หากท่านยังไม่ได้อ่าน “ตอนที่ 1: Background” กรุณาอ่านก่อนนะครับ เพราะมันต่อกัน
ผมยอมรับอย่างหนึ่ง ว่าผมไม่ได้ดู Keynote งานเปิดตัว iPad เพราะว่าผมไม่ค่อยสนใจเรื่องอื่นๆ มากนัก ทุกวันนี้ผมอ่านหนังสือกับ iPhone ผ่านโปรแกรม Stanza บ้างอยู่แล้ว และก็ค่อนข้างพอใจกับมัน แต่มันก็ยังไม่เหมือนกับอ่านหนังสือจริงๆ เนื่องจาก form factor ของมันทำให้อุปกรณ์ต้องอยู่ใกล้กับตัว (ตา) มากกว่าที่ผมชอบ (ถ้าอ่านหนังสือจะวางมันไกลกว่านั้น อาจจะเป็นบนตักหรือบนโต๊ะ)
แต่ผมกลับทำใจอ่านหนังสือ (PDF, Kindle) บน Laptop เป็นหลักไม่ได้ ไม่ใช่เพราะว่าเหนื่อยสายตาหรอกครับ (ทุกวันนี้ดูจอคอมพ์ตลอดก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว) แต่เพราะเหตุผลเดียวกับ iPhone และท่าทางการอ่านมันยิ่งผิดธรรมชาติมากขึ้นไปอีก เพราะคอมพิวเตอร์ทุกวันนี้มันถูกออกแบบมาสำหรับ “นำข้อมูลเข้า” มากกว่า “บริโภคข้อมูล” ทำให้เมื่อผมใช้งานมัน dominant mode คือ “พิมพ์”
เอาล่ะ เสียเวลากันมากไปแล้ว ลองดูกันสักที ว่าถ้าผมมี requriement ตั้งต้นแบบนี้แล้ว เจ้า iPad จะตอบผมได้ดีแค่ไหน
อย่างแรกที่ผมทำ นั่นคือ ตรวจสอบว่ามีโปรแกรมอ่านหนังสือมากแค่ไหน และมีหนังสือเป็นดิจิทัลแค่ไหนแล้ว ซึ่งก็พบว่า มีมากพอสมควร และไม่ได้ lock อยู่ในรูปแบบเดียว โปรแกรมที่อ่านหนังสือได้ก็มีอยู่หลายตัว เช่น iBooks ของ Apple เอง ที่รองรับรูปแบบ ePub, Kindle ของ Amazon ที่เอาไว้อ่าน Kindle format (mobi) ที่ซื้อจาก Amazon (ในขณะที่ Kindle for Desktop ใช้ได้ แต่ว่า sync มาลงไม่ได้ นอกจากจะหาวิธีงัดแงะเอา) Zinio สำหรับอ่านวารสารนิตยสารที่ซื้อผ่าน Zinio เอาแค่นี้ก่อน
ทำไมต้อง check ขนาดนี้ … ไม่งั้นมันก็เข้าทำนอง “มีดโกนฟรี อาจราคาถูกไม่ถูกนัก ตราบใดก็ตามที่มีที่ซื้อใบมีดโกนที่เดียว” น่ะสิ นอกจากนี้ก็ต้องดูหน่อย ว่ามีโปรแกรมที่แปลงรูปแบบกันไปมาได้หรือเปล่า และผมก็พบว่า โปรแกรม Stanza บน Desktop นั้นสามารถแปลงรูปแบบได้ดีพอสมควร แต่ถ้าต้นทางเป็น PDF ก็ลองใช้ calibre ก็ได้ แต่อย่าคาดหวังมากนัก เนื่องจาก “รูปแบบของการจัดหน้า” ของ PDF ซึ่งเป็นรูปแบบที่เหมาะกับการพิมพ์ printed version และอาจเน้นการจัดหน้าเป็นหลัก เช่นวารสารทั่วไป หรือหนังสือแนวออกแบบ กับรูปแบบของ ePub, mobi ที่เน้นการจัดให้เรียบง่ายสุดๆ มันทำให้แปลงกันยาก
