ปิด rawitat.hi5

หลังจากที่มี account บน hi5 กับเค้ามาซักพัก ทดลองใช้ไปซักพัก ก็ต้องบอกว่า

ขอปิด rawitat.hi5 อย่างเป็นทางการครับ

สาเหตุเนื่องจากผมไม่รู้จะเล่นมันไปทำไม ใครอยากติดต่อผม ก็ขอ e-mail/msn ได้จากที่ web นี้แหละครับ ผมจะส่ง msn ไปใน e-mail ที่คุณ register ไว้ในนี้ครับ

อ่อ ตอนนี้ยังเปิดอยู่นะครับ ยังไม่ได้ปิด แต่ไม่ต้อง add friend แล้วนะครับ จะปิดอย่างเป็นทางการวันที่ 2 เมษายนครับ

Moral question

บางทีอยากทำอะไร แต่ทำเท่าไหร่ก็ไม่ได้เรื่อง … จะทำต่อกันหรือเปล่า?

ยิ่งมีตัวเปรียบเทียบ (อย่างน้อยก็ในหัวตัวเอง) ที่มันเป็นกำแพงที่มองไม่เห็น (จริงๆ ก็เห็นนะ เห็นเยอะด้วย) ข้ามไม่ได้ เดินไม่ถึง ด้วยแล้ว (อ่ะ ใครที่อ่านอันก่อนแล้วงง ก็ช่วยอ่านอันนี้ด้วยนะ) …. จะทำต่อมั้ยล่ะ?

ไม่รู้แฮะ …. ถ้าเดินไปถึงก็คงจะพยายามเอาหัวโขกกำแพงซักทีล่ะนะ (เพราะว่าหัวคงแข็งเอาเรื่อง) หรือว่าจะลองเอากำปั้นทุบกำแพงดี (ถ้ามันเป็นไม้อ่อนๆ ก็พอทำได้ จริงมั้ยน้องกอลลั่มประจำแลป?) …. แต่ว่ามันไปไม่ถึงเนี่ยสิ แล้วจะเอาอะไรไปทุบมันดี

เลิกเดินดีกว่ามั้ง

Almaz

ศิลปิน Randy Crawford

She only smiles
He only tells her
that she’s the flowers, the wind and spring
In all her splendor sweetly surrendering
The love that innocence brings

**
Almaz, pure and simple
Born in a world where love survives
Now men will want her
‘Cause life don’t haunt her
Almaz, You lucky lucky thing

Now I watch closely
And I watch wholly
I can’t imagine love so rare
She’s young and tender
But will life bend her
I look around is she everywhere

** repeat

He throws her kisses
She shares his wishes
I’m sure he’s keen without a doubt
With love so captive
So solely captive
I ask if I could play the part

** repeat

Almaz, You lucky lucky thing
Almaz, You lucky lucky thing

Lyric จาก Lyrics Download

เพลงนี้ชอบเป็นการส่วนตัวอีกเพลง ไม่ค่อยมีความหมายอะไรนอกจากความรักที่ pure, simple, innocent และหาได้ยากหน่อย (มั้ง) แต่ว่าก็มีข้อความอะไรบางอย่างที่กินใจนิดๆ หน่อยๆ เหมือนกันนะ ว่า “ชีวิตจะเปลี่ยนเราหรือเปล่า?” (But will life bend her)

นั่นสินะ …. เราลองดูรูปตัวเองเมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว เทียบกับตอนนี้หน่อยสิ ตอนที่เรายังผ่านโลกมาน้อยกว่านี้ ตอนที่เรายังพบกับอะไรมาน้อยกว่านี้ ตอนที่ตัวเราเองยังมีการปรุงแต่งมาน้อยกว่านี้ ……

เฮ้อ Those were the days (คราวหน้าจะเป็น lyrics เพลงนี้ครับ)

กำแพง

ปัญหาจิตวิทยาที่ธรรมดาๆ มาก …. บางทีมันก็มีกำแพงที่มองไม่เห็น แต่ข้ามไม่ได้ อยู่ข้างหน้าเรา

บางทีแค่จะวิ่งไปหากำแพงนั้น ก็ยังมีความรู้สึกว่าวิ่งไปไม่ถึง ยิ่งวิ่ง เหมือนจะยิ่งห่าง ยิ่งไล่ตาม เหมือนจะยิ่งไม่ทัน

ไม่ต้องพูดเรื่องปีนหรอก

พอไปถึง จะมีแรงปีนหรือเปล่า …..

