RAW Converter นั้นสำคัญไฉน?

เหตุที่ผมมักจะแนะนำให้พวกบรรดามือใหม่ หรือบรรดาคนที่ถ่ายภาพแบบ “แค่ต้องการได้รูปสวยๆ เป็นที่ระลึก” ว่า “อย่าไปยุ่งกับ RAW ไฟล์ ให้ถ่ายแค่ JPEG” มีมากมายหลายประการ ซึ่งผมเคยเขียนถึงไว้ครั้งหนึ่งแล้วที่นี่ (RAW vs JPEG เมื่อ 21 มีนาคม 2010)

แต่สาเหตุหนึ่งซึ่งเป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้ ก็คือ “RAW มันเอาแน่เอานอนไม่ได้ (ขึ้นกับ RAW Converter)” ซึ่งอันนี้ผมยังไม่ได้เขียนถึงแต่อย่างใด

โดยเชิงเทคนิคแล้ว เราไม่สามารถมองเห็นภาพจากไฟล์ RAW ได้ตรงๆ เลย เพราะ RAW มันก็ตามชื่อครับ มันไม่ใช่ภาพ มันเป็น “ข้อมูลดิบๆ” จากเซนเซอร์ของกล้อง ที่ไม่ผ่านอะไรมาเลยทั้งสิ้น กล้องเก็บอะไรมาให้ได้แค่ไหน ยัดลงมาทั้งหมดแค่นั้น ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ภาพ แต่เป็นข้อมูลดิบๆ

ตรงนี้หลายคนจะงงล่ะ .. ว่าแล้วที่เราเห็นเวลาเอาภาพ RAW ลงเครื่องล่ะ มันคืออะไร?

อันที่จริงที่เราเห็นคือ JPEG ซึี่งถูกโปรแกรมอ่าน RAW แต่ละตัวแปลงขึ้นมาจากการอ่านและตีความข้อมูลดิบใน RAW ครับ ซึ่งตรงนี้แหละเป็นปัญหาล่ะ เพราะว่าโปรแกรมอ่าน RAW แต่ละตัวมันไม่เหมือนกันซะทีเดียวน่ะสิ เชื่อป่ะล่ะ

ไม่เชื่อลองดู 2 รูปต่อไปนี้นะครับ ทั้ง 2 รูปเป็น JPEG ที่ถูกสร้างจากไฟล์ RAW ไฟล์เดียวกัน (ไฟล์ NEF จาก D800) รูปแรกโหลดเข้า Lightroom 4 แล้ว Export เป็น JPEG เลย กับรูปหลังโหลดเข้า Capture NX 2 แล้ว Export เลยเช่นเดียวกัน ทั้งสองรูปสามารถ Click เพื่อดูรูปใหญ่ได้ทั้งคู่ครับ


D800_LR4_Export.jpg



D800_CNX2_Export.jpg

เห็นชัดพอสมควร ว่าต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสีสัน ที่ Capture NX 2 จะแม่นกว่าในการอ่านสีออกจาก RAW ของ Nikon (อันนี้เพราะว่าตอนที่ถ่าย ผมใช้ Standard Picture Control แต่มี +1 Saturation ไปในกล้องนิดหน่อย ดังนั้นจะเห็นว่า JPEG ที่แปลงจาก Capture NX 2 จะสีสันสดใสกว่านิดหน่อย เพราะมันอ่านตรงนี้ออกมาได้ด้วย) หรือรายละเอียดในที่แสงจ้าและในที่มืด (Highlight & Shadow)

ทีนี้ลองมาจัดการรูปกันต่อนิดหน่อย ซึ่งผมจะทำแค่ “ดึงข้อมูลในที่สว่างจ้า และที่มืด คืนมา เท่าที่จะทำได้” ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีอะไรมากกว่าการเลื่อน Slider ไปให้สุดเท่าที่มันจะมีให้เลื่อน ทั้งสองตัว


highlight_shawdow_sliders.png

ลองมาดูผลกันบ้าง ว่าเป็นยังไง เหมือนเดิมนะครับ รูปแรกคือ JPEG ที่ Export จาก LR4 และรูปหลังคือ JPEG ที่ Export จาก Capture NX 2


D800_LR4_DRP_Export.jpg



D800_CNX2_DRP_Export.jpg

จะเห็นได้ชัดขึ้นอีกว่า RAW Converter หรือโปรแกรมจัดการแปลง RAW แต่ละตัวนั้น ให้ผลไม่มีเหมือนกันตั้งแต่อ่าน RAW แล้วการนำมาใช้ต่อแล้ว ความสามารถในการประมวลผลข้อมูลต่างๆ ยังไม่เหมือนกันอีก คราวนี้ลองมา “ทรมาน RAW” กันเล่นนะครับ ด้วยการดันทุกอย่างแบบสุดโต่ง ว่าจะออกมาเป็นยังไง สิ่งที่ทำก็เหมือนๆ กัน คือ เร่งความต่างสี (Contrast) และความอิ่มสี (Saturation) ให้สุด พยายามดึงข้อมูลในที่มืด และตบเอาข้อมูลในที่สว่างให้ได้มากที่สุด และลดแสง (Exposure) ลงไป 1 Stop (พูดง่ายๆ คือให้แสงในภาพน้อยลงเท่าตัวหนึ่ง)


lr4_cnx2_sliders.png

ผลที่ได้ (รูปแรกจาก LR4 รูปที่สองจาก Capture NX 2 เช่นเดิม) ยิ่งต่างกันไปอีกมากมายมหาศาล


