>> Good Math, Bad Math : Fractal Dust and Noise

Good Math, Bad Math : Fractal Dust and Noise:

ไปเจอมา เป็นเรื่องเกี่ยวกับ Fractals กับเรื่องธรรมชาติของ Noise แล้วก็ Dust ที่เกี่ยวข้องกับ Information Theory (Shannon’s Information) อืมมม ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรสำหรับผมนะ เพราะว่ารู้อยู่แล้วว่าธรรมชาติของ Noise ใน communication channel มันเป็น Fractals อยู่แล้ว

สำหรับตัวอย่างที่เค้าให้มาก็ obvious พอสมควร ลองอ่านและทำความเข้าใจดู สำหรับผมนะ มันไม่น่าแปลกใจหรอก เพราะว่าธรรมชาติมีอะไรที่เป็น Fractals เยอะ เรื่อง Self-similarity และ Fine structure หรือว่าเรื่องของ Fractional dimensions ของสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่รอบตัว อะไรแบบ

ไว้วันหลัง (อีกล่ะ) ผมคงจะมีเวลาเขียนถึงเรื่องแบบนี้บ้าง โดยเฉพาะเรื่อง Chaos Theory, Information Theory, Fractals เนี่ย อยากหาเวลาเขียนบทความแนว Popular Science ถึงพวกมันบ้างจัง

ตอนนี้อ่านนี่ไปก่อนนะครับ

Good Math, Bad Math: An Introduction to Fractals

Anynomous Coward

จะบ้าตาย กับพวกไม่ออกชื่อ ไร้เสียง ชอบทำตัวเป็นคนดี หวังดี กับอะไรหลายๆ อย่าง หรือว่าพวกที่ชอบส่งข้อความ สร้างเรื่อง หรือว่าอะไรก็แล้วแต่ที่จะนึกออก

สุดแสนจะเหนื่อยหน่าย

Review: Harry Potter and the Order of the Phoenix

จากหนังสือที่ยาวที่สุด กลายมาเป็นหนังที่สั้นที่สุด ที่หลายคนบ่นอุบ ว่าฉากโน้นฉากนี้โดนตัด ว่าไม่สนุกเท่ากับภาคอื่นๆ ที่ผ่านมา ฯลฯ แต่ว่าใครจะว่ายังไงไม่รู้ ผมว่าแบบนี้นะ

  • + สำหรับผมแล้ว นี่คือภาคที่สนุกที่สุด การดำเนินเรื่องทำได้ฉับไว มีน้ำหนัก มีอารมณ์ร่วม
  • = ต้องเข้าใจด้วยว่า ภาคนี้อาจจะถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนจุดหนึ่งของชีวิต Harry จากการเป็นเด็กเข้าสู่ช่วงของการเป็นผู้ใหญ่ นั่นคือข้อความที่ระบุไว้ชัดเจน จากภาคีฯ ว่า Harry ไม่ใช่เด็กแล้ว ซึ่งได้รับการตอบรับว่า แต่ว่าก็ไม่ใช่ผู้ใหญ่เช่นกัน
  • = ดังนั้นเรื่องความสนุกสนานแบบวัยเด็ก ที่กำลังจะผ่านพ้นไปและพบกับมรสุมของการเป็นผู้ใหญ่ กำลังจะเข้ามา ลองนึกถึงชีวิตตัวเองดู ว่ามันสนุกหรือเปล่า ในตอนที่ตัวเองกำลังอยู่ในวัยแบบนั้น
  • = (นอกเรื่อง) แต่ว่าทั้งนี้ อย่าไปดูช่วงอายุนะ โดยความเห็นส่วนตัวผมเชื่อว่าเป็นเรื่องวุฒิภาวะของจิตใจและความรับผิดชอบ มากกว่าอายุ เจอมาเยอะ พวกที่อายุ 20 กว่าๆ ปลายๆ หรือว่่า 30 ต้นๆ หรือว่ามากกว่านั้น ที่ไม่ค่อยจะมีวุฒิภาวะเท่าไหร่ แต่ว่าเรื่องนี้ช่างมันเถอะ กลับเข้าเรื่องหนังดีกว่า
  • + ภาคนี้ด่าเรื่องการศึกษาได้ “สะใจ” ที่สุดเลยล่ะ ไอ้ที่ว่าให้เรียนแต่ทฤษฎีในตำรา ไม่ต้องเอามาปฏิบัติจริงเนี่ย เพราะว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นมาการศึกษาหลายแห่งในโลก ซึ่งในหนังยังกัดอีกว่า เรียนแค่นี้ก็เพียงพอสำหรับ “ผ่านการสอบ (ข้อเขียน) แล้ว” ซึ่งพวกเด็กๆ พวกหนึ่งก็ไม่เห็นด้วยและไปฝึกหัดเวทมนต์กันจริงๆ
  • + ตอนที่ Harry พูดกับพวกที่จะเป็นกองทัพ Dumbledore ก็ดีนะ เรื่องที่ว่า การผิดพลาดในโรงเรียน (ในตอนฝึกหัด) น่ะ มันยังมีพรุ่งนี้ให้คุณกลับไปลองทำอีกได้ อีกกี่ครั้งก็ได้ แต่ว่าในชีวิตจริง ในสถานการณ์ที่จะต้องเลือกระหว่างความเป็นกับความตาย กับตัวเองและคนอื่น กับความกดดันต่างๆ จะมีกี่คนที่ handle มันได้จริง
  • + ซึ่งเราจะได้เห็นว่าหลังจากที่อาจารย์ Harry lecture เสร็จแล้ว ก็จับฝึกกันเลย โดยที่แต่ละคนจะต้องลงมือเอง ทำได้เองและล้มเหลวเอง ลุกขึ้นจากการที่ตัวเองล้มเอง และประสบความสำเร็จเอง ซึ่งตอนจบ ตอนฉากที่ department of mystery ที่ห้องเก็บลูกแก้วพยากรณ์ จะเห็นได้ว่า สถานการณ์จริง ไม่มักไม่ค่อยจะใจดีให้เราพลาดได้เท่าไหร่นักหรอกนะ มันคือ live and dead มากกว่า
  • = มาถึงตอนนี้ผมอยากจะบอกนักศึกษาทุกคนเหลือเกินนะ ว่า

ยอมล้ม ยอมหัด ยอมทดลอง ยอมเป็นคนโง่ ตอนที่เรียนอยู่เถอะนะน้อง วันนี้น้องยังล้มได้ ยังมีพรุ่งนี้ให้ลุกได้ แต่ว่าถ้าไม่ยอมผิดไม่ยอมพลาด คิดว่าทำครั้งแรกต้องได้หมด ผิดหรือว่าคิดว่าทำไม่ได้ก็เลยไม่ลองทำ … หรือว่าอะไรก็แล้วแต่ ถ้ามันผ่านวันนี้ไปแล้ว ไปเจอความจริงของชีวิต มันไม่ใจดีกับเราแบบนี้หรอกนะ