เมื่อตรวจสอบทั้งหมด จนแน่ใจว่าถ้าซื้อมา อย่างน้อยๆ ก็ซื้อหนังสืออ่านได้แน่ๆ และมีหนังสือที่อยากอ่านอยู่ใน Amazon store เป็นอย่างน้อยที่สุด และเอา Stanza แปลงเป็น ePub เพื่อโยน iBooks ได้ด้วยเนี่ย ผมก็โทรไปบอกคุณลิฟท์ @L77 ทันที โดยไม่สนใจว่าราคามันจะถูกหรือมันจะแพง เพราะว่าน่าจะเป็นอุปกรณ์ที่รอมานานแล้ว และก็เข้าไปเอาเครื่อง เมื่อเย็นวันศุกร์ที่ผ่านมา (วันที่ 9)
และเมื่อได้เครื่องมาอยู่ในมือแล้ว Step ถัดมา คือ การทำให้ตัว iPad เอง มีลักษณะคล้ายกับ “หนังสือที่พกไปมา” มากที่สุด …. ซึ่งตรงนี้ ผมเดินเข้า B2S ครับ เพื่อหา “แฟ้มเอกสาร” เอามาดัดแปลง ซึ่งรูปแบบแฟ้มเอกสารที่ผมต้องการคือ ไม่มี binder และมีที่ให้เสียบกระดาษประมาณ 50 แผ่น และมีขนาดประมาณ A5 ซึ่งจะพอดีกับขนาดของ iPad ก็มีให้เลือกหลายแบบหลายสีหลายราคา เลือกหากันตามสะดวกเลยครับ โดยอันที่ผมซื้อมานี่เป็นหนัง ราคาประมาณ 7xx บาท จากนั้นก็เอาคัตเตอร์มาเจาะรูด้านบน สำหรับหูฟัง และปุ่ม lock และด้านล่าง เพื่อเสียบสายขาร์จ และหน้าตาของมันก็ออกมาแบบนี้
และพอเปิดออกมาแล้ว ก็จะเป็นแบบนี้
อืมมม ไม่เลว ทีนี้ก็ลองมาดูสิว่าเวลาอ่านหนังสือมันจะหน้าตาและความรู้สึกยังไง
จากซ้ายบน ตามเข็มนาฬิกา: iBooks+Bookmarks (highlight), Kindle+highlight+notes, Zinio, Zinio
ขอไล่ไปเป็นข้อๆ เลยละกันนะครับ โดยอันนี้จะอ้างอิงจาก requirement พิ้นฐานที่เขียนถึงไปแล้วในตอนที่ 1 เป็นหลักนะ
Form factor ต้องบอกว่า “ใช่เลย” ถึงน้ำหนักมันจะหนักไปสักนิดในการใช้งานจริง แต่ว่าถ้าวางไว้บนตักก็จะไม่รู้สึกอะไรเลย
วิธีการอ่านหนังสือ โดยใช้นิ้วเขี่ยในการเปลี่ยนหน้าหนังสือ ก็ต้องบอกว่า “ใช่” มากๆ โดยจะมี animation ของการเปลี่ยนหน้าหรือไม่มีก็แล้วแต่ (แต่ยอมรับแต่โดยดีครับ ว่ามี animation การเปลี่ยนหน้าให้ feel ดีกว่าเยอะมากๆ)
iBooks ทำงานลื่นไหลดีมาก ส่วน Kindle จะออกอาการอืดนิดๆ ถ้าให้มี animation …ไม่เป็นไร ยอมได้นิดหน่อย ถ้าคิดว่ามันอืดก็ปิดซะ เรียกว่า iBooks เรื่อง feel และความเร็ว เหมือนอ่านหนังสือจริงๆ มาก ส่วน Kindle ถ้าจะเอา feel ในแง่ของรูปลักษณ์และความรู้สึกของการเปิดหน้ากระดาษ ก็จะเสีย feel ในแง่ของการตอบสนองนิดหน่อย