D800_LR4_EXT_Export.jpg



D800_CNX2_EXT_Export.jpg

จะเห็นว่า การเลือก RAW Converter ก็มีผลมากพอควรเลยทีเดียวกับผลลัพธ์ที่จะได้จากรูปดิบๆ ของเรา


ตรงนี้ผมอยากจะเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายๆ กันสักนิด ว่าไอ้เจ้า “RAW” นี่มันคืออะไรกันแน่

RAW ก็เหมือนกับ “ฟิล์มดิจิทัล … ที่ยังไม่ได้ล้าง ยังไม่ได้อัด” น่ะแหละครับ เมื่อก่อนเคยรู้สึกหรือเปล่าครับว่า เราเอาฟิล์มไปล้าง ไปอัดรูปแต่ละที่ สีสันของรูปที่ได้มันไม่เหมือนกันเลย เพราะอะไรล่ะ? ก็เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นใน “Dark Room” ซึ่งก็คือ “การล้าง” และ “การแต่งฟิล์ม” น่ะแหละครับ แต่ละที่ใช้น้ำยาไม่เหมือนกัน สิ่งที่กระทำโน่นนี่ไม่เหมือนกัน (ผมไม่ลงรายละเอียดนะ เกินไป) จนกระทั่งอัดรูปลงกระดาษมาให้เรา

ในขณะที่ JPEG ก็คือ “รูปที่อัดเสร็จแล้ว” ยังไงมันก็ไม่หน้าตาเปลี่ยนไปจากนั้น แต่ในกรณีของการถ่าย JPEG จากกล้อง เราจะเชื่อใจให้ “ร้านอัดรูปในกล้อง” หรือ Image Processing Engine ในกล้อง ทำหน้าที่แปลงข้อมูลดิบจากเซนเซอร์กล้องให้เราทันทีเมื่อถ่ายรูป ผลที่ได้ก็คือ รูปจะหน้าตาเหมือนเดิมไม่ว่าจะเปิดที่โปรแกรมไหน เปิดเครื่องใคร (เมื่อไม่มี “ความต่างของจอภาพแต่ละเครื่อง” นะ เพราะแน่นอนว่าคนละจอกัน มีการแสดงผลหรือค่าของสีต่างๆ ไม่เท่ากัน ตามอะไรต่ออะไรหลายอย่าง ภาพที่เห็นมันก็ต่างกันเป็นธรรมดา … มันก็มีเหตุผลของมันว่าทำไมจอบางจอมันแพงกว่าจออื่น)

ดังนั้น การถ่าย RAW ก็คือ เราต้องมา “ล้างรูปเอง” และ “อัดรูปเอง” ถึงจะได้ประโยชน์สูงสุด ถ้ามี RAW แต่เปิดมาแล้ว Convert เป็น JPEG เลยก็ต้องบอกว่าพลาดการได้รูปสวยๆ ไปอีกเยอะมาก แต่ถ้าคิดว่าจะไม่ทำแบบนั้น (คือถ่ายมาแล้วถ่ายเลย จะไม่มานั่งบรรจงทำอะไรทีละรูป) ก็ถ่าย JPEG เถอะ เพราะอย่างน้อยๆ การให้ Image Processing Engine ในกล้อง จัดการล้างรูปให้เรา ก็จะได้ “รูปที่เหมือนกับหลังกล้อง” ไม่ขึ้นกับความดีหรือความห่วยแตกของ RAW Converter ในเครื่องคอมพิวเตอร์เรา

ทั้งนี้ กล้องแต่ละตัว มี Image Processing Engine ที่เก่งไม่เท่ากันนะ กล้องหลายตัวของ Nikon นี่ผมไว้ใจ Image Processing Engine มันมากๆ จนแทบจะไม่ถ่าย RAW เลยนอกจากเจอที่แสงยากจริงๆ หรือที่ๆ อยากจะเก็บ “ฟิล์ม” ไว้ล้างเองจริงๆ ไม่ก็สำหรับงานสำคัญๆ ที่มันมีครั้งเดียวหรือถ่ายใหม่ไม่ได้แล้วจริงๆ เท่านั้น … แต่ในกรณี Panasonic หรือ Leica M8 นี่ถ่าย RAW ตลอด เพราะรับ JPEG จากกล้องมันไม่ได้เลย