….. หรือว่าทั้งหมดนั้นมันเป็นภาพลวงตา หันหลังกลับมา มันจะไม่มีกำแพง เราแค่ต้องเดินไปอีกทางหนึ่ง เท่านั้นเองหรือเปล่า

หันหลังให้มันซะ เดินไปอีกทางซะ

แบบนี้เรียกว่า ขี้แพ้ หรือเปล่า

ชนมันซักตั้ง แต่ว่าจะชนยังไงล่ะ แค่เดินไป ยังไม่มีวันถึง …..

เวลาในขวดแก้ว

If I could save time in a bottle
The first thing that I’d like to do
Is to save every day
Till eternity passes away
Just to spend them with you

If I could make days last forever
If words could make wishes come true
I’d save every day like a treasure and then,
Again, I would spend them with you

(*) But there never seems to be enough time
To do the things you want to do
Once you find them
I’ve looked around enough to know
That you’re the one I want to go
Through time with

If I had a box just for wishes
And dreams that had never come true
The box would be empty
Except for the memory
Of how they were answered by you

(*)

เป็นเพลงที่เศร้าที่สุดเพลงหนึ่งที่รู้จักครับ ยิ่งฟังยิ่งแปลยิ่งเศร้า เมื่อก่อนไม่คิดอะไรกับมันมากมายครับ แต่ว่ายิ่งแปลเท่าไหร่ และยิ่งผ่านชีวิตเท่าไหร่ เพลงนี้ยิ่งเศร้าขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะท่อนสุดท้าย ที่ทำให้เมื่อมองกลับไปทั้งเพลงแล้วมันเศร้ามาก

คนๆ หนึ่งที่ผิดหวังตลอดกาล

ถ้ามีกล่องสักใบที่จะใส่ความฝันและความหวัง ที่ไม่เคยเป็นจริง แม้เวลาจะผ่านไปนิจนิรันดร์ (ถ้าใครเรียนแคลคูลัส ก็ take limit t เข้าสู่ infinity) กล่องนั้นคงจะว่างเปล่า เพราะว่าถ้ามีเวลามากเพียงพอ ทุกอย่างคงจะเป็นจริงขึ้นมาได้วันใดก็วันหนึ่ง … ยกเว้นไว้เพียงเรื่องเดียว ก็คือ ความฝันที่จะมีเธอคนนั้นในชีวิต ซึ่งนั่นทำให้ความฝันทุกอย่าง ไม่มีวันเป็นจริง นิจนิรันดร์

ปล. นิยายเรื่อง “เวลาในขวดแก้ว” เป็นเรื่องแรกที่อ่าน และอ่านจบ

ดาบสองคม

ดาบสองคม คมหนึ่งมันคมเท่าไหร่ อีกคมมันมักจะคมเท่านั้น

แต่เรามักจะเห็นมันคมเดียว ณ เวลาหนึ่ง จนกระทั่งอีกคมหนึ่งมันไปฟาดอะไรซักอย่างของเราเท่านั้นแหละ ที่เราจะเห็นอีกคมหนึ่ง

เทคโนโลยีทุกอย่าง เป็นดาบสองคม
การพัฒนาการทุกอย่าง เป็นดาบสองคม

เข้าทำนอง ยิ่งรัก ก็ยิ่งทุกข์ เมื่อวันหนึ่งที่ความรักนั้นมันกลับมาเป็นดาบอีกคมหนึ่ง

คุณกำลังสัมผัสดาบสองคม ที่คมที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ

“อินเทอร์เน็ต”

อินเทอร์เน็ต ให้ Scale ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในแง่ของ Information Economy นั่นคือ ทุกคนแทบจะมี Economy of Scale เทียบเท่ากัน ขาดแต่เพียง Social Networking รองรับเท่านั้น

ดาบสองคมที่ว่านั่น ก็คือ ถ้าทุกคนอยู่ในฐานะของ “สื่อ” ได้แล้วล่ะก็ จะมีกี่คนเล่าที่มีจรรยาบรรณของสื่อ หรือว่าคำถามที่ดีกว่านั้น จะมีกี่คนเล่าที่ใช้มันไปในทางสร้างสรรค์

เราต้องมี Information Literacy ที่ดีขึ้น …..

นอกจากนั้น อินเทอร์เน็ต มันยังเป็นแหล่งเก็บข้อมูลชั้นดี ที่ไม่มีวันล่ม แทบไม่มีวันหาย

ข้อมูลหลายอย่าง ถ้ามันอยู่บนอินเทอร์เน็ตแล้ว มันแทบจะเป็นอดีตที่ไม่มีวันลบวันเลือน ….

