม มันหนาและยาวกว่าที่คิด เพราะว่าที่ชาร์จและสายไฟ ส่วนตัวเครื่องน่ะ เล็กอยู่
  • สิ่งแรกที่ผมทำเลย ก็คือ “พิมพ์” ครับ เพราะว่าซื้อมันมาใช้กับงานที่ต้องพิมพ์เป็นหลัก และถ้าจะใช้เวลารถติดด้วยแล้ว ถ้าพิมพ์ไม่มีความสุขล่ะก็ คงมีปัญหาแน่ๆ และผมก็พบว่า ด้วยความที่เป็น full-size keyboard นั้นทำให้ผมพิมพ์ได้ไม่มีปัญหาแต่อย่างได แต่ว่าเนื่องจากคีย์มันจะแบนกว่า MacBook Pro เล็กน้อย ดังนั้นอาจจะพิมพ์ได้ไม่มันส์เท่า การตอบสนองของคีย์จะน้อยกว่า
  • ข้อสรุปเรื่องแรก คือ ยังไงซะ MacBook Pro ก็เป็น laptop ที่มี keyboard ที่ดีที่สุดที่ผมเคยใช้มาอยู่ดี แต่ว่าต้องขอบคุณที่ยัด full-size มาให้กับ MacBook air ตัวนี้ เพราะว่าผมเคยใช้ netbook มาบางรุ่น และยืนลองแทบทุกรุ่น และผมมีปัญหากับการพิมพ์บน keyboard พวกนั้นอย่างรุนแรง
  • แต่ว่า keyboard มันไม่ backlit นะ ถึงจะพิมพ์ไม่ดูอยู่แล้วก็เถอะ บางครั้งมันก็มีประโยชน์เหมือนกัน
  • ขนาดจอ 11″ ที่มี proportion ที่ “กว้าง” กว่าปกติเล็กน้อย ก็ทำให้ผมอึดอัดบ้างเหมือนกัน เพราะว่าจอมันเตี้ยกว่าที่คุ้นเคย ส่วนหนึ่งก็คงเพราะว่าต้องการทำให้เครื่องเล็ก แต่ว่ายังคงมี full-size keyboard อยู่ ก็เลยต้องกว้างตาม keyboard
  • ก็ไม่เป็นไร แต่ว่าต้องปรับตัวนิดนึง จะแย่หน่อยก็ตรงที่ว่า งานที่ต้องการจะทำบนนี้ จะต้องการจอที่สูงมากกว่าจอที่กว้างซะด้วย
  • แต่ว่าจอกว้างๆ เตี้ยๆ มันก็ดีอย่างนะ มัน low profile กว่า และมันหยิบขึ้นมาทำงานในที่แคบๆ (เช่นเบาะที่นั่งในรถยนต์) ได้ดีกว่า
  • SSD ทำงานเร็วมาก! เรียกได้ว่าไม่อยากกลับไปใช้แบบจานหมุนเลยแฮะ ทั้งเร็วทั้งเงียบ
  • การใช้งานทั่วไป …. ผมยังคงอึดอัดกับมันอยู่นะ อาจจะเพราะว่าใช้ 17″ มาซะเคยตัว ต้องให้เวลากับมันอีกนิดหน่อย
  • แต่ว่ามันเบาดี สบายดี พกง่ายดี …​เพียงแต่ตอนนี้ยังหาซอง/กระเป๋า/อะไรพวกนี้ ที่ขนาดพอดีตัว มาใส่มันไม่ได้ ก็เท่านั้นเอง

เอาแค่นี้ก่อนก็แล้วกันนะ ไว้ใช้มากกว่านี้ก่อน จะกลับมารีวิวใหม่

เปิด ThaiMacGeeks.com

หลังจากหายไปนาน (อีกแล้ว) …. ผมก็ทำตาม “เป้าหมายปี 51” ข้อแรกได้แล้วครับ! …. ขอแนะนำ

ThaiMacGeeks | Together, We’re in Command!