ป.ล. แถมท้าย … ให้ดูว่า RAW มันทำอะไรได้บ้าง ในกรณีที่ “แสงยาก” และ “เป็นงานสำคัญ” … เป็นรูปจากงานแต่งงานผมเอง โดยฝีมือน้องชายและลูกศิษย์สุดที่รักคนหนึ่ง ถ่าย RAW จาก Nikon D3s และใช้ Capture NX 2 ในการล้างฟิล์ม


d3sraw.png

Cloud Atlas

นี่คือหนังเรื่องแรกที่มี Dialog และ Symbol ที่สะท้อนความจริงในสังคมที่ทำให้ผมหลุด “เหยดดดด เจ๋งว่ะ” เบาๆ ในโรงหนังในรอบ 3 ปี

Cloud Atlas (IMDB) คือหนังเรื่องที่ผมพูดถึง คือหนังเรื่องที่ผมบอกได้เต็มปากเต็มคำว่า “Love it or Hate it” เป็นเรื่องที่ผมไม่ได้ยินอะไรกลางๆ เกี่ยวกับมันเลย จะมีแต่บวกสุดโต่ง หรือลบสุดขั้ว ก็เท่านั้น

บทความนี้ จะเป็นสิ่งที่ผมเห็นจากในหนัง ซึ่งเขียนในแบบ “ถอดเทป” ที่ผมตีความทันทีที่ดูจบ ซึ่งผมเสียดายที่ผมจะต้องเขียนมันวันนี้ เพราะผมเชื่อว่า หนังอย่าง Cloud Atlas จะโตตามชีวิตของเราที่เปลี่ยนไป เมื่อผมกลับมาดูมันใหม่ในรอบที่ 2, 3, 4, 5 … ไปเรื่อยๆ จนเป็นรอบที่ 20 ผมก็ยังจะเห็นอะไรใหม่ๆ ที่มันสะท้อนให้เราเห็นในทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัว เช่นเดียวกับ The Matrix, Brazil และหนังอีกหลายเรื่อง และนี่เป็นหนังประเภทเดียว ที่ผมอยากจะดูซ้ำไปซ้ำมา … ไม่ใช่เพราะเราอยากดูหนังหรอกนะ แต่เราอยากเห็นทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเราในอีกมุมหนึ่ง ผ่านกระจกสะท้อนภาพที่เรียกว่า “ภาพยนต์”

และนั่นคือสิ่งแรกเลยที่ผมเห็น “ความรู้เป็นเพียงแค่กระจกสะท้อน” สิ่งที่เรารู้ ก็คือสิ่งที่หล่อหลอมจนมันกลายเป็นตัวเรา พูดง่ายๆ อีกอย่างหนึ่งก็คือ ผมเคยได้ยินมาว่า “เราคือสิ่งที่เรากิน” ประโยคเด็ดจากนักโภชนาการ แล้วประโยคเดียวกันล่ะ ใช้ได้ไหมกับ “อาหารสมอง”?

แล้วเรารู้จากอะไร? “ตั้งแต่เกิดจนตาย ชีวิตไม่ใช่ของเรา แต่มันถูกนิยามขึ้นมาจากทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวทั้งหมด” (อันนี้เป็นการตีความของผมนะ เพี้ยนจากประโยคในหนังสักนิด เพราะผมได้รับอิทธิพลจากความหมายหนึ่งของคำว่า Ubuntu ที่มีคนเคยตีความให้ผมฟังว่า “เราเป็นเรา เพราะคนอื่น” — เห็นไหมล่ะ เพราะเรารู้ต่างกัน มันก็สะท้อนภาพให้เราเห็นต่างกัน) ทุกสิ่งทุกอย่างทุกความดีความเลว ทุกความถูกความผิด ทุกสิ่งทุกอย่างที่คนสอนเรา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราคิด ที่เราเรียนรู้ ที่เราถูกปลูกฝังบ่มเพาะขึ้นมา มันเป็นการกำหนดนิยามให้ “ตัวเรา” ขึ้นมาทั้งนั้น

นั่นคือ เวลาเราที่เรามองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง เราจะเห็นอะไรล่ะ นอกจากเงาของตัวเองที่สะท้อนไปบนสิ่งนั้น และเวลาที่เราเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง เราจะได้อะไรล่ะ นอกจากสิ่งที่มานิยามตัวเราเองมากยิ่งขึ้น เป็นวัฏจักรไม่มีจุดจบสิ้น

ก็เลยมาถึงประเด็นหนักๆ ของหนังเรื่องนี้กันล่ะครับ นั่นก็คือ “ความรู้” “ความจริง” และ “ความกลัว”