เรื่องการขนตู้หนังสือไปด้วยทั้งตู้ นี่ใช่เลย ถ้าหนังสือเป็น ePub อยู่แล้ว ให้โยนลง iBloat เอ๊ย iTunes เลยครับ มันจะจัดการเอง เหมือนกับเราใช้ iPod น่ะแหละ แต่ว่าถ้าเป็น Kindle เราต้องเข้าไปจัดการให้มัน deliver มาที่ iPad เราก่อน ซึ่งคนใช้ Kindle น่าจะคุ้นเคยกับ process นี้อยู่แล้ว (อีกครั้งนะครับ มัน sync กันโดยตรงระหว่าง Desktop และ iPad ไม่ได้ ต้องผ่าน services ของ Amazon เท่านั้น ซึ่งจริงๆ ก็ดีไปอีกแบบ)
การ highlight ทำได้ค่อนข้างดีและเป็นธรรมชาติค่อนข้างมาก ทั้งสองตัว
แต่ว่าทำไมหนอ … สิ่งที่ผมให้อภัยไม่ได้เลย ก็คือ ทำไม iBooks มัน annotate ไม่ได้? หมายถึงว่า ทำไมเราถึงเขียน note อะไรเพิ่มเติมไปไม่ได้เลย เพราะว่านี่เป็นสิ่งที่ผมทำบ่อยมาก (และผมเชื่อว่าหลายท่านทำบ่อยเหมือนกัน) คือ อ่านไปเขียนไป เวลาคิดอะไรออก ก็เขียนมันลงตรง margin หน้าน่ะแหละ ซึ่งตรงนี้เสียดายเป็นอย่างยิ่ง ถ้าทำระบบ note ดีๆ หน่อย ว่าตรงที่เรา annotate เนี่ย มันอยู่ตรงไหน หน้าไหน ย่อหน้าไหน ข้อความไหน กับ bookmark ไหน มันจะสุดยอดมากๆ และถ้ามัน search ได้ด้วยจะเป็นพระคุณมากๆ
ลองคิดเล่นๆ ว่าถ้าเรา export ข้อความจากหนังสือที่เรา highlight พร้อมกับ note ที่เราเขียนเพิ่มเข้าไป ออกมาเป็นไฟล์หรือว่าอะไรก็แล้วแต่ และเชื่อมกับ Pages หรือ Keynote ใน iPad ได้เลย จะเป็นอุปกรณ์ทำงานที่เยี่ยมมาก เพราะว่าอ่านหนังสือจบเล่ม เราก็จะได้หนังสือเล่มเล็กๆ ของตัวเองเล่มหนึ่ง ชื่อว่า “My Hightlights and Annotated Thoughts in Reading (ชื่อหนังสือ .. อะไรก็ว่าไป)” ออกมาเลย นี่คงจะดีไม่น้อย (ผมทำอยู่บ่อยๆ แต่ว่ามันต้องพิมพ์ซ้ำไปซ้ำมา)
เลยยิ่งนึกยิ่งเสียดาย เพราะว่าคีย์บอร์ดที่มีมาให้ด้วย นี่ “ดีมาก” โดยเฉพาะใน Landscape mode ที่ผมพิมพ์ได้ความเร็วสูงพอสมควร คิดว่าสูงกว่า 45 WPM สบายๆ แต่ว่าถ้าเป็น Portrait mode นี่จะพิมพ์ลำบากกว่ามาก คือ สรุปว่า สำหรับตัวผมเอง ผมพิมพ์บน iPad ด้วยคีย์บอร์ดใน Landscape mode เร็วกว่าบน NetBook ของ Acer ที่เคยใช้อยู่แป๊บนึง … ถ้ามัน annotate ได้นะ คงอ่านหนังสือสนุกมากๆๆๆๆๆ เลย
ก็ได้แต่หวังว่า iBooks รุุ่นต่อไปจะแก้ปัญหาตรงนี้มานะ