  • + จริงๆ เวทมนต์ที่ผมชอบที่สุดคือ คาถาผู้พิทักษ์นะ เพราะว่ามันคือการนึกถึงสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขที่สุด สิ่งที่เราชอบที่สุด และแต่ละคนมีผู้พิทักษ์ต่างๆ กัน นั่นคืออะไรล่ะ ก็เวลาที่เรารู้สึกแย่ รู้สึกว่า “ความสุขทุกอย่างในโลกได้หายไปจากชีวิต” (แหม copy มาหมดเลยนะ) เนี่ย นึกถึงสิ่งที่ชอบที่สุด สิ่งที่ทำให้เรามีความสุขที่สุด ช่วงเวลาที่ดี มันเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตเราจากความสิ้นหวังทั้งปวง และผลที่ได้จากคาถา แต่ละคนต่างกันหมด ขึ้นกับตัวเอง ประสบการณ์ตัวเอง ทั้งนั้น
  • คิดว่าจะไม่พูดแล้วนะเรื่องความสวยความงามเนี่ย ….​ เกิดอะไรขึ้นกับ โช แชง ฟะ ไม่สวยเอาเสียเลย มีคนคิดแบบเดียวกับเราหลายคน เช่น mk (อีกล่ะ รีวิวหลังหมอนี่ทุกที :-P) ตอนภาคที่แล้วยังน่ารักมากๆ อยู่เลย เกิดอะไรขึ้นฟะเนี่ย
  • + ป้าคนที่เล่นเป็น Dolores Umbridge เจ๋งมาก ตีบทแตกกระจุยกระจาย คนที่เล่นเป็น Luna Lovegood ก็ถือว่าดีนะ ก็ JKR บอกเองว่าเธอเป็น Perfect Luna เลยนะเนี่ย
  • = หลายคนคงเห็นแล้วล่ะ ว่าโทนเรื่องมันมืดลงๆ เรื่อยๆ นับจากภาคแรก ซึ่งไม่แปลกอะไรถ้าจะนับว่ามันเป็น transition จากวันและวัยที่ทุกอย่างสดใส ไปหาวันที่มันเริ่มไม่เป็นเช่นนั้น
  • ฉากการตายกับ Sirius Black รู้สึกไปเองหรือเปล่า ว่ามันไม่ค่อยจะดึงอารมณ์ร่วมออกมาได้เท่าไหร่ หรือว่าผมอ่อนไหวน้อยไปเองหว่า เฉยๆ มากกับฉากนี้
  • + แต่ว่าการกำกับศิลป์ กับฉากอื่นๆ ถือว่าทำได้ดีไม่เลวเลยนะ ฉากตอนจบที่ department of mystery ค่อนข้างจะได้ใจพอควร
  • + เรื่องของทางเลือก เหมือนกับตอนที่เขียนรีวิว Spiderman 3 นะ ตอนที่ Sirius Black พูดกับ Harry ที่ว่า โลกมันไม่ได้แบ่งเป็นคนดีกับผู้เสพย์วิญญาณ​ (คนเลว) หรอกนะ ทุกคนมีดีมีเลวในตัวเอง สิ่งที่สำคัญก็คือการที่เราเลือกกระทำต่างหาก ซึ่งนั่นทำให้เราเป็นเรา
  • + อีกประเด็นหนึ่งเถอะนะเกี่ยวกับการศึกษา ที่ Harry พูดว่า พ่อมดที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ทุกคนก็เริ่มต้นด้วยการเป็นอะไรที่ไม่ได้มากกว่าเราตอนนี้ คือ “นักเรียน (นักศึกษา)” เนี่ยแหละ อันนี้ชอบมาก
  • Order of the Phoenix ไม่ค่อยมีบทบาทเลยแฮะ ท่าทาง (ในหนัง) จะเป็น secret society จริงๆ แฮะ ไม่รู้เรื่องเลยทำอะไรมั่ง มีบทบาทยังไงมั่ง น้อยมากๆ
  • = แต่ว่าจะว่าไป ก็เป็นเรื่องที่อาจจะเป็นปกติของหนัง series นี้อยู่แล้ว ที่ว่าจะเป็น Harry Potter and อะไรก็ช่างเถอะ มันจะเป็น focus/centric อยู่กับ Harry มากกว่าสิ่งที่มาหลัง and … ซึ่งก็ถือว่าเป็น choice เพราะว่าหนังมันไม่เหมือนหนังสือ เอามาทำให้ได้ทุกมุมมองทุกมิติเหมือนกันไม่ได้หรอก ต้องเลือกเอา (หรือไม่งั้นก็ทำมันแยกไปเลย เหมือนกับ Flag of Our Fathers กับ Letters from Iwo Jima)
  • ปิดท้ายด้วยเรื่องที่ไม่เรื่องสักอย่างเถอะ …​ เนื่องจากเปลี่ยนคนแต่งเพลงมั้ง (จากปรมาจารย์ John Williams) ทำให้ Film score ภาคนี้อ่อนกว่าภาคก่อนๆ อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งตรงนี้อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งด้วยมั้ง ที่ทำให้หลายฉากหลายครั้ง มันดึงอารมณ์ไม่ได้
  • = อ่อ แล้วก็อีกเรื่องนะ ด่า/แขวะการเมืองใช้ได้เลย อีกทั้งประเด็นการใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือทางการเมือง แล้วก็การแทรกแซงสถาบันการศึกษาด้วยนะเนี่ย :-P

น้องๆ ที่ไปดูหนังนะครับ ขอให้ได้ข้อคิดเกี่ยวกับการศึกษาของตัวเองด้วยผมจะดีใจมาก แทบทุกคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ครั้งหนึ่งเค้าก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าพวกคุณหรอก คือ เป็นนักเรียน นักศึกษา ที่ฝึก ที่หัด ที่ทำ ที่ล้ม ที่ลุก ที่เหลว ที่สำเร็จ ฯลฯ มามากมายในชีวิต ทำให้มีประสบการณ์จริงมาก เมื่อไปเจอบททดสอบจริงของชีวิต ที่มักไม่ใจดี และเป็น one-chance เท่านั้น เค้าเลยผ่านมันไปได้ ในขณะที่อีกหลายต่อหลายคน ที่ take it easy ตอนที่ยังเรียนอยู่ กลับต้องมาล้มเหลวกับมันในทีหลัง

ในฐานะหนัง เรื่องนี้สนุกมากกับผม ตรงที่มันให้ข้อคิดกับผมในฐานะนักการศึกษาคนหนึ่ง เนื้อหาในภาคนี้ ข้อความในภาคนี้ หลายอย่าง เนี่ยแหละ คือสิ่งที่ผมอยากจะบอกกับลูกศิษย์ทุกคน

My Rating: 9/10
IMDB Rating: 7.8/10
(30,595 votes)

Review: Die Hard 4.0

ไปๆ มาๆ จะกลายเป็น blog รีวิวหนังไปซะแล้วหรือเปล่าเนี่ย แต่ว่าช่างมันเถอะ ดูๆ สะสมกันไว้นาน ไม่ได้เขียนซะที เอาเป็นว่าไล่ๆ เขียนมันไปให้หมดๆ ก่อนละกันนะ