เพื่อให้เห็นความแรงของเรื่องนี้ชัดขึ้น เรามาดูประเด็นรองลงมาก่อน (ซึ่งหลายคนมองเป็นประเด็นหลัก เพราะมันเห็นได้ชัดเจนตลอดเรื่อง) นั่นก็คือ “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” หรือที่ในเรื่องบอกตลอดเวลาว่า “มันมีลำดับตามธรรมชาติ สิ่งที่อ่อนแอกว่า ก็จะถูกสิ่งที่แข็งแรงกว่ากินเป็นอาหาร” หรือ ห่วงโซ่อาหาร ความสัมพันธ์แบบ ผู้ล่า-เหยื่อ (Predator-Prey) อะไรทำนองนี้

หนังเรื่องนี้ชี้ให้เห็นแบบชัดเจนมากในเรื่องนี้ … และเป็นการสะท้อนที่แรงมาก เพราะอะไรหรือ ลองสังเกตอะไรบางอย่างดูไหมล่ะครับ

  • เรื่องมนุษย์กินคน ที่เป็น “ผู้ล่า-เหยื่อ” ชัดเจนมาก เรียกว่า เหยื่อจะรู้ตัวเองว่าเป็นเหยื่อ จะกลัวผู้ล่า หนีผู้ล่า และไม่กล้าสู้กับผู้ล่าของมันเด็ดขาด
  • เรื่องการค้าทาส ที่เริ่มเปลี่ยนเป็น Master-Slave มากกว่า “ผู้ล่า-เหยื่อ” นะ และเครื่องมือเริ่มเปลี่ยนจาก “ดาบ มีด กำลัง” มาเป็น “การปลูกฝังความเชื่อ” รวมถึง “ความสบาย” มากขึ้น แต่ก็แน่นอนว่ายังมี “ปืน แส้” เป็นองค์ประกอบด้วย
  • เรื่องนาย-บ่าว ผู้ช่วยทำงานล่ะ ความสัมพันธ์นี้ก็พัฒนาไปอีกขั้น เครื่องมือไม่ใช่กำลังอีกต่อไป แต่กลายเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรมยิ่งขึ้น เช่น “สถานะทางสังคม” และ “ชื่อเสียง” แต่แน่นอนว่า “ความรู้” ก็ยังเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจน การเป็น Master-Slave มาจากความสมยอมในบริบทสังคม เพื่อสิ่งที่เป็นนามธรรมมากยิ่งขึ้น มากกว่าความจำยอมด้วยลำดับตามธรรมชาติ (ของผู้ล่ากับเหยื่อ)
  • เรื่องต่อมา ยิ่งเป็นนามธรรมมากขึ้น และแรงมากขึ้น ก็คือยุคที่คนส่วนมาก กลายเป็น “เหยื่อ” โดยที่ไม่รู้ตัว จากข้อมูลข่าวสาร จากการผูกขาดการค้า คนส่วนมาก อยู่ในภาวะจำยอมจากผลของปลาตัวใหญ่ๆ ที่เล่นเรื่องผลประโยชน์จากพลังงาน ลองมองรอบตัวเราในปัจจุบันสิ ว่าเราเป็น “เหยื่อ” ของอะไรบ้าง ที่ส่งบิลมาเก็บเงินเราแต่ละเดือน จริงหรือไม่ล่ะ (นึกถึงเรื่อง 3G กับผลประโยชน์ของอะไรไม่รู้ ที่เอาประเทศชาติเป็นตัวประกันบ้างหรือเปล่าไม่รู้)
  • เรื่องสุดท้าย ที่แรงมาก ก็คือ “การสร้างคนขึ้นมาเพื่อเป็นเหยื่อ” และ ​”ปลูกฝังความรู้และความเชื่อ”

เรื่องสุดท้ายสะท้อนแรงจนคงต้องเขียนย่อหน้าใหม่กันเลยทีเดียว … เพราะทุกวันนี้ …​ มันก็เป็นแบบนั้น

“ซอนมี-451” คนที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเหยื่อของระบบที่ใหญ่กว่านั้น ที่ถูกปลูกฝังให้เชื่อว่าการก้าวไปทีละขั้นๆ ในระบบที่ถูกกำหนดไว้ดีแล้วนั้น เป็นเส้นทางสู่อะไรสักอย่าง (การถึงที่หมายละกัน) แต่แท้จริงแล้ว “ที่หมาย” ท่ีว่านี้คืออะไรหรือ ก็คือการเป็น “อาหาร” ให้กับคนอื่นในระบบน่ะแหละ

ภาพซ้อนจากหนังเรื่อง The Matrix ตอนที่ Morpheus ทำให้ Neo ตื่นขึ้นมาเห็น “ไร่พลังงานมนุษย์” โผล่ขึ้นมาในหัวผมเลยทีเดียว และถึงกับขนลุกเมื่อผมเห็นฉากสุดท้ายของระบบนั้น … ผมเดินออกจากโรงหนัง นึกถึงระบบที่มีในบ้านเราหลายต่อหลายระบบ ไม่ว่าจะเป็นระบบอำนาจ ระบบการศึกษา หรือระบบอะไรก็ตาม .. สิ่งที่ผมอ่านจากหนังสือหลายต่อหลายเล่ม ถล่มลงมาในที่เดียวกันหมดเป็นภาพเดียวกันหมดตรงนั้น….