เช่น เมื่อไม่กี่ปีก่อน ถ้ามีแฟน แล้วเลิกกัน อยากจะตัดขาดทิ้งทุกอย่าง มันคงจะทำได้ไม่ยาก ก็แค่เอาเผารูป เผาฟิล์ม เผาจดหมาย ก็เท่านั้นเอง ……

แต่ว่าทุกวันนี้ ถ้ามันอยู่บนอินเทอร์เน็ตเสียแล้ว Searchๆ ไป ค้นๆ ไป มันก็ยิ่งเจอไปเรื่อยๆ ทั้งข้อความที่เคยคุยกัน ซึ่งแสดงความสัมพันธุ์ที่เคยมี รวมทั้งภาพโน้นภาพนี้จากวันที่เคยมีกันและกัน และมันอาจจะดูดีกว่าปัจจุบันมากมาย วันดีคืนร้าย ภาพเหล่านั้นของวันที่เคยดี อาจจะกลับมาหลอกหลอนตัวเองหรือคนอื่น ในรูปแบบไหนก็ได้

อืมมม แล้วก็ .. บางคนก็เขียนแต่เรื่องดีๆ ของกันและกัน เรื่องเสียๆ หายๆ ไม่เคยเขียน บางคนกลับกัน เขียนแต่เรื่องเสียๆ หายๆ เรื่องดีๆ ไม่เขียน พอวันหนึ่งที่มันกลายสภาพเป็นเพียงหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ ข้อความทั้งดีและไม่ดี ก็คงส่งผลต่างกัน

ดาบสองคมชัดๆ

ธรรมชาติ ธรรมดา

ชอบอะไรที่เป็นธรรมดา ชอบอะไรที่เป็นธรรมชาติ

ไม่ต้องเสริม ไม่ต้องปรุงแต่ง ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องดัด ไม่ต้องเฟค (fake)

ถึงจะทำงาน Artificial Intelligence ก็ยังมาสายการเลียนแบบ Natural Intelligences

ไปงานแสดงดอกไม้ใบหญ้าบางครั้ง ยังมีความรู้สึกมันสวยไม่ได้เสี้ยวของดอกไม้ริมทาง ที่ขึ้นกระจัดกระจาย

เดินในเมืองใหญ่ กับความอัศจรรย์ของสิ่งก่อสร้างทั้งหลายที่คนสร้างขึ้น แต่ทำไมไม่รู้สึกว่ามันอลังการกว่าต้นไม้ ก้อนหิน หน้าผา น้ำตก ฯลฯ

ไปเที่ยว ชอบไปที่ๆ คนไม่ไปกัน เอานิ้วจิ้มแผนที่ แล้วก็ไปเลย ไม่ต้องสนใจว่ามีอะไร ไม่ชอบที่ๆ จัดไว้ให้ดู
…. บางทีคนก็ถามเหมือนกันว่า มีอะไรให้ดูเหรอ … มีเยอะนะ อย่างน้อยก็วิถีชาวบ้าน ธรรมชาติของคนในท้องที่ ฯลฯ

ผมเป็นคนประหลาดหรือเปล่า?

ถ่ายรูปคน ก็ไม่ชอบพวกโพสให้ถ่าย ชอบอะไรที่เป็นธรรมชาติ ไม่ได้ตั้งใจให้ถูกถ่าย ไม่ได้จัดฉากให้ใครมอง …. สวยยังไงก็ไม่จริงใจเท่ากับหน้าเรียบๆ ยิ้มเล็กๆ ทำอะไรที่เป็นธรรมชาติหรอก

ก็ตอนที่เห็นครั้งแรก ที่ทำให้อยากถ่ายรูปหรือว่าเก็บภาพนั้นไว้ดูนานๆ ก่อนที่จะหายไปกับความทรงจำ …. มันใช่หน้าตาที่ปั้นแต่งขึ้นมาเสียที่ไหนกันล่ะ มันเป็นหน้าตาธรรมดาๆ ของคนธรรมดาๆ ที่พูดคุยธรรมดาๆ …. ไม่ใช่หรือ?