ภาค 4 (และอาจจะเป็นภาคสุดท้าย?) ของหนัง series เรื่องหนึ่งที่ขาดตอนไปนานเอาการทีเดียว (ภาค 1 เมื่อ 1988, 2 เมื่อ 1990 และ 3 เมื่อ 1995) ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่ได้ดู Die Hard ภาคแรกนะ แต่เค้าว่ากันว่าภาค 2, 3 นี่สู้ภาคแรกไม่ได้ (แต่ว่าก็ไม่ได้ห่วยเท่าไหร่ จาก rating ใน IMDB นะ) เอาเป็นว่าเรื่องนั้นผมไม่พูดถึงละกัน มาดูภาคนี้กันดีกว่า

  • + โทนหนังเปลี่ยนไปจากภาคก่อนๆ นะ คือ threat ของโลกปัจจุบันมันเปลี่ยนไป อะไรๆ เดี๋ยวนี้มันก็ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์หมด อีกอย่างคอมพิวเตอร์มันก็เชื่อมต่อกันหมด ฮาร์ดแวร์กลายเป็นสิ่งที่ irrelevant และ invisible มากขึ้นทุกที เหมือนกับที่ Steve Jobs เคยบอกไว้ว่า “It’s Software, Stupid!” ….. (นึกถึง Terminator 3 หน่อยนะ)
  • + ทีนี้ วายร้ายก็เลยต้องเปลี่ยนไป กลายเป็น Thomas Gabriel (Timothy Olyphant), Hacker อัจฉริยะ (ย้ำ Hacker นะ ไม่ใช่ Cracker ใครสงสัยว่ามันต่างกันยังไง รบกวนหา Hacker Culture, Jargon File หรือว่าอะไรพวกนี้อ่านๆ ดู) ที่กลายมาทำตัวเป็น Cracker ก่อ Cyber-Terrorism เสียเอง แล้วก็ค่อนข้างที่จะ cool เสียด้วย คือเป็นผู้ร้ายที่มีสมองเป็นหลักจริงๆ แต่ว่า “น่าสะพรึงกลัว” เอาเรื่องทีเดียว
  • + ใครเป็นพวก geek น่าจะชอบภาคนี้ได้ไม่ยากนะ เพราะว่ามันมี reference ถึงอะไรๆ ที่ geekๆ เยอะเหมือนกัน แล้วก็พวก geek ในเรื่องนี้มันค่อนข้างที่จะ real พอควร (ไม่เหมือนกับในเรื่อง Antitrust นะ เรื่องนั้นมัน “สะอาด” และ “สำอาง” เกินไป สำหรับพวก geek โดยทั่วไป)
  • + แค่ฉากเข้าไปใน apartment ของ Matt Farrell ก็ได้ใจแล้ว ของเล่น geek เยอะมาก ไม่พอ ยังเอา Justin Long (Mac ใน I’m a Mac and I’m a PC ของ Apple) มาเล่นอีก หมอนี่ใช้ได้ เล่น OK เลย แล้วก็ “Command Center” ขอเจ้าอ้วน Freddy อีก อยากได้หุ่น Boba Fett ตัวโตๆ แบบนั้นบ้าง (จะดีกว่าถ้าเป็น Vader)
  • แต่ว่ามาถึงรายละเอียดเนีี่ย มีอะไรหลายอย่างที่มันไม่น่าให้อภัยนะ (เช่นหมายเลข IP ของเครื่อง อะไรหลายๆ อย่าง) แต่ว่าช่างมันเถอะ คงมี population แค่กระหยิบมือบนโลกที่ดูตรงนั้นรู้เรื่อง แล้วก็พวกรายละเอียดของเครื่องบิน ของ geography อะไรหลายๆ อย่างที่มันไม่ค่อยจะ make sense หรือว่าสมจริงน่ะ (โดยเฉพาะเรื่อง geography เนี่ย เยอะมาก แต่ว่านะ เอาอะไร หนัง ไม่ใช่สารคดี)
  • ตกม้าตายมั้ยเนี่ย ตอน start รถน่ะ ไหนบอกว่า communication network มันล่มหมดไง แล้วติดต่อ telecom ผ่านระบบไหนล่ะนั่นน่ะ ไม่พอนะ ไหนบอกว่าเครื่องบินถูก ground หมดไง แล้วตอนที่ไฟดับ ภาพตัดไปที่สนามบิน ไหงมีเครื่องบินขึ้นได้ฟะ เออ ช่างมันเถอะ เอาแค่นี้แหละ ;-)
  • 500 TB เนี่ย ดูเหมือนจะเยอะนะ แต่ว่ามันพอเหรอ(ฟะ) สำหรับข้อมูล financial ทั้งหมดของสหรัฐอเมริกาเนี่ย อีกอย่างนะ มัน download ผ่านอะไรวะ ทำไมมันเร็วจัง :-P
  • = รู้สึกว่าเราจะเริ่มให้ กับอะไรที่มันเป็น error แบบ geekๆ มากไปแฮะ กลับมาที่หนังดีกว่านะ
  • + เรื่องนี้ก็ยังเป็นคนธรรมดา ในสถานการณ์ไม่ธรรมดา เช่นเคย และทั้ง Willis ทั้ง Long ก็เล่นในบทบาทนั้น ให้ความรู้สึกแบบนั้น ได้ดีมากเลยทีเดียว ผมชอบนะตอนที่ทั้งสองคนนั่งคุยกันในรถ เรื่องการเป็น Hero ….​ ชอบตอนที่ Willis (McClane) สรุปว่า “เพราะว่าไม่มีใครคนอื่นทำน่ะสิ” เพราะว่าผมมักจะพูดว่า ที่เราต้องทำอะไรๆ หลายอย่างที่เราทำอยู่ตอนนี้ ไม่ใช่เพราะว่าตัวเองเก่ง หรือว่าเป็นคนดี หรือว่าอะไรทั้งนั้น ตรงข้าม ผมไม่ใช่คนเก่ง ไม่ใช่คนดี ไม่ได้เป็นฮีโร่และไม่ได้อยากเป็นอะไรทั้งนั้น เพียงแต่ว่า “มันไม่มีคนทำน่ะสิ” คนธรรมดาๆ คนหนึ่ง ก็เลยต้องทำอะไรอย่างที่เค้ากำลังทำอยู่ ประโยคนี้ได้ใจมาก
  • = ชอบ Maggie Q แฮะ เรื่องนี้ ปกติเฉยๆ กับเค้านะ หมวยธรรมดาๆ หน้าจืดๆ เฉยๆ เหมือนจะง่วงนอนตลอดเวลา แต่ว่าเรื่องนี้พอมาเล่นบทนี้แล้ว เออ ใช้ได้ นิ่งดี cool ดี
  • เข้าใจว่าเป็นเรื่องการตลาดนะ อยากจะให้หนังมัน rating ความรุนแรงลดลง ทำให้นี่เป็น Die Hard ภาคแรกที่ไม่ได้ rating “R” แต่ว่ามันทำให้ McClane ไม่ได้สบถวาทะเด็ดประจำตัว แต่ว่าที่ผมให้ติดลบ ก็เพราะว่าการใช้ภาษารุนแรง กับความรุนแรงอื่นๆ มันก็ยังคงเต็มในหนัง เลยไม่รู้มันได้ PG-13 ไปได้ไง
  • + ชอบฉากที่เอาคำพูดของประธานาธิบดีสหรัฐฯ มาต่อกันเป็นหนังแฮะ เด็ดดี ยิ่งตอนสุดท้ายเป็น Bush นี่อย่างฮา ขอบอก
  • = แต่ว่าสำหรับคนที่คิดว่าเนื่องจากมันเป็นหนังที่ออกแนว Cyber-Terrorism ที่มี Hackers/Crackers เป็นตัวหลักทั้งสองด้าน แล้วคิดว่าจะมีการใช้สมองหรือว่าหักเหลี่ยมชิงไหวชิงพริบกันนะ บอกได้เลยว่า “ไม่มี” เพราะว่านี่มัน Die Hard ดังนั้นมันจะมีแต่ความดิบ ล้วนๆ
  • + ชอบบทพูดที่ให้ Matt (J. Long) กัดโน่นนี่แฮะ ชอบตอนที่กัดโฆษณา กัดข่าว ว่ามัน entirely manipulated ที่ให้ทุกคน live in fear ฯลฯ อะไรทำนองนั้น เจ็บว่ะ เจ๋งดี เพราะว่าจริงแหละ วันก่อนได้ดูผู้หญิงถึงผู้หญิงแป๊บๆ ก่อนออกจากบ้าน เรื่อง พ.ร.บ. การกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ฟังที่กาละแมพูดแล้ว ยังคิดในใจ (แต่ว่าบ่นออกเสียงให้ตัวเองได้ยิน) ว่า F.U.D อยู่เลย ไม่พอ ยังกัด USA ด้วย เรื่องการกู้ภัยตอนที่พายุเข้า
  • ผิดหวังอย่างรุนแรง ที่ประโยคเด็ดจาก trailer ไม่ได้ถูกพูดในหนังจริง …. ที่ว่า “จะฆ่ามันแล้วช่วยลูก ไม่ก็ช่วยลูกแล้วฆ่ามัน (กู)จะฆ่ามันให้หมด!” เนี่ย เสียดายจริง
  • + ได้คะแนนคืนมาอย่างมหาศาลที่แสดงให้เห็น gap ระหว่าง geek กับ non-geek ได้อย่างชัดเจนแล้วก็มีสไตล์ด้วย ชอบมากตอนที่ Matt เล่นโน่นเล่นนี่ ทำสิ่งที่เหมือนกับเป็น magic กับอุปกรณ์ต่างๆ แล้วก็ตอนที่ Matt คุยกับ Freddy หรือว่าตอนที่พยายามอธิบายเรื่องเทคโนโลยีให้ John เข้าใจ (ตอนที่เชื่อม PDA เข้ากับเครือข่าย SATCOM เก่า) ด้วย
  • = (นอกเรื่องนะ) เพราะว่าเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มันไม่เหมือนกับอุปกรณ์/เทคโนโลยีอื่นๆ ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง คนที่เก่งๆ เนี่ย จะใช้คอมพิวเตอร์ทำอะไรได้มหาศาลเหมือนกับใช้เวทมนต์เลยทีเดียว แต่ว่าเนื่องจากมันกลายมาเป็น commodity มากขึ้นๆ (แทบทุกบ้านเริ่มมีใช้) ทำให้หลายๆ คน (แม้แต่คนที่เรียนสาขา CE/CS/IT โดยตรง) ไม่ได้มีความสนใจหรือว่าความรู้หรือว่าประสบการณ์ที่จะใช้มันทำโน่นทำนี่ได้มากมายเท่าไหร่ ใช้คอมพิวเตอร์เหมือนกับใช้ TV/Video/วิทยุ/Word Processor/etc รวมๆ กันเท่านั้น แล้วไม่พอ คนที่คิดว่าตัวเองรู้โน่นรู้นี่ เข้าใจโน่นนี่ หรือว่าใช้คล่อง มี เยอะมาก แล้วพวกนี้กล่อมยาก อธิบายยาก เหมือนกับสอนหนังสือสังฆราช … พอล่ะ ขี้เกียจบ่นแล้ว ไปอ่านใน Computer Stupidities ดีกว่า มีให้อ่านจุใจ ;-P