ใช่ครับ เรากำลังอยู่ในระบบแบบนั้นน่ะแหละ เราถูกสร้างขึ้นมาให้เชื่อในระบบและโครงสร้างแบบนั้น โดยที่เราไม่เคยตั้งคำถามอะไรกับมันเลยด้วยซ้ำ ทีละขั้น ทีละขั้น ที่เราถูกใส่ Serial Number ที่สะท้อนกระบวนการผลิต (เช่นรหัสนักศึกษา) ออกมาเพื่อให้เรากลายเป็นอาหารของสิ่งที่ใหญ่กว่าเราอย่างเต็มใจ (เราเดินร้องเพลงอย่างเต็มใจเพื่อไปเข้าโรงเชือดให้เป็นอาหาร)

วิวัฒนาการของกระบวนการอะไรก็ตาม มักจะลงเอยด้วยการ Industrialize หรือการ Mass Produce ตั้งแต่ยุคของการทำการเกษตร ที่มาแทนการเก็บของป่าและการล่าสัตว์ จนมาถึงปัจจุบันที่เราผลิตคน และสร้างคนขึ้นมาตามกระบวนการอะไรบางอย่าง ปลูกฝัง “อาหารสมอง” บ่มเพาะด้วย “ความรู้” และ “ความเชื่อ” อะไรบางอย่าง เพื่อให้คนเหล่านั้นเป็นเหยื่อและเป็นทาสของระบบ ที่ทำให้ระบบนี้มันอยู่ต่อไปได้

และเครื่องมือที่สำคัญที่สุด ที่ใช้มาทุกยุค ก็คือ “ความกลัว”

ความกลัว ถูกสร้างได้หลายรูปแบบจากผู้ที่มีอำนาจ ผู้ที่เป็นผู้ล่า กับเหยื่อของตัวเอง (ครั้งหนึ่งผมเคยเจอกับพระป่าที่ไม่กลัวเสือ และท่านสอนผมว่า “ลูกเอ๋ย มีแต่เหยื่อของเสือเท่านั้นแหละ ที่กลัวเสือ”) ไม่ว่าจะเป็นจากการเขียนหน้าเขียนตาให้น่ากลัว การใช้กำลัง ดาบ ปืน อาวุธต่างๆ จนมาเป็นเครื่องมือที่เป็นนามธรรมมากยิ่งขึ้น เช่น ชื่อเสียง สถานะทางสังคม ข่าวสาร สื่อ หรือแม้กระทั่งความกลัวที่จะหนีจากชีวิตหนึ่งไปยังอีกชีวิตหนึ่ง ที่อันที่จริงมันอาจเป็นเพียงประตูบานหนึ่งก็ได้ และเมื่อถึงจุดๆ หนึ่งเครื่องมือที่ว่านี้ก็จะวิวัฒนาการเป็น “มโนภาพ” ของ “สิ่งที่ได้รับการปลูกฝังมา” ให้ทุกคน “เหมือนกันหมด” … “ความแตกต่าง คือ ความกลัว”

นี่คือสิ่งที่แรงที่สุดที่ผมเห็นจากหนังเรื่องนี้:

ถ้า “ชีวิตไม่ใช่ของเรา ตั้งแต่เกิดจนตาย เราคือสิ่งที่ถูกกำหนดและนิยามขึ้นมาจากทุกอย่างรอบตัวเรา” แล้ว “เราคืออะไร?” .. เราทุกคนถูกสร้างขึ้นมา เพื่อเป็นเหยื่อ เป็นอาหาร ให้กับระบบที่เราสร้างขึ้นมาเอง ระบบที่มีปลาใหญ่ ระบบที่มีคนที่เหนือกว่าเรา ระบบที่เราจะอยู่ในภาวะจำยอมกับการที่เป็นแบบนี้ ผ่านความรู้ ความเชื่อ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราถูกปลูกฝังมาตลอดชีวิต ตั้งแต่เกิด จนตาย และเราก็กลัว ที่จะก้าวเท้าออกจากมันแม้แต่เพียงก้าวเดียว

สิ่งเดียวที่จะต่อสู้กับความกลัวได้ ก็คือ “ความจริง” ซึ่งในหนังเรื่องนี้จะเห็นว่าจะมีตัวละครตัวหนึ่ง ที่มีหน้าที่ “รักษาความกลัว” โดยการไม่ให้คนเข้าถึง “ความจริง” อยู่ตลอดเวลา ด้วยวิธีการต่างๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ที่ปลูกฝังกันมาให้เชื่อตามๆ กัน การฆ่านักข่าว … และสุดท้าย “การกำจัดความต่าง”

