ไม่ได้เขียน blog นานมาก … พักหลังๆ ไปอยู่ใน twitter ซะมากกว่า
วันนี้ก็บ่นใน twitter อีกน่ะแหละ แต่ว่าบ่นต่อกันเป็นเรื่องเป็นราวหน่อย ขอ copy & paste มาแปะไว้ที่นี่ด้วยก็แล้วกัน .. แต่ว่ามันอาจจะอ่านไม่ค่อยต่อเนื่องนะ เพราะว่าต้อง post ครั้งละไม่เกิน 140 ตัวอักษร (bullet ละ tweet)
- เจอเรื่องเซ็งๆ กับ comment/remark เซ็งๆ อีกล่ะ
- วันนึงน้องๆ นักศึกษาที่รักจะเข้าใจครับ ว่า “เกรด” มันไม่มีความหมายอะไรหรอก “ประสบการณ์” ที่ได้จากการทำงานต่างหากที่มันมีความหมาย
- ดังนั้นถ้าน้องๆ ได้ A มาง่ายๆ และไม่ได้ประสบการณ์ แนวคิด และทัศนคติอะไรมาเท่าไหร่ มันไม่มีค่าเท่ากับ C ที่ได้มาพร้อมกับความคิด ประสบการณ์
- เรื่องพวกนี้ “บริษัท” “ลูกค้า” “งานจริง” “ภาคเอกชน” “ภาคอุตสาหกรรม” ทราบดีมานานแล้ว
- คิดว่า “สัมภาษณ์งาน” และ “การทำงานจริง” นี่ เค้าใช้เกรดทำงานกันเยอะแค่ไหนกันเชียว
- คิดบ้างมั้ย ต้องวิเคราะห์งานให้ลูกค้า ทำระบบให้ลูกค้า ดีไซน์ usability ให้ระบบลูกค้า …. ทำได้ห่วย จะอ้างอะไร? “หนูได้ A มานะคะ” เหรอ?
- ไม่พอๆ มีอีก ยิ่งเกรดดี งานห่วย ยิ่งทำให้เกรด จากคณะวิชา หรือมหาวิทยาลัยนั้นๆ “ไร้ค่า” ในสายตาลูกค้าคนนั้น และ/หรือ บ. ที่รับไปทำงาน
- เหมือนกับที่ อ. มหาลัยทุกวันนี้ ไม่ดูเกรด ม.ปลาย ของเด็กจาก “หลายโรงเรียน” เพราะว่ามัน “ไร้สาระ” บอกอะไรไม่ได้
- อีกอย่าง ที่ผมเคยบอกไปน่ะแหละ “เกรด” น่ะ มีกี่วิชากัน กี่แห่งกัน ที่จะใช้ metric ตัวเดียวกับภาคเอกชน ภาคอุตสาหกรรม บริษัท ลูกค้า?
- ก็วิธีวัดผลมันต่างกัน จะไปบอกอะไรได้ดีแค่ไหนเชียว? เผลอๆ ยิ่งจะให้ผลตรงข้ามด้วยซ้ำ
- เช่น ถ้าผมจะวัดประสิทธิภาพ DB … เอา Compiler ที่ดีที่สุดมาวัดผลในฐานะ DB รับรองได้คะแนนห่วยที่สุด
- เพราะว่า DB ที่ดี ใส่อะไรเข้าไป ต้องออกมาแบบนั้น แต่ Compiler จะแปลงหมดเลย … ว่างั้นเถอะ
ไม่ได้บอกว่าวิธีการวัดผลมันไม่ดี หรือว่าต้องทำลายระบบเกรดทิ้งหรอกนะ เพียงแต่อยากจะบอกกับน้องๆ นักศึกษาแค่นั้น ว่าอย่าไปยึดติดกับเกรดมันมากเกินไป
ไม่ต้องมาอ้างมากมายหรอก ว่า “กลุ่มอื่นเค้าแจก A กันเยอะเลย” หรือว่า “ม.อื่นเค้าแจก A กันเยอะเลย” ฯลฯ มันไม่มีบรรทัดฐาน มาตรฐานกลางอะไรอยู่แล้ว
แต่อย่างน้อยๆ ผมไม่เคยทำงานสองมาตรฐาน ผมสอบทุกกลุ่มด้วยมาตรฐานเดียวกันหมด ก็แล้วกัน