ด้องขออภัยด้วย ที่รีวิวนี้มันออกจะ geek ไปหน่อย ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ แต่ว่าหนังมันไม่ค่อยจะมีอะไรจริง ไปดูเอาสนุก เอามันส์ เอาเรื่อง F.U.D เกี่ยวกับ Cyber-Terrorism ดีกว่า ว่าคนเค้ากลัวอะไรกัน แต่ว่าเรื่องจริงมันไม่เกิดแบบนั้นหรอก ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง แต่ว่าในอนาคต (ที่อาจจะอีกไกล) อาจจะเป็นไปได้ก็ได้นะ ไม่มีใครรู้ แต่ว่านิทานเรื่องนี้สอนให้รู้อะไรไว้อย่างนึงนะ ว่า Centralized Data Storage เนี่ย อาจจะเป็น bad idea กว่าที่หลายๆ คนคิดก็ได้ ทำเป็น Decentralized จะดีกว่านะ ตอนนี้เทคโนโลยีมันเอื้อด้วยแหละ แล้วก็ mindset ของสังคมเริ่มที่จะไปทางนั้นมากขึ้นแล้วด้วย

My Rating: 8.0/10
IMDB Rating: 8.0/10
(34,305 votes)

ป.ล. นี่เป็นครั้งแรกแฮะ ที่ rating ที่ผมให้ กับที่ได้จาก votes ใน IMDB มันตรงกันเป๊ะ (แต่ว่าเมื่อเวลาผ่านไป มีคน vote มากขึ้น อาจจะเปลี่ยนได้นะ)

ขี้ลืม กับ ซวยสองต่อ

เมื่อวานไปประชุมที่ใดที่หนึ่งมา .. แต่ว่าเรื่องของเรื่องคือผมลืม power adaptor ของ MacBook Pro ผมไว้ที่ lab (อีกแล้ว…. แย่จัง ให้ตาย) แต่ว่าด้วยความที่เรามี battery สองก้อน ก็เลยคิดว่า ไม่เป็นไรน่า พออยู่แล้ว

แต่ว่าให้ตายเถอะนะ ดันใช้ battery เกิน (คือใช้ computing power เกินความเหมาะสมของการใช้ battery ไปพอควร) ก็เลยเกลี้ยงเร็วหน่อย ทีนี้ ผมก็เลยทำไงได้ล่ะ เออ เอาวะ กัดฟันซื้อ power brick ก้อนใหม่ไปเลยก็ได้ …​ สนนราคาก็เอาเรื่องอยู่นะ ตั้ง 4,xxx บาท แน่ะ

ด้วยความชะล่าใจ ลืม check ของ และแล้วก็เมื่อถึงเวลาที่จะต้องเสียบปลั๊ก ก็ตกใจสุดๆ ซวยซ้ำสองว่ะ มันไปเอาปลั้กมาจากไหนวะ ..​รูปร่างหน้าตาไม่คุ้นเลย ไม่เคยพบไม่เคยเจอในประเทศไทย เดี๋ยวต้องวิ่งหาซื้อ adaptor มาต่ออีกตัวสินะ เฮ้อ

สงสัยตัวนี้คงจะต้องทิ้งไว้ที่ lab ล่ะ เพราะว่าแบกไปไหนคงจะไม่ได้ ลำพังสายไฟของ power brick รุ่นนี้ก็หนักอยู่แล้ว ไหนเลยหัวปลั๊กจะใหญ่โตมโหฬาร แล้วไหนเลยจะ adaptor ของมันอีก ไม่งั้นคงจะต่อปลั๊กไฟ 99.99% ของประเทศไทยไม่ได้….