อีกโปรแกรมที่ลงไว้ คือ Zinio ก็ถือว่าทำงานได้ดีเลย รู้สึกได้ชัดมาก ตอนที่จะนั่งอ่านอะไรที่มัน casual หน่อย เข่น เข้าห้องน้ำ แล้วเกิดอยากอ่านวารสาร เมื่อก่อนก็ต้องคุ้ยตู้หนังสือเพื่อหาวารสารเข้าไปอ่าน ก็มีแต่อ่านแล้ว อ่านแล้ว และอ่านแล้ว ก็เลยพกคอมพิวเตอร์เข้าไปนั่งเล่นเน็ตแทน อย่างน้อยก็มีอะไรใหม่ๆ ให้อ่าน หรือไม่ก็พก iPhone เข้าไป ซึ่งก็อ่านไม่สนุกอีก เนื่องจากจอมันเล็กไปนิด (แต่ว่าจริงๆ แล้ว iPhone ทำให้ผมอ่านเยอะขึ้นกว่าตอนใช้แต่คอมพ์เพียวๆ นะ เพราะว่ามัน consume ง่ายกว่า input/create) …คราวนี้ก็เลย “ซื้อวารสารใหม่” มาอ่านมันซะตรงนั้นเลย เยี่ยมมาก
ถ้าเป็นวารสารที่มีรูป … เนื่องจากจอมันเจ๋งครับ แสดงผลได้สวยงามมาก (จากรูปด้านบน เป็น National Geographics)
นิดนึง ในกรณีที่อ่านด้วย Kindle ก็คงจะทราบกันแล้ว ว่ามัน deliver ให้กับอุปกรณ์ทุกตัวที่เราสั่งไป และ sync ให้หมด ดังนั้นถ้าผมอ่านอะไรค้างๆ อยู่บน iPad จะมาอ่านต่อบน iPhone หรือว่า Kindle ของ Amazon เองเลย ก็ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด
ถามว่าเมื่อยตามั้ย …. ไม่เมื่อยนะ เพราะว่าสิบปีผ่านไปกับการนั่งดูแต่ LCD ทำให้สายตามันคงจะชินแล้วล่ะ
ยังไม่ได้ลองอ่าน PDF ด้วย Goodreader แต่ว่าซื้อมาแล้วล่ะ เดี๋ยวจะจัดการต่อว่าเป็นไง แต่ทำไมมันไม่ทำให้ iBooks อ่านได้ด้วยก็ไม่รู้
สามวันผ่านไป ผมอ่านหนังสือจบไป 2 เล่ม ซึ่งเล่มหนึ่งเป็นหนังสือที่จริงๆ ซื้อ printed version มาดองไว้นานแล้ว แต่ยังไม่ได้อ่าน …. ส่วนอีกเล่ม ซื้อมาและอ่านได้ส่วนหนึ่งใน Stanza แต่ว่าไม่ได้ไปถึงไหนมาก เพราะว่ามันอ่านไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ แต่ว่าพอมาใช้ iPad นี่อ่านสนุกมาก
แค่นี้ก็คุ้มมากแล้วในความรู้สึกผม …. สรุปสั้นๆ ว่า
“iPad เป็นอุปกรณ์ที่ผมรอมานานมาก นับสิบปีแล้วที่อยากให้มีของแบบนี้”
เพราะว่ามันจะทำให้ผมอ่านหนังสือได้เยอะกว่านี้ เสียเงินซื้อหนังสือ (ต่อเล่ม) น้อยกว่านี้ ลำบากในการขนส่งหนังสือน้อยกว่านี้มาก (ตอนซื้อ Amazon นี่ ค่าหนังสือและค่าขนส่งนี่หนักเหมือนกัน เคยคิดกับพ่อเล่นๆ ว่าผมซื้อหนังสือไปเท่าไหร่แล้ว …. ก็เอาเรื่องอยู่เยอะ) และพอหนังสือมันเป็นดิจิทัลแล้ว เวลามีอัพเดทก็สามารถ download ใหม่ได้ (ถ้า publisher ทำให้) เฮ้อ แต่เสียดายมากๆ ที่ “ทำไม iBooks มัน annotate ไม่ได้วะ” (อันนี้โคตรแค้นฝังหุ่น) … เดี๋ยวตอนหน้าจะเล่าประสบการณ์เรื่องที่เหลือนะครับ เรื่องการใช้มัน “ทำงานแบบ casual”