ทำไมน่ะหรือ … เพราะสุดท้ายแล้ววิวัฒนาการของระบบมันจะพาเราไปหาจุดที่เครื่องมือทุกอย่างเป็นนามธรรม เป็นเพียงภาพลวงตาที่มันจริงในมโนภาพของเราเท่านั้น การที่มี “คนที่แตกต่าง” ขึ้นมาเพียงคนหนึ่ง อาจจะทำให้ระบบที่สร้างไว้ทั้งหมดพังทลาย เพราะการที่ต่างได้ จะเป็นผลโดยตรงกับ “ความเชื่อ” ทั้งหลายที่ถูกปลูกฝังและสะสมมา ดังนั้น “การกำจัดความต่าง”​ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นในการรักษาระบบ

แล้วเราจะทำอะไรกันล่ะ เมื่อเราอยู่ในระบบแบบนี้ เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเรามันเป็นระบบแบบนี้? ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเราเหมือนกับจะเป็น The Matrix เล็กๆ อยู่เต็มไปหมด และมีคนที่เหมือนกับเป็นสาวเสื้อแดง ที่พร้อมจะเปลี่ยนตัวเองเป็นผู้ปกป้องระบบ เพราะระบบทำให้เขามีตัวตนอยู่ได้เต็มไปหมด

คำตอบมีอยู่เต็มไปหมดในหนังเรื่องนี้คือ ตั้งแต่ Tagline ที่ว่า “Everything is Connected” หรือทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวข้องกันหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กเรื่องน้อยแค่ไหนก็ตาม ใครจะไปคิด ว่าเรื่องเล็กน้อยที่คนๆ หนึ่งทำ เช่น ละครชีวิตตัวเอง จะกลายมาเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการปฏิวัติทางความเชื่อในอนาคตกันไกลโพ้นได้ และการปฏิวัติทางความเชื่อนั้นๆ แม้ว่าจะจบลงด้วย “การกำจัดความต่าง” แต่เมล็ดของความเชื่อใหม่ ก็ถูกส่งกระจายออกไปยังที่ต่างๆ เรียบร้อยแล้ว จนกระทั่งกลายเป็นความเชื่อใหม่ในอนาคตที่ไกลโพ้นออกไปอีก

อนาคตมันเป็นเพียง “ผล” ของทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ ในลักษณะ Collective ไม่เพียงแค่คนๆ เดียวคนใดคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนที่เราทำ ทั้งสิ่งดี สิ่งไม่ดี สิ่งที่เราไม่ได้ทำ ทุกสิ่งทุกอย่างที่สะสมมา .. แม้ว่าสิ่งที่เราทำจะเป็น หยดน้ำในมหาสมุทร” แต่ “มหาสมุทรคืออะไรเล่า ถ้าไม่ใช่หยดน้ำมหาศาลรวมกัน”

ไม่มีอะไรที่สูญเปล่าและไม่มีอะไรที่ตาย การกลับมาเกิดใหม่เป็นไปได้เสมอ แม้จะไม่ใช่การกลับมาเกิดใหม่ในแบบที่หลายคนคิด (คนนี้ตายกลับมาเกิดใหม่เป็นคนนั้น) แต่เป็นการกลับมาเกิดใหม่ของ “ความคิด” การกลับมาเกิดใหม่ของ “ความเชื่อ” การกลับมาเกิดใหม่ของ “วิญญาณ” ผ่านการกระทำและสิ่งที่ถูกบันทึกไว้ ได้รับการถ่ายทอดและปลูกฝังลงไปใหม่เป็นเมล็ดความคิดให้กับอีกคนหนึ่ง อีกที่หนึ่ง อีกเวลาหนึ่ง

แต่ว่า … สุดท้ายมันก็นำมาซึ่งระบบอีกระบบหนึ่ง … นั่นเอง

ป.ล. มีคนถามว่าทำไมจึงเป็นชื่อ Cloud Atlas … ตอนแรกที่ผมดู ผมคิดว่ามันคือ “แผนที่ของเมฆ” ที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตามกาลเวลา แล้วแต่เราจะตีความว่าเป็นรูปอะไร แต่เมื่อผมดูจบแล้ว ผมรู้สึกว่า “เป็นไปไม่ได้” มันน่าจะมีความหมายอย่างอื่นแน่นอน ก็เลยมาค้น Google ดู … ใช่สิ Atlas คือเทพตามตำนานกรีกที่ถูกสั่งจากคนที่มีอำนาจเหนือกว่า ให้แบกโลกไว้บนบ่า … จะหมายความว่าอย่างไรดีล่ะ … ถ้าสิ่งที่พวกเราต้องแบกไว้บนบ่า คือ มโนภาพที่จับต้องไม่ได้ ทะลุได้ทั้งหมด แต่เมื่อมองไกลๆ มันดูเหมือนมีรูปร่าง มีตัวตน ยิ่งใหญ่ และน่ากลัว (เวลาพายุกำลังตั้งเค้า) … เช่นเดียวกับ “เมฆ” (Cloud)