เพลงเก่าๆ

ช่วงนี้เป็นอะไรไม่รู้ ขุด/หาเพลงเก่าๆ มาฟังเยอะแยะไปหมด สงสัยเริ่มแก่ โรคชราเริ่มถามหา หรือว่าเราเป็นแบบนี้อยู่แล้วหว่า … อืมม ขนาดเพลงญี่ปุ่นยังไม่ค่อยฟังเพลงใหม่ๆ เลยนี่นา หาแต่ J-Pops รุ่น 80s มาฟังแทบจะทั้งนั้น (เก่ากว่านั้นก็มีนะ) ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไปญี่ปุ่นปี 98 แน่ะนะ

เพลงไทยเหรอ ไม่ได้ซื้อเพลงใหม่ฟังมาชาตินึงแล้วมั้ง ซื้อเทปครั้งสุดท้ายนี่ Two album ที่ 2 นะ ถ้าจำไม่ผิด ตอนนี้ก็หาพวก CD ที่เอาเพลงรุ่นนั้นมาทำใหม่เก็บไว้หลายแผ่นแล้ว พวก Micro ทั้งชุด อะไรทำเนี้ย

รุ่นนั้นว่าเก่าแล้วนะ (Micro, Nuvo, บิลลี่ ฯลฯ) แต่ว่่วาตอนนี้เริ่มย้อนเวลาหาอดีตไปอีกหน่อย จริงๆ ก็คาบๆ กันน่ะแหละ รุ่น Forever ชอบเพลง ความหวังหลังรอยยิ้ม กับ หัวใจเธอมีหรือเปล่า (ก๊อปเพลงญี่ปุ่น) ตั้งแต่เด็กแล้ว แล้วก็พวกวงเพื่อน วงพลอย ทำนองนี้แหละ … ซื้อมาเป็นตั้ง ฟังแล้วมีความสุข

เฮ้อ แก่แล้วก็เงี้ย … คิดถึงโน่นนี่ตอนเด็กๆ

Review: Transformers

Transformers เป็นอีกเรื่องที่หลายคนตั้งหน้าตั้งตารอคอยกันนานพอควรในฐานะหนังฟอร์มยักษ์อีกเรื่องของปีนี้ หลายคนก็เพราะว่าเป็นแฟนของเล่นอยู่แล้ว หลายคนบ้าหุ่นยนต์แปลงร่างได้ ฯลฯ จะด้วยเหตุผลอะไรก็ช่างเถอะนะ เรื่องนี้ก็เป็นหนังที่ดีอีกเรื่อง