ตั้งเป้าหมายเป็น Niche community ของ Mac Geeks ทั้งหลายในประเทศไทย สำหรับที่มาที่ไป ผมจะเล่าไว้ในหน้า About ที่ ThaiMacGeeks นะครับ แต่ว่าคร่าวๆ คือ

  • ผมเริ่มรู้สึกตัวว่า ผมเขียนเรื่อง Mac ลง blog บ่อยพอควร ส่วนมากจะเป็นเรื่อง tips & tricks หรือว่าข่าวสาร หรือว่าความเห็นส่วนตัวเสียด้วย ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับ scope ของ Thai Mac Dev ซึ่งวางไว้ให้เป็น community ของ Mac developer ในประเทศไทย (ที่เนื้อหาจะ hardcore กว่า และเน้นหนักไปทางด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์ หรือว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรง)
  • ผมกับวีร์ (Geek #1 จาก dualGeek) เริ่มรู้สึกว่า เราสองคนมีเวลาทำ podcast ด้วยกันน้อยลงเรื่อยๆ เพราะว่าเวลาที่เจอกัน ว่างตรงกัน มันน้อยลง แต่ว่าถ้าจะเขียน มันจะเขียนได้เยอะกว่า ดังนั้นเราเลยเริ่มถามกันเองว่า “dualGeek น่าจะมี blog ของตัวเองสักที”
  • พอคุยกันไปคุยกันมา ผมก็เลยเสนอไปว่า ถ้างั้นแทนที่จะเขียนกันแค่สองคน เปิด community ใหม่อีกที่ดีกว่ามั้ย ให้เป็นแบบ dualGeek น่ะแหละ แต่ว่าให้ Mac Geeks ทุกคนโชว์ความเป็น geek ของตัวเองได้เต็มที่ ใครจะเขียนอะไรก็เขียน ภายใน scope ที่เราวางไว้น่ะแหละ (ตาม category)
  • ทุกคนจะมี blog ส่วนตัว และเขียนเรื่องลงได้เรื่อยๆ โดยที่ผมกับวีร์จะทำหน้าที่เป็น author & editor ไปก่อนในช่วงแรก ทุกเรื่องจะได้ขึนหน้าแรกหมด แต่ว่าถ้าเรื่องไหนไม่ค่อยจะสมเหตุผล หรือว่าส่วนตัวมากไปหน่อย ก็อาจจะมี edit บ้าง หรือว่า demote จากหน้าแรก

ก็คงประมาณนี้แหละครับ สำหรับ Mac Geek ทุกท่านที่ติดตาม blog นี้ พบกันที่ ThaiMacGeeks นะครับ

รวมปัญหาเรื่อง lib ใน Leopard

ตอนนี้เริ่มเล่น Leopard ในฐานะของนักพัฒนาโปรแกรมและพวกชอบงัดแงะมากขึ้น และตอนนี้เท่าที่ลองเล่นก็เจอปัญหาโน่นนี่นิดหน่อย ซึ่งได้ post ไว้ใน ThaiMacDev เรื่อยๆ แต่ว่าขอรวบรวมไว้ตรงนี้อีกที่หนึ่งละกัน

ไว้เจอมากกว่านี้แล้วจะ post ไว้เรื่อยๆ ครับ

App: Leopard MenuHack

บ่นกันจัง ว่า Menu bar ใน Leopard มันกวนสายตา กวนใจ ไม่พอ ยังทำให้ต้องเรื่องมากขึ้นอีกเยอะกับการเลือก background สักรูป เพราะว่าไม่งั้นมันจะอ่าน menu bar ลำบากเอา

kiterminal ไปเจอโปรแกรมเจ๋งๆ ตัวนึงมา ชื่อ Leopard MenuHack หน้าที่ของมันคือให้เราปรับสีตรงที่จะไปอยู่ด้านหลัง menu bar ได้เลย (เหมือนกับเอาแถบสีไปแปะบน desktop background น่ะแหละ) แถมเป็น open source (ใช้ GPL) ด้วย

วิธีการใช้ค่อนข้างจะตรงไปตรงมา แต่ว่ายังให้ความรู้สึก hacked พอควร (ก็สมชื่อ) ยังมีปัญหานิดหน่อย แต่ว่าก็ทำงานได้ดี ผมก็เลือกให้เป็นสีดำตลอดเลย ไม่ว่าจะใช้ background อะไรก็ตาม สรุปว่าลองใช้กันดูครับ

MacBook Pro จะมี Major upgrade เมื่อไหร่?