รู้สึกยังไงกันบ้างล่ะครับกับ “มโนภาพที่ไร้ตัวตน ที่แบกไว้อย่างหนักอึ้งอยู่บนบ่า”? ลองดูใน “วันที่ไม่มีเมฆ” สิครับ ว่า “ฟ้าสวยแค่ไหน” และเรารู้สึกว่า “เป็นอิสระ” แค่ไหน (และนี่คืออีกเรื่องหนึ่งที่มีการเล่นประเด็นในหนังเรื่องนี้ตลอดเวลา)

Myth: Basic & Easy ..​เรื่องง่าย ที่มักเข้าใจผิด

เรื่องหนึ่งที่ผมพูดบ่อยมาก ก็คือ “พื้นฐาน (Basic) ไม่ง่าย” ซึ่งสวนกับความเข้าใจหรือความคิดโดยทั่วไปของคนส่วนมาก (เท่าที่รู้จัก) ว่า “Basic = ง่าย” และ “Advance = ยาก”

ทำไมเป็นงั้นล่ะ? พื้นฐานน่าจะเป็นเรื่องง่ายๆ ใครๆ ก็ต้องทำได้ ส่วนเรื่องระดับสูง น่าจะยากกว่า เพราะอย่างน้อยมันต้องต่อยอดจากพื้นฐานไม่ใช่เหรอ?

อันที่จริงแล้ว “พื้นฐาน” ที่ดี จะเป็น “การรู้” เกี่ยวกับ “อะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ ทำไม” หรือ What, Where, When, Why มากกว่า “อย่างไร” หรือ How ซึ่ง “การรู้” นี้จะได้มาจาก “การลงมือทำ โดยรู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่” ไม่ใช่เพียงแค่ “ลงมือทำ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์” นั่นคือ

“การลงมือทำ ในระดับพื้นฐานนั้น ผลลัพธ์ที่ได้และควรใส่ใจ คือ การรู้ว่าอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ และทำไม ไม่ต้องสนใจผลลัพธ์อย่างอื่นของมัน”

ยกตัวอย่างเช่น เรื่อง “Differential Calculus” ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับนักเรียนนักศึกษาส่วนมาก หลายคนมองว่า d(x^2)/dx = 2x เป็นท่าพื้นฐานที่ใครๆ ก็ต้องทำได้ และแบบฝึกหัด d(2x^3)/dx จะสนใจว่าได้คำตอบเท่าไหร่ … ซึ่งเป็นการศึกษาพื้นฐานที่ผิดวิธีมากๆ

เพราะเรื่องพื้นฐานจริงๆ นั้น จะต้องสนใจ “นิยาม” ของ Differential Calculus ว่าเครื่องมือที่ใช้ในการมองอะไรอย่างไร เช่นเราจะมองผลของการเปลี่ยนแปลงของอะไรเมื่ออะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นจะเล็กน้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ก็จะมีผลอย่างไรบ้าง เป็นฟังก์ชั่นที่กระทำกับฟังก์ชั่นได้ผลลัพธ์เป็นฟังก์ชั่น ไม่ใช่กระทำกับค่า (Value) และอื่นๆ อีกมากมายไม่ใช่แค่นี้ และแบบฝึกหัด d(2x^3)/dx ก็ไม่ต้องสนใจว่ามันจะตอบว่า 6x^2 เท่ากับที่จะต้องสนใจว่า “เห็นหรือเปล่า ว่า 2x^3 เป็นฟังก์ชั่นของ x และ 6x^2 ก็เป็นฟังก์ชั่นของ x เมื่อดูการเปลี่ยนของฟังก์ชั่นของ x ตัวหนึ่ง (ฟังก์ชั่นเหตุ) ว่าเมื่อ x เปลี่ยนไปเล็กน้อยที่สุดเท่าที่มันเป็นไปได้ แล้วผลของมันจะเปลี่ยนแปลงไปยังไง (ฟังก์ชั่นผล)”

เห็นอะไรหรือเปล่าครับ นี่ผมยังพูดถึงพื้นฐานของ Differential Calculus ในเชิง What, Where, When, Why ไม่หมดเลยนะครับ ยังเหลืออีกเยอะ นี่คือ “เปลือก” ของพื้นฐานเท่านั้นเอง

ลองดูปริมาณบรรทัดที่ใช้ในคำอธิบาย ลองดูสิ่งที่อธิบายออกมาเป็นพื้นฐาน เทียบกับสิ่งที่หลายคนคิดว่าเป็นพื้นฐาน d(2x^3)/dx = 6x^2 ว่ามันต่างกันเยอะแค่ไหน