  • = นี่เป็นหนัง Action นะ อย่าคิดอะไรมากกว่านั้น หลายเรื่องไม่ต้องไปถามหาเหตุผลอะไรกับมันหรอก ไม่มีทั้งนั้น
  • Plot holes ก็พอจะมีให้เห็นทั้งเรื่อง แผนการหลายอย่างที่ไม่ได้ make sense ก็มีอยู่
  • = และด้วยความที่มันเป็นหนัง Action แบบล้างผลาญ เหมือนกับว่าทุกซีนทุกฉากทุกตอน มีคำว่า Michael Bay เป็น watermark ไว้เลยด้วยซ้ำ (ไปดูรายชื่อหนังที่เค้ากำกับ จะเห็นเองว่ามีประวัติยังไง) และแน่นอนว่า ไม่ใช่หนังเด็กแน่ๆ ถึงหลายคนอาจจะอยากจะมองแบบนั้น เพราะว่าเป็นหนังหุ่นยนต์แปลงร่างที่สร้างมาจากของเล่นก็เถอะ มันล้างผลาญแบบ Bay แน่นอนครับ
  • + มุขตลกที่มีพอสมควรทั้งเรื่อง พวก Autobots มีอารมณ์ขันดีใช้ได้ ฉากค้นหาของที่บ้านของพระเอกทำคนหัวเราะไปครึ่งโรง (ใครนึกไม่ออกว่าตลกยังไง แค่นึกถึงหุ่นยนต์ตัวเท่าตึกพยายามเล่นซ่อนแอบ แต่ว่าดันซุ่มซ่ามตลอดเวลา คงประมาณนั้น)
  • แต่ว่า …. แต่ว่าบางทีก็เหมือนจะยัดเยียดไปนิดเหมือนกัน ก็พอจะให้รำคาญได้ล่ะนะ ว่าเมื่อไหร่เรื่องมันจะเดินต่อซักทีวะ
  • แล้วก็ dialogue ของ Optimus Prime: “Opps, my bad” ….. เฮ้อ ชีวิตช่างบัดซบจริงๆ เล้ยให้ตาย หลายคนคงชอบ แต่ว่าแฟนของ Prime นี่ หลายคนท่าจะรับไม่ได้แฮะ
  • + แต่ว่าฉาก Call center นี่อย่างฮา
  • + CGI เยี่ยมมาก แค่ได้เห็นฉากเปลี่ยนร่างของหุ่นยนต์แต่ละตัวก็พอแล้ว รายละเอียดสุดยอดมาก เรียกได้ว่าคงจะเอา render farm/modeling workstations ที่ ILM ควันขึ้นโขมงพอควรล่ะ แต่ว่านี่แหละ no compromise จริง ต้องยกนิ้วให้
  • แต่ว่าบางทีทำให้มันมี details เยอะเกิน กับการเปลี่ยนร่างที่เร็ว ดูแล้วอาจจะตาลายนิดๆ
  • = หุ่นยนต์หลายตัวจะไม่ได้มีรูปร่าง แล้วก็ร่างแปลงที่เหมือน/ใกล้เคียงกับของเล่น/การ์ตูนนะ ด้วยเหตุผลทางด้านความรุนแรง และ(คงจะ)ความเหมาะสม แต่ว่ามันก็ทำให้หุ่นบางตัว cool ขึ้นแบบสุดๆ
  • + รูปร่าง หน้าตาและสีสันของตัวดีกับตัวร้ายต่างกันแบบไม่ต้องใช้สมองคิดก็เห็นได้ชัดเจน ยกนิ้วให้กับทีมงานตรงนี้ ตัวโกงหน้าตามันก็โกงจริงๆ แหละ แถมดุร้าย โหดเหี้ยม สีคล้ำ อีกตะหาก ส่วนตัวดีนี่ก็ตรงข้ามกันเลย
  • = ผมคิดไปเองหรือเปล่าวะ ว่า Autobots นี่ยังกะขบวนการ 5 สีของญี่ปุ่นเลยแฮะ (ดูจากสีเอาด้วยนะ) ส่วนพวก Decepticons นี่ยังกะสัตว์ประหลาดในหนังห้าสีอีกน่ะแหละ (รูปร่าง สีสัน ฯลฯ)
  • ช่วงกลางๆ ของเรื่องจะอืดๆ นิดๆ นะ แต่ว่าตอนท้ายนี่เรียกว่าอัดกันแหลก ห้ามกะพริบตาเด็ดขาด
  • + Shia LaBeouf ไม่แปลกใจที่หมอนี่อาจจะเป็น Next Big Thing ของ Hollywood เพราะว่าเล่นดีตีบทแตก ธรรมชาติและเนียนมาก ชัดอยากจะเห็นบทบาทใน Indiana Jones ภาคต่อไปของหมอนี่แล้วสิ แต่ว่ากลัวแต่ว่าจะไปมี image กับบทแบบ underdogs ป้ำเป๋อแบบนี้ไปอ่ะดิ
  • + ชอบตอนวิเคราะห์เสียงน่ะ ไม่รู้ทำไม รู้แต่ว่าชอบ อาจจะเพราะว่าสนใจทำด้าน voice matching อยู่ด้วยล่ะมั้ง
  • มี error หลายอย่างนะ แต่ว่ามีอย่างนึงที่เหมือนว่าผู้กำกับลืมแบบน่าตบกะโหลก (พอๆ กับฉากม้าหายใน Lord of the Rings: Return of the King) คือ เจ้ารถตำรวจ Barricade มันถูก Bumblebee จัดการไปแล้วตั้งกะกลางๆ เรื่องไม่ใช่เรอะ แต่ว่าทำไมตอนท้ายมันยังโผล่มาอีกล่ะ แต่ว่าก็ยังดีที่ไม่ได้มีบทบาทอะไร (เหมือนว่าหลังจากฉากรายงานตัวผู้กำกับจะนึกออก?)
  • ความไม่ make sense อีกอย่างก็คือว่าการเอา cube หนีเข้าเมือง (หรือว่าแม้แต่ผ่านเมือง) เฮ้ย จะบ้าเรอะ …. เพราะว่ามันเป็นแผนการทำลายเมืองชัดๆ ถ้าพวก Decepticons ไล่ทันที่เมืองล่ะก็ เมืองพังแน่ๆ …. มันเจ๋งในหนังอ่ะ ได้เห็นฉาก Bay-ism มากๆ (ฉากทำลายล้าง) แต่ว่าในเรื่องจริง จะมีไอ้บ้าที่ไหนคิดแผนฆ่าตัวตาย/ฆ่าคนตายแบบนั้นหว่า
  • เห็นด้วยกับ mk (isriya) อีกเรื่อง ศัตรูเป็นเครื่องบินเจ๊ท แต่ว่าจะให้ขึ้น ฮ. หนี …. จะบ้าเรอะ
  • = แต่ว่าช่างมันเถอะ หนัง action + Michael Bay น่ะ เอาไรมากมาย ท่องไว้ “หนัง action หนัง action” ท่องไว้ Michael Bay Michael Bay
  • เสียดาย เสียดาย เสียดาย อย่างสุดแสนเสียดาย ที่ Transformers ทั้งหมดในเรื่องนี้ ไม่ได้มีอะไรมากกว่าการเป็น “อาวุธสงครามมีชีวิต” แทบทุกตัวไม่ได้มี story หรือว่า personality อะไรเลย เรียกว่ามีไว้ show-off CGi แล้วก็ทำลายฉากแบบ super-cool เท่านั้นมั้ง ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายที่สุด ทั้งๆ ที่เป็นชื่อเรื่องนะ น่าจะ focus กับพวกเค้าหรือว่าอย่างน้อยๆ ก็ให้มันมี story/personality อะไรบ้างสิ
  • + ได้คะแนนคืนมาหน่อยก็ตรงความละเอียดและสมจริงของอาวุธสงครามทั้งหลาย …​อย่างว่า (ว่ากันว่า) Bay เค้าได้กองทัพอเมริกาให้การสนับสนุนเลยนี่
  • ตอนแรกคิดว่าจะออกมาดีกว่านี้ คิดว่า Transformers จะมี depth ของตัวละคร แล้วก็ plot มากกว่านี้ แต่ว่า นอกจาก Sam (พระเอก) แล้ว ตัวละครทุกตัวมัน shallow สิ้่นดี ไม่เว้นแม้แต่ Bumblebee ซึ่งเป็นตัวละคร Transformers ที่มีบทมากที่สุด หรือว่า Optimus Prime ที่สมควรเป็นตัวเอกตัวหนึ่ง ….. หนังเน้นความล้างผลาญเกินไป

พอเหอะ… พอหอมปากหอมคอ จริงๆ หนังเรื่องนี้ก็ถือว่าดีแหละ ถ้าไม่รู้เรื่องอะไรมาก่อนบ้างเลย ผมเองอาจจะมี impression ไม่ค่อยดีกับ Michael Bay ด้วยน่ะแหละ … ถ้าผมจะมี personal message ให้กับ Michael Bay สักข้อความคงเป็น

Mike, (computer) effects and destruction can’t make a good movie.

ไม่ได้หนังเรื่องนี้ไม่ดีนะ แต่ว่าถ้าไม่มีส่วนอื่นๆ อีกหลายส่วนมาช่วยไว้ (+mindset ที่ว่ามันเป็นหนัง Action ล้างผลาญนะ อย่าคิดอะไรมาก) คงจะไม่จืดกว่านี้

My Rating: 7.0/10
IMDB Rating: 8.0/10
(จาก 46,635 votes)

Farewell, “Fame”

Farewell, my friend. You had been one of my most beloved dogs and true friends over years.

I still remember days when you were young and I was still mostly home. A fine looking white dog you were. Yes, your sister, who gone before you, was there too. Maybe it’s good for you to see her again, huh? You miss her, don’t you?

Or will you miss me? I remember days after days, months after months, and years after years, you were among those who waited for me to get home. You were among those who were the happiest just hearing the engine noise from my car coming near the house.

Those were the days that had gone by. You don’t have to wait for me anymore, you can always come to me whenever you want to.

As with my other friends who passed away before you, you will always be remembered. There’s always a place right there, right here, for you.

Farewell, Fame, a great friend you were. Rest in Peace.

(Sorry I couldn’t find a better picture of you right off my harddrive now. You looked much better than the picture. I will find better one and repost it later.)