หรือว่าภาพวิวทิวทัศน์ก็เหมือนกัน ไม่รู้ว่าที่ถ่ายไม่สวยเสียที เพราะว่าตั้งใจเล็งมุมมากไปหรือเปล่า ตั้งใจจัดมันมากไปหรือเปล่า …. ไม่ใช่เพราะความเป็นธรรมชาติของมันหรอกหรือ ที่ทำให้เราอยากจะถ่ายมันเก็บไว้ในที่แรก

….. แล้วจะปรุงจะแต่ง ให้มันเกินงาน เกินความจำเป็น กันไปทำไมครับ

ธรรมชาติๆ ธรรมดาๆ นี่แหละครับ งดงามที่สุดแล้ว

Review หนังสือ

อยากกลับไปเขียนรีวิวหนังสือที่อ่าน แต่ว่าคงไม่มีเวลา critique ขนาดนั้นแล้วแฮะ อีกอย่าง หนังสือซื้อมาพักหลังๆ นี่อ่านไม่ค่อยจะละเอียดขนาดที่จะ critique อะไรได้อยู่แล้วด้วย

คงไปช่วยเพิ่ม content ให้เว็บหนังสือดีดีของน้องฟอร์ดด้วยแหละ…​แต่ว่าหนังสือแบบที่เราอ่านนี่มันจะเข้าแก๊บของเว็บน้องเค้าหรือเปล่าไม่รู้

Generality ของ “ดี/เก่ง”

คิดว่ามันมีกันมั้ยล่ะ

ถามผมนะ “ไม่มีหรอก” และที่แย่ คือหลายคนพูดแบบนี้กันในลักษณะ generality มาก เช่น “คนนี้เป็นคนเก่งนะ” หรือว่า “คนนี้เป็นคนดีนะ” อะไรทำนองนี้

คำถามที่น่าจะตามมาก็คือ แล้ว metric อะไรล่ะ เป็นตัววัด แล้ว fitness landscape ที่มันอยู่ล่ะ คืออะไร

ใครเล่น Genetic Algorihtm (GA) น่าจะรู้ดี ว่า solution หนึ่งใน population ต่อให้มันดีแค่ไหน เปลี่ยน fitness function นิดเดียว อาจจะเปลี่ยนจาก solution ที่ดีที่สุด กลายเป็น solution ที่ห่วยที่สุด และจำเป็นต้องถูก “คัดทิ้ง” อย่างไม่ใยดี ในพริบตา ก็เป็นได้

แต่ทำไมบางทีพอมาถึง “คน” เรากลับ superficial กับมันจัง … เราพูดถึงมัน ยังกับมันวัดเป็น general ได้ หรือว่ามี universal fitness function ที่ครอบคลุมทุกอย่าง พอ “ดี” หรือว่า “เก่ง” อย่างหนึ่ง แล้วมันกลายเป็น general ได้มากมายมหาศาล

ยกตัวอย่างกันนิดนึงมั้ย

บางคน อาจจะเป็น programmer ที่ “เก่ง”​ (ไม่ใช่ผมนะ ผมกำลังพูดถึงใครก็ไม่รู้ เป็น Mr. T คนหนึ่งก็ได้นะ) แต่ว่าอยากจะทำอะไรบางอย่างที่ตัวเองไม่มีความสามารถ ความเหมาะสม เช่น อยู่ดีๆ อยากจะหยิบมีดมาผ่าตัด โดยตัวเองไม่มีความสามารถ

แล้วดันมีคนบอกว่า ก็น้อง/พี่/คนนี้ เป็นคน “เก่ง” นะ ก็ “ต้องช่วย” ให้ได้งานผ่าตัดนี้ให้ได้

Make sense มะ? ใครก็คงจะตอบได้ว่า “ไม่เห็นจะ Make sense ตรงไหน”

แต่ว่าพอมาถึงเรื่องความดี ทำไมมันไม่เป็นแบบนี้บ้างหว่า ทำไมมันเหมือนจะมี “ความดี” แบบ general กันได้ด้วยแฮะ ทั้งๆ ที่ environment และสิ่งที่อยู่ใน environment มันน่าจะเป็นตัวที่ define fitness function พวกนี้เหมือนกันนะ (เช่นเดียวกับที่ programmer คนนั้น อาจจะผ่าน fitness function ของการเขียนโปรแกรมด้วยคะแนนแบบ topๆ แต่ว่า fitness function ของการผ่าตัดกลับตกระนาว)

ผมกำลังพูดว่า คิดยังไงกับประโยคนี้

“ก็เค้าเป็นคนดี ก็ต้องช่วย”

อืมมม ส่วนมากอาจจะเห็นด้วยแบบไม่ต้องคิดมากก็ได้นะ แต่ว่าพอดีมันคนละ environment กันน่ะสิ ยกตัวอย่างที่ง่ายที่สุด ก็คงเป็นงี้:

มีแฟนคู่หนึ่งทะเลาะกัน จะเลิกกัน ฯลฯ หรือว่าอะไรก็แล้วแต่ แล้วก็มีคนพยายามจะช่วยเหลือเกินที่จะเป็นตัวประสานระหว่างสองคนนี้ ว่า​ “ก็เค้าเป็นคนดี ก็ต้องช่วย”