ประเด็นสำคัญก็คือ พื้นฐาน เป็นเรื่องของความเข้าใจ ที่จะต้องลึกขึ้นเรื่อยๆ ตามการกระทำจริง ที่ทำแล้วได้ความเข้าใจพื้นฐานเพิ่มเติม ซึ่งก็คือผลลัพธ์ในเชิงความเข้าใจ (อะไรคือ Calculus มันคือเครื่องมือที่ใช้อะไรเป็น Input และให้อะไรเป็น Output และเราจะใช้มันกับโลกรอบๆ ตัวได้ยังไง) ไม่ใช่ผลลัพธ์จากเทคนิค (6x^2)

ดังนั้น ในการศึกษาพื้นฐานหลายต่อหลายครั้ง จำเป็นที่จะต้องมี “ตัวอย่างเชิงเทคนิคที่ง่าย” หรือตัวอย่างที่ไม่เน้นการใช้ How เพราะตัวอย่างที่ง่ายและไม่ซับซ้อนนั้น จะทำให้เราชี้ถึงประเด็นของ What, Where, When, Why ได้ง่ายกว่าตัวอย่างที่ซับซ้อน ที่จะทำให้หลงไปในเทคนิคของวิธีการได้ง่าย

แต่อนิจจา …. สำหรับบ้านเรา ที่เน้นผลลัพธ์ที่จับต้องได้ (6x^2) มากยิ่งกว่าอะไรทั้งปวง รวมถึงผลลัพธ์เชิงความเข้าใจ (อะไรคือ Calculus ฯลฯ) นั้น การสนใจแต่ “ทำอย่างไร” กลายเป็นเพียงจุดเดียวที่สนใจ และหลายต่อหลายคนก็พยายามหาสูตรลัดหรือทางลัดไปยังคำตอบของวิธีการ สนใจแต่เรื่อง How และเทคนิคการได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่จับต้องได้ … ดังนั้นจึงกลายเป็นว่า “พื้นฐานเป็นของง่าย” ไม่ใช่เพราะมันง่ายนะ แต่เป็นเพราะว่า “มันใช้ How ง่ายๆ”

คำพูดติดปากผมในช่วงหลังๆ ก็คือ

มันไม่มีอะไรยากหรอก ถ้าคุณคิดว่ามันยาก “ก็เพราะว่าคุณไม่มีพื้นฐานมากพอที่จะทำให้มันง่าย”

และ

สิ่งที่ยากที่สุด คือ “พื้นฐาน”

ยิ่งศึกษาอะไรที่มันระดับสูงขึ้นไปเท่าไหร่ โดยไม่ใช่แค่สักแต่จะทำให้มันได้ผลลัพธ์ที่จับต้องได้ แต่เพื่อให้ได้ผลที่ใหญ่กว่านั้น คือความเข้าใจถึงสิ่งนั้นๆ ที่ลึกยิ่งขึ้น มองเห็นมันมากขึ้น จับต้องมันได้ในมโนภาพและจินตนาการมากขึ้น มันจะยิ่งส่งผลกลับไปยังพื้นฐานมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

ที่สำคัญมาก …

พื้นฐานที่ดี จะต้องชัดเจน ไม่คลุมเครือ และมักจะเรียบง่ายกว่าความซับซ้อนเชิงเทคนิคต่างๆ ที่เรามองเห็น

ทั้งนี้ผมจะต้องขอสร้างความชัดเจน 1 จุดตรงนี้ คือ

“เรียบง่าย = Simple” นะ ไม่ใช่ “ง่าย = Easy”

คำว่า “เรียบง่าย” เป็นคำๆ เดียว แยกไม่ได้ ไม่ใช่ Easy นะ คนละเรื่อง คนละเรื่อง และคนละเรื่อง … การจะมองหาและทำความเข้าใจอะไรให้เรียบง่าย เป็นเรื่องที่ยากมาก และต้องมีพื้นฐานที่ดีมาก ถึงจะฉีกหน้ากากของความซับซ้อนเชิงเทคนิค มองทะลุฉากหน้าทั้งหลายทั้งแหล่ลงไปได้

ถึงผมจะยก Calculus มาเป็นตัวอย่าง แต่ทุกอย่างมันก็เข้าข่ายแบบนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาดนตรี การเขียนโปรแกรม การเล่นกีฬา การศึกษาวิทยาศาสตร์หรือปรัชญา การศึกษาสังคม ฯลฯ

ป.ล. ฝากไว้ตรงนี้นิดหน่อย: “หนังสือ iOS Application Development ฉบับ Remake Edition สำหรับ iOS 6 SDK ที่ผมกำลังเขียนอยู่นั้น เป็นหนังสือ ‘พื้นฐาน’ มากๆ และแน่นอนว่า ‘มันไม่ใช่หนังสือที่ง่าย’ (Know-How อาจจะง่าย แต่ Know What, Where, When, Why หนักมากแน่นอน)”