Fame2-1

Review: Next

ดูเรื่องนี้นานแล้วเหมือนกัน Next

  • เป็นหนังที่อยากดูมากเรื่องหนึ่งนะ จากการที่ได้เห็น trailer แต่ว่าไม่แน่ใจว่าจะเป็นหนังออกแนวไหนแน่ แต่ว่าคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเดาอนาคตชัวร์ๆ
  • อนาคตที่ตัวเอก (Chris Johnson, เล่นโดย Nicolas Cage) เห็นได้มีแค่ 2 นาทีเท่านั้น ซึ่ง อืมมม บอกว่าชอบก็ได้นะ เพราะว่าด้วยความที่ตัวเองบ้า Chaos Theory กับ Complex System Theory ทำให้รู้สึกว่าอนาคตมันเป็นสิ่งที่คาดการณ์ คาดเดา ทำนาย คำนวณ ล่วงหน้านานๆ ไม่ได้อยู่แล้ว
  • Tagline คมมากทีเดียว เอาเรื่อง

    Here is the thing about the future, every time you look at, he changes because you looked at and that changes everything else.

    ความจริงเกี่ยวกับอนาคตก็คือ ทุกครั้งที่เรามองมัน มันจะเปลี่ยนไปเพราะว่าถูกเรามอง และนั่นทำให้ทุกอย่างนอกจากนั้นเปลี่ยนไป

  • แต่ว่าการแสดง ทำไมมันถึงได้ห่วยแบบนั้นวะ Nicolas Cage นี่คงจะอยู่ในช่วงขาลงหรือเปล่าไม่รู้แฮะ รู้สึกว่าไม่ค่อยจะดีตั้งแต่ Ghost Rider แล้วล่ะ นอกนั้นก็… งั้นๆ เป็นอย่างมาก
  • Plot holes everywhere ทุกที่ทุกทาง กระจัดกระจาย .. บางทีก็ขัดแย้งกับตัวเองซะงั้น หลายอย่างก็ไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าไหร่ แต่ว่าเอาเถอะ หนังขาย action (ที่ก็งั้นๆ) จะเอาอะไรมาก
  • ยิ่งรูรั่วเบ้อเร่อบ้าร่าตอนจบนะ …. แหม ที่ทำมาทุกอย่างนี่ เพื่อที่จะขัดกับตัวเองตอนสุดท้ายใช่มั้ยเนี่ย (ทำนองเดียวกับ The Time Machine (2002) เลย เรื่องนั้นก็ OK ทั้งเรื่อง แต่ว่ามาขัด logic ตัวเองรุนแรงมากๆ ตอนจบ)
  • แต่ว่าก็ชอบตอนที่ Chris แยกร่างค้นหาความเป็นไปได้ฉาก climax ก่อนที่จะกลับมารวมกัน .. นี่มันเข้าทำนอง Schroedinger’s Cat ชัดๆ แล้วก็รู้สึกว่าเป็นพวกสายที่ states ที่เป็นไปได้เหล่านั้นมันจะ collapse กลับมาเป็น reality อันเดียวกันเสียดาย
  • นอกนั้นไม่มีอะไรจะพูดถึงมากเท่าไหร่
  • ก็ยังดีมั้ง ที่ยังมี Jessica Biel มาประดับฉากบ้าง แต่เหมือนนางเอก (อย่างน้อยๆ ก็ตัวเอกฝ่ายหญิง) จะเป็น Julianne Moore ซะมากกว่า
  • หลายคนบอกว่าตอนจบเป็น plot twist แต่ว่าเราเห็นว่าเฉยๆ แฮะ หนังแนวนี้ชอบเล่นกับตอนจบแบบนี้อยู่แล้ว

My Rating: 6/10
IMDB Rating: 6.3/10 (8,949 votes)

Review: Pirates of Caribbean 3

Long overdue พอๆ กันกับ Spiderman 3 สำหรับ review ของหนังภาคจบของ Pirates of Caribbean ไตรภาค (จะมีภาคใหม่หรือเปล่าไม่รู้ รู้แต่ว่า Johnny Depp บอกว่าอยากจะเล่นในบท Jack Sparrow ต่อไปอีก) และเป็นหนังที่ผมรอคอยนานมากทีเดียว

ผมจะไม่เขียนแบบ Spiderman 3 นะ เพราะว่าอันนั้นตั้งใจเขียนปรัชญาจากหนัง แต่ว่าอันนี้จะเขียน review ในฐานะหนังเลยดีกว่า เพราะว่ามันไม่ค่อยมีปรัชญาอะไรมากมายอยู่แล้ว

The Good:

  • การแสดงและตัวละคร Johnny Depp, Geoffrey Rush เล่นได้ดีเยี่ยมในบทของ Jack Sparrow และ Barbosa ส่วน Orlando Bloom ก็ถือว่าเล่นได้ดีกว่าเรื่องอื่นๆ ที่เคยเล่นมา และคิดว่าในที่สุดก็คงจะล้างภาพพจน์ของ Legolas จาก Lord of the Rings ออกเสียที ส่วน Keira Knightley ภาคนี้สวย ดุ น่ารัก เด็ดขาด .. ละลาย
  • โดยเฉพาะ Johnny Depp ที่หลังจากเป็น mister จับฉ่ายแมนแห่ง Hollywood ที่แสดงได้ทุกบททุกบาท เล่นมาแล้วทุกแนว แต่ว่ายังหา character ที่คนจะจำเค้าไว้ในฐานะนั้นไม่ได้ บทสุดท้ายจริงๆ ของเค้าที่คนจำเค้าในแบบนั้น ก็คือ Edward จาก Edward Scissorhands แต่ว่าก็ยังไม่ strong ขนาด Harrison Ford กับบทบาทของ Indiana Jones และผมว่าเค้าหาบทนั้นของเค้าเจอแล้วล่ะ
  • ไม่น่าเชื่อว่าจะขมวดปมบทบาทของตัวละครทุกตัวให้มีจุดจบได้อย่างเยี่ยม ไม่เหลือ loose middle หรือว่า loose end เลยแม้แต่นิดเดียว และปริศนาต่างๆ ที่เคยได้สร้างเอาไว้ตั้งแต่ภาคแรกก็ได้รับการขมวดปมเฉลยไว้อย่างรู้เรื่อง
  • บางคนอาจจะดูแล้วงงนะ เพราะว่าเรื่องบางเรื่อง plot บาง plot อาจจะวกไปวนมานิดหน่อย มีแผนซ้อนแผนมีหลอกกันไปมาเยอะหน่อย แต่ว่าสำหรับผมแล้วมันก็ตรงไปตรงมาพอควร และดูง่ายพอควร
  • Film score ต้องบอกว่า “สุดยอด” เท่านั้น สมชื่อ Hans Zimmer จริงๆ ทุกฉาก ทุก theme ทุกสถานการณ์ ทุกอย่าง เรียกได้ว่าสุดยอด ยิ่ง score ในฉาก final battle นี่เรียกว่า thrill จริงๆ และ grand มากๆ ไม่มีความรู้สึกแบบนี้มานานมากแล้วกับการฟัง film score
  • ขอยกนิ้วให้อีกครั้งกับ Film score … เจ่งมากขนาดทำให้เราต้อง devote 2 bullets ใน list ให้เลย
  • ยังคงแทรกมุกตลกได้อย่างแนบเนียนตลอดเรื่อง ตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบ และไม่มีความรู้สึกว่ายัดเยียดแต่อย่างใด
  • เรื่องราวระหว่าง Tia Dalma กับ Davy Jones ที่สุดแสนจะเป็น tragic love story สะเทือนอารมณ์ตั้งแต่ตอนแรกที่เริ่มเข้าใจเรื่องราวจนถึงสุดท้ายที่เป็นจุดจบของ Davy Jones
  • ฉากจบที่ไม่วายทิ้งท้ายไว้ทำภาคต่อ แล้วก็การทำสรุปเนื้อหาเรื่องราวที่ดีของ William กับ Elizabeth ทำให้รู้สึกว่า เออ ไตรภาคนี้มันเป็นเรื่องของสองคนนี้จริงๆ ตั้งแต่เจอกันจนกระทั่งลงเอยกันแล้วก็มีบทสรุปที่ดี “หลัง/ระหว่าง end credit”
  • ชอบมุข Multiple Jack นะ มันแสดง quantum nature ของความคิดของคนได้ดีมาก
  • ฉากรบตอนจบ ถึงจะไม่ได้เห็น massive navel battle แต่ว่ามันทำให้ได้เห็น The Black Pearl กับ The Flying Dutchman ซึ่งเป็นเรือตัวเอกของภาคแรกและภาคสอง ปะทะกันได้ใน full details เต็มรายละเอียด เล็กๆ น้อยๆ มีหมด และนี่เป็นฉากการปะทะ “ตัวต่อตัว” (ลำต่อลำ อาจจะเหมาะกว่า) ที่สนุกที่สุด ตั้งแต่ Anakin vs. Obi-wan แล้วก็ Dave vs. HAL เลยมั้ง