คำถามที่ถามกันมากมาย มานาน หลายเดือน อาจจะเป็นปีๆ แล้วมั้ง กับคนที่อยากจะซื้อ หรือว่าต้องการจะ upgrade เครื่อง Mac laptop ของตัวเองเสียที ก็คาดหวังกันมานาน ผิดหวังกันแล้วผิดหวังกันอีก

จริงๆ แล้วผมกับ วีร์ (ที่ทำ dualGeek podcast ด้วยกัน) ก็คุยกันบ่อย และคาดเดาเรื่อง time frame ต่างๆ นานา และ pattern ในการออก product มามากมาย ต่างๆ นานา แต่ทุกการคาดเดาของเราเกี่ยวกับ MacBook Pro นี่พลาดหมด

MacBook Pro เป็น laptop ระดับ flagship ของ Apple ที่มีหน้าตาแบบนี้มาตั้งแต่เป็น PowerBook G4 แล้ว แทบจะเหมือนกันเปี๊ยบ มีต่างกันเล็กๆ น้อยๆ และล่าสุดเพิ่งจะได้รับ minor change ในรุ่น BTO ไปเมื่อไม่กี่วันมานี้ ผมเองก็ชอบโจ๊กเล่นเสมอๆ ว่า ถ้าคิดว่าคอมพิวเตอร์เป็นแฟนนะ เปลี่ยน PB เป็น MBP นี่เหมือนกับเปลี่ยนแฟนไปคบน้องสาวแฟน ที่รูปร่างหน้าตาเกือบจะเหมือนกันแทน ยิ่งเปลี่ยน MBP เป็น MBP รุ่นใหม่นี่ ยิ่งเหมือนกับเปลี่ยนแฟนเป็นฝาแฝดแฟนยังไงยังงั้น อาจจะเร่าร้อนกว่าหน่อยเวลาเอาไปนั่งตัก หรือว่าทำได้นานกว่าหน่อย (battery life) หรือว่าหน้าตาปิ๊งปั๊งขึ้น (ถ้าเลือกแบบจอ glossy) …. เฮ้ย เลิกเหอะ ชักเลยเถิด

พอดีวันนี้คุยกับ peter (ซี้เก่าสมัยเรียนที่ญี่ปุ่น) มีอะไรตลกๆ เลย capture มาให้อ่านกัน

ตลกอ่ะ ช่างสังเกตมาก 2001, 2003, 2006, … ถ้าเอาเฉพาะตัวหลัง (1, 3, 6) มันเป็น Triangular Numbers (1, 3, 6, 10, 15, 21, 28, 36, 45, 55, …) นี่หว่า!

โอ้เย่ งั้นแบบนี้ MBP major upgrade ครั้งต่อไปคงจะเป็น 2010 (ฮา …. ไม่ค่อยออก)

ล้อเล่นน่ะครับ ยังไงคิดว่า MWSF ครั้งหน้านี่น่าลุ้นเหมือนกันนะ

[update 1] แก้คำผิดเล็กน้อย

iChat Theater Setting

สำหรับคนที่เล่น Leopard แล้วอยากจะลองใช้ iChat Theater ให้มี side-by-side view แบบใน Demo/Keynote/Web/Screenshots ทั่วไป แต่ว่าเมื่อลองแล้วกลับไม่เป็นแบบนั้น ให้ทำแบบนี้ครับ

  1. เข้าไปที่ System Preferences แล้วไปยัง QuickTime streaming speed
  2. เปลี่ยน speed ให้มากหน่อย (ผมลอง 1.5 แล้วใช้ได้) อย่าใช้ Automatic
  3. ปรับ bandwidth limit ที่ Audio/Video ใน iChat Preferences ให้เป็น None

ตัวอย่างในรูปนี่ไม่ใช่รูปผมนะ แต่เป็นลูกศิษย์ (neokain) ที่สถาบันวิจัย ตอนกำลังทดสอบ iChat Theater กันครับ ส่วนรูปที่แชร์นี่ถ่ายจากนครธมที่เขมร …​ เหมือนกับตราสโมสรฟุตบอลอะไรซักอย่าง