อืมมม การเป็น “คนดี” ใน fitness function ของ “คนรู้จัก” หรือว่า “เพื่อนแฟน” หรือว่า “messenger” หรือว่าแม้แต่ “คนในสังคม” จำเป็นด้วยหรือว่าจะต้องเป็น “คนดี” ใน fitness function ของ “แฟน” ซึ่งแต่ละตัวมันก็คนละ environment คนละตัว evaluate คนละ fitness function

ซึ่งแน่นอนว่าอาจทำให้ solution ที่ “ดี” หรือแม้แต่ “ดีที่สุด​” ของ landscape หนึ่ง กลายเป็น solution ที่ห่วยที่สุดไปเลยก็ได้

ให้คนที่เป็น “แฟน” เค้า เป็นคนพูดจะดีกว่ามั้ย สรุปว่า ไอ้พวก “เพื่อนๆ” หรือ “ผู้หวังดี” เนี่ย กรุณาสงบปากสงบคำ เงียบๆ ไว้ไม่ต้อง “เสือก” จักเป็นพระคุณยิ่ง

(ขอโทษที่ต้องใช้คำแรง อารมณ์มันพาไป แต่จริงๆ มัน nothing personal อ่ะนะ .. เพียงแต่ว่าเขียนแบบนี้ได้อารมณ์ดี ถ้าไม่เหมาะสมก็ขออภัยผู้อ่านด้วยครับ)

ก็ทำนองว่า นกมันจะบินเก่งแค่ไหน ลองจับมันไปว่ายน้ำเล่นสิ หรือว่าปลามันจะว่ายน้ำเก่งแค่ไหน ลองจับมันไปโยนขึ้นฟ้าสิ … นั่นแหละ

มันก็แปลกดีนะ พอเป็นเรื่อง “เก่ง” เนี่ย มันพอจะเข้าใจได้ง่ายหน่อย ว่ามันไม่ข้าม field of expertise เท่าไหร่หรอก ถึงจะมีหลายคนที่เก่งแบบ แทบทุกเรื่องก็ตาม

แต่ว่าพอมาเป็นเรื่อง “ความดี” เนี่ย มันกลับมีความคิดแบบ universal/general ได้ซะงั้น

เคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ตอนเรียน ป.ตรี (ซักปีสามได้มั้ง) ชื่อ The Labyrinth of Reason (หนังสือเก่าหน่อย ตั้งแต่ปี 89 ตอนนี้คงอยู่ในตู้ซักตู้ใน office) มีบทหนึ่งที่คิดว่าเข้าท่านะ คือ Anything confirms Anything หรือว่าอะไรทำนองนี้แหละ …. ก็เขียนเรื่องทำนองนี้ไว้เหมือนกัน ว่าบางทีเราก็เอาความจริงเรื่องหนึ่ง ไป confirm เป็นตุเป็นตะกับเรื่องโน้นนี้คนละเรื่อง ไว้วันหลังจะเล่าให้ฟังละกันครับ

ทิ้งท้ายนิดนึงดีกว่า …

All forms of generalization are false; including this one.

Alternate Path of Life

ลองฝันสิ ถึงทุกอย่าง ที่เคยฝัน
ลองฝันสิ ถึงทุกอย่าง ที่เคยหวัง
ลองคิดถึง ทุกอย่าง ที่ไม่พัง
ถ้าความฝัน ความหวัง คือความจริง….


Had you ever imagined a world where you had re-made some choice you chose? Had you ever asked yourself “what if”? Had you ever think you’re walking a wrong path? Had you ever thought “if I didn’t do what I’ve done”?

It’s a dream.

Or no, it’s not.

All the things that could happened, had happened.

Somewhere, elsewhere, in the alternate universe. One of the infinite number in the Multiverse. Everything you wish it happens, happens. When you make a choice, you choose which universe you’ll be in. Another part of you will be walking the different path. All the paths will be walked.

It’s not a dream. It’s as real as you and me, and everything we see.

Choices are irreversible. I know I can’t take anything back. I know I made lots and lots of wrong turns in my life. I know I chose many bad choices. Especially between us.

Nonetheless, all the better choices will be walked, by you and me. It’s just somewhere, elsewhere.

However, one question remains: will myself in any other alternate universe will be writing the same blog, asking the same question, wishing himself the same thing I do?

So, as I’m writing this, so might he. All of us, all of me, can rest assure, all the paths we think we should have taken, had really been taken by us.

And now, we might be wishing the same thing: life in the alternate universe.