The Bad & The Ugly:

  • ตอนดูจาก trailer เห็นว่าจะมีการรวมพลของโจรสลัดครั้งยิ่งใหญ่ และมีฉากกองทัพเรือขนาดใหญ่ และมี pirate lords จากทุกมุมโลกมารวมกันเป็นกองทัพ แล้วก็มีฉากรบกันระหว่างเรือรบในวังน้ำวนขนาดยักษ์ ..​ คิดว่าจะได้ดูสงครามกองเรือครั้งใหญ่ที่สุดแสนอลังการเสียอีก แต่ว่ากลายเป็นว่าพวก pirate lords มาเล่นตลกให้ดูเสียมากกว่าซะงั้น ฉากรบไม่มีเลย มีแต่ดีใจด้วยตอนท้าย
  • แต่ว่าถ้าเป็นแบบนั้น ฉาก duel ระหว่าง Black Pearl กับ Flying Dutchman จะด้อยลงไปหรืิอเปล่าก็ไม่รู้
  • ผมชอบภาคแรกกับภาคสองมากกว่าอ่ะ ด้วยเหตุผลส่วนตัวที่ว่าเป็นคนชอบตำนานเรือผีสิงมากๆ (ตั้งแต่ดู/อ่านโดราเอมอนกับปราสาทใต้สมุทร) แล้วภาคแรกนี่ Black Pearl เป็นเรือผีสิง+ต้องคำสาบ บรรยากาศวังเวง มืด ตลอดเรื่อง ฉากที่ Black Pearl โผล่มาล้างเมืองทั้งเมืองเจ๋งมาก ส่วนภาคสองนี่ Flying Dutchman เป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว บรรยากาศน่าสะพรึงกลัว และ Jones น่าเกรงขาม terrify มาก แต่ว่าภาคนี้มันไม่มีเรือปีศาจอ่ะ Flying Dutchman กับ Jones กลายเป็นอะไรไปก็ไม่รู้
  • สรุปว่าโจว เหวิน ฟะ (Chow Yun Fat) ไม่ได้มีบทบาทอะไรมากมายอย่างที่คิดไว้ แถมเหมือนกับตัวตลกอีกตะหาก
  • เช่นเดียวกับพวก Pirate lords ทั้งหลาย ที่ไม่ได้มีหน้าที่อะไรเล้ย ให้ตาย นอกจากมีช่วยเพิ่มความตลก (ที่ไม่ค่อยจะตลก) ให้กับเรื่องเท่านั้น
  • บางทีเราคิดนะ ว่านี่เป็นการเพิ่มตัวละครโดยไม่จำเป็นหรือเปล่า เพราะว่าแต่ละตัวที่เพิ่มเข้ามา น่าจะทำให้ลึก มีมิติกว่านี้ เหมือนกับในภาคแรก ที่แต่ละตัวมีมิติ มีความเป็นตัวเอง มี character อย่างชัดเจน แต่ว่าตั้งแต่ภาคสองแล้ว ที่ีตัวละครหลายตัวทำได้ตื้นเกินไป ไล่ตั้งแต่ Bill “Bootstrap” Turner เป็นต้นไปน่ะแหละ
  • James Norrington น่าจะมีมิติมากกว่านี้ เสียดายตัวละครตัวนี้มากเพราะว่าภาคแรกทำไว้ดีเชียว แต่ว่าเสียดายที่มิติและการพัฒนาของเค้ามันน้อยเกินไป จนจุดจบที่น่าจะเป็น tragic ending มันไม่ค่อยจะพาอารมณ์ไปถึงไหนเลย
  • เช่นเดียวกับตัวละครอีกหลายตัวที่มีบทบาทในภาคก่อนๆ แต่ว่ากลับไม่ได้รับ attention มากพอในภาคนี้ คงเพราะว่าภาคนี้มันตัวละครเยอะเกินไป เลยเกิดปัญหาปริมาณ vs คุณภาพ
  • ถึงจะชอบ Multiple Jack แต่ว่ามุขเม็ดถั่วนี่ไม่ get อย่างแรงอ่ะ
  • Plot ถึงผมจะชอบมากและคิดว่ารู้เรื่องก็เถอะ ผมเชื่อว่ามันก็ค่อนข้างซับซ้อนพอควร หลายคนอาจจะไม่รู้เรื่องและสับสน
  • ยังไงๆ ผมก็ว่าไอ้กองเรือกับพวก pirate lords ที่ยกกันมาเป็นโขยง น่าจะมีบทบาทหน่อยนะ

สรุปว่า เป็นหนังที่ดีมากเรื่องหนึ่ง ถึงผมจะชอบภาคก่อนๆ มากกว่าด้วยเหตุผลส่วนตัวก็เถอะ (เรื่องตำนานเรือปีศาจ เรือผีสิง etc) แต่ว่าด้วยความที่ปมปริศนาถูกเฉลยหมด ตัวละครมีบทสรุปที่ดีทุกตัว มีเรื่องสะเทือนใจ มีหลากหลายอารมณ์ เพลงประกอบ film score ที่ดีที่สุดเท่าที่ฟังมาเรื่องหนึ่ง (โดยเฉพาะฉาก final battle เชื่อผมเถอะ) และการแสดงของตัวละครหลายตัว (รวมทั้ง Keith Richards ด้วย) ทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่อยู่ใน favorite collection ได้ไม่ยาก ถ้าดูทั้งสามภาคยิ่งใช่เลย

My Rating: 8/10
IMDB Rating: 7.3/10 (จาก 57,079 votes)