แก้ Dock ใน Leopard

Dock เปลี่ยนไปเยอะมากมายใน Leopard และถึงผมจะเริ่มชินกับมันบ้างแล้ว แต่ว่าผมก็ยังไม่ค่อยจะชอบมันเท่าไหร่อยู่ดี ครั้นลองเปลี่ยนไปเป็น 2D ตามที่ เคย post ไว้ก่อนหน้านี้ ผมก็รำคาญขอบสีขาวของมันอยู่ดีน่ะแหละ เลยเปลี่ยนกลับไปเป็น 3D เหมือนเดิมอะไรๆ มันก็พอจะเริ่มรับได้ล่ะนะ ยกเว้นเจ้าทางม้าลาย ที่ผมว่ามันเกะกะจัง มัน visual distraction มากเลย ก็เลยหาทางเอาออกซะสรุปว่า ผมก็เลยหาทางเล่นกับ Dock ตัวนี้ซะเลย ทำตามนี้นะครับ

  1. เปิด Finder ไปที่ /System/Library/CoreServices 
  2. หา Dock.app แล้ว click ขวา เลือก Show Package Contents
  3. เข้าไปใน Contents/Resources
  4. จากนั้นก็หาไฟล์ชื่อดังนี้ scurve-[l,m,sm,xl].png ซึ่งเป็นไฟล์สำหรับฐานรอง Dock และไฟล์ที่ขึ้นต้นด้วย separator ซึ่งเป็นไฟล์ตัวกั้นลายทางม้าลาย (มี 3 ไฟล์ ชื่อคล้ายๆ กันตามรูปแบบของตัวกั้นที่ใช้งาน สำหรับ 3D Dock แล้วก็ 2D Dock ด้านข้างและด้านล่าง)
  5. จากนั้นจะทำอะไรกับไฟล์เหล่านี้ก็ตามสบายครับผม อย่าลืม backup ไว้ก่อนล่ะ
  6. จากนั้นก็หาทาง restart Dock ซึ่งง่ายที่สุดก็เปิด Terminal.app แล้วก็พิมพ์ว่า killall Dock กด enter
  7. Boom!

ใครที่ถนัดใช้ command line อยู่แล้ว ก็เปิด Terminal.app แล้วก็พิมพ์

cd /System/Library/CoreServices/Dock.app/Contents/Resources

แล้วก็เชิญงัดแงะตามสบายได้เลยรูปด้านล่างนี้เกิดจากการที่ผมย้ายไฟล์ทางม้าลายที่ว่านี่ไปไว้ที่อื่น

[update 1]: เพิ่งจะงัดแงะต่อ กับการแก้ขอบขาวใน 2D Dock พบว่าถ้าย้ายไฟล์ bottom[1-5].png ไปไว้ที่อื่นแทน แล้วก็ทำเป็น 2D Dock อย่างที่เขียนใน post ที่ link ไว้ข้างบน ขอบขาวมันจะหายไป…

Happy Hacking ครับ

เริ่มเขียนโปรแกรมใน Leopard

ตอนนี้เริ่มเขียนโปรแกรม หรือว่าลงโน่นลงนี่ใน Leopard แล้ว ตามที่ตั้งใจไว้ แล้วจะเขียนลงใน

ThaiMacDev.com

เรื่อยๆ นะครับ ตอนนี้ก็เพิ่งจะมีเรื่องประสบการณ์การแก้ปัญหา libGL.dylib แต่ว่าถ้ามีเรื่องใหม่ๆ (โดยเฉพาะการเล่นกับ API ด้วยตัวเอง และการรีวิว Xcode กับ Interface Builder ใหม่) ก็จะเขียนลงในนั้นเช่นกัน

จับภาพหน้าต่างใน Leopard

หลายคนที่เคยใช้ command+shift+4+space ในการจับภาพหน้าต่างใน Mac OS X คงจะชอบแฮะ เพราะว่าตอนนี้มี shadow รอบหน้าต่างแล้ว ไม่ต้องไปทำเอง

(ไอ้กรอบขาวๆ รอบๆ นี่ไม่เกี่ยวนะ อันนั้น HTML table code กับ theme ของ blog นี้ ส่วนที่ ​Leopard เพิ่มเนี่ย เฉพาะตรงเงา)แต่ว่าก็แล้วแต่งานนะ ถ้าต้องการเรียบๆ อาจจะไม่ชอบ ต้องไปหาวิธีทำอย่างอื่น แต่ว่าสำหรับผม OK เพราะว่ามันทำให้เวลาเราเอารูปหน้าต่างลงในบทความ ในหนังสือ หรือว่าใน Web แล้วมันดู distinguishable มากขึ้นเยอะ