「いちご白書」をもう一度

ไม่รู้เป็นอะไร แต่ว่าวันนี้อยากฟังเพลงนี้มากกว่าปกติ……. เป็นเพลงเก่าของวง バンバン ที่ออกมาตั้งแต่ปี 1975 ครับ

いつか君と行った映画がまた来る
授業を抜け出して二人出かけた
悲しい場面では涙ぐんでた
素直な横顔が今も恋しい
雨に破れかけた街角のポスターに
過ぎ去った昔が鮮やかによみがえる
君も見るだろうか「いちご白書」を
二人だけのメモリ どこかでもう一度
僕はぶしょう髭と髪をのばして
学生集会へも時々出かけた
就職が決まって髪を切ってきた時
もう若くないさと君に言い訳したね
君も見るだろうか「いちご白書」を
二人だけのメモリ どこかでもう一度

ประมาณว่า “ความหลังครั้งหนึ่ง” ที่มันน่าจะตายไปแล้ว ถูกฝังไว้ในความทรงจำ แต่ด้วยเหตุการณ์บางอย่าง (ในเพลงนี้คือ “หนังเก่าที่เคยดูด้วยกัน” เอากลับมาฉายใหม่ และบังเอิญได้ดู) ที่มันถูกเรียกให้ฟื้นคืนมามีชีวิตอีกครั้งอย่างชัดเจนทุกฉากทุกขั้นทุกตอน และเธอคนนั้นจะได้ดูหนังเรื่องนั้นด้วยเหมือนกันหรือเปล่า……

ฟาดเคราะห์มั้ง

อุบัติเหตุรถยนต์อีกล่ะ คราวนี้โดนรถทัวร์ปาดหน้า เบรกไม่ทัน ไฟหน้าขวาแตก กันชนหน้าขวาฉีก บังโคลนหน้าขวาครูดจนบุบเข้าไปพอควร (เปิดประตูลำบากมาก) กระจกมองหลังขวาหัก

เฮ้อ ดีนะไม่มีใครเป็นอะไรเลย (แต่ว่าเสียงานเสียการนิดหน่อย … กำลังจะไปประชุม)

ตอนนี้เลยต้องเอา CR-V รุ่นเก่าของน้องสาวมาใช้แก้ขัดไปก่อน หวังว่าจะซ่อมเสร็จเร็วๆ นะ

หูฟัง iPhone ของ Apple

เคยใช้หูฟัง Bluetooth ของ Sony Ericsson มาสองรุ่น ตัวแรกเป็นรุ่นที่เกี่ยวหู ตัวล่าสุดก็รุ่นที่เป็น in-ear จริงๆ ตัวแรกที่ใช้ก็ค่อนข้างจะ OK นะ (เพราะว่าใช้นานจนชิน) แต่ว่า background noise มันเยอะไปหน่อย เรียกว่าเก็บเสียงรบกวนในการสนทนาไม่ค่อยดีเลย (ซึ่งทำให้คุยกันไม่รู้เรื่องในกรณีที่เราขับรถอยู่แล้วเสียงเครื่องมันดัง) ส่วนตัวหลังนี่ ไม่ไหว ยังไงๆ ผมก็ไม่ชินกับพวก in-ear แฮะ (หูฟัง in-ear มีอยู่สองตัวก็ไม่ค่อยได้ใช้ รับมันไม่ค่อยได้)

ก็เลยลองหักดิบ ซื้อสิ่งที่น่าจะเป็นของเล่นราคาแพงมาเล่นอีกชิ้นหนึ่ง (ซึ่งจริงๆ ซื้อก่อนที่จะเปลี่ยนไปใช้ D300 นะ แต่ว่าเพิ่งจะเอามาเขียน) นั่นก็คือ Apple iPhone Bluetooth Headset ซึ่งแน่นอนว่ายังไม่มีในบ้านเรา มีแต่ของหิ้วเข้ามา ซึ่งราคามันก็จะแพงเวอร์กว่าที่ขายในต่างประเทศแน่นอน ซึ่งอันนี้เป็นเรื่องที่ต้องทำใจ(ว่ะ)

แต่ว่ามันก็เป็นหูฟังที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยใช้มาน่ะแหละ ตั้งแต่ดีไซน์ที่มันไม่รกหูรกตา เรียบ และไม่เรียกร้อง คือ ทั้งคนที่ใส่มันและคนทั่วไป ไม่ต้องไปสนใจมันมากเลย มันไม่เรียกร้องสายตา ไม่เรียกร้องความรู้สึก ไม่เรียกร้องอะไรทั้งสิ้น บางครั้งผมใส่มันอยู่ยังคิดอยู่เลยว่า เอ๊ะ เราใส่มันอยู่หรือเปล่า หรือว่าหล่นหายไปไหนแล้ว แล้วก็ต้องเอามือเอื้อมไปจับที่หูดูว่ายังอยู่หรือเปล่าทุกที

เรียกว่า การดีไซน์ได้ถูกออกแบบมาให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราให้เนียนที่สุด put-on-and-forget มากกว่าจะดีไซน์ให้กลายเป็นจุดที่เราต้องสนใจหรือกังวลมากขึ้นกับชีวิต

ขนาดของหูฟังก็พอเหมาะกับหูผมเกือบพอดีนะ พอใส่ฟองน้ำเข้าไปแล้วก็คับนิดๆ แต่ว่าพอถอดออกมาแล้วพอดีเลย แต่ว่าก็นั่นแหละ แต่ว่าก็ใส่ไปน่ะแหละ รู้สึกแน่นดี ให้ความมั่นใจกว่าว่ายังไงๆ มันก็ไม่หลุดออกมาหรอก (อีกอย่าง ขนาดใส่ไปแล้วนะ บางทียังไม่รู้สึกว่ามีมันอยู่เลย)

คุณภาพเสียงถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเอาเรื่อง

การเชื่อมต่อกับ iPhone ทำได้ง่าย ไม่ต้องมา pair ด้วยการกดรหัสใดๆ ทั้งสิ้น แค่ชาร์จไฟคู่กับ iPhone ที่เราต้องการ pair ก็เป็นที่เรียบร้อย (ในกล่องจะมีแท่นชาร์จมาให้ และจะมีสายชาร์จ USB มาให้อีกเส้นด้วย)

ข้อเสียเท่าที่นึกออกตอนนี้ก็คือ มันมีให้เลือกสีเดียว คือสีดำ ถ้าอยากจะได้สีอื่นก็หมดสิทธิ์ (แต่ว่าผมชอบสีดำอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ถือเป็นข้อเสียสำหรับผม) แล้วก็อีกอย่างก็คือ แบตฯ หมดเร็วไปหน่อย (ถ้าเทียบกับของ Sony) ผมมีความรู้สึกว่าแบตฯ มันไปเร็วมากพอควร

อ้อ ข้อดีอีกข้อก็คือ UI ของมันที่ถือว่า killer มาก นอกจากจะเรื่องการ pair ที่โคตรจะ no-brainer แล้วก็ยังบอกปริมาณแบตฯ ที่เหลือบนโทรศัพท์ (คู่กับตัวบอกปริมาณแบตฯ ของ iPhone เอง) ซึ่งสำหรับ Bluetooth headset ตัวอื่นๆ เท่าที่รู้จักนั้นจะไม่มีวิธีการบอกปริมาณแบตฯ ที่เหลืออยู่อย่างง่ายๆ ให้เราพอจะรู้ได้เลย มารู้ตัวอีกที อ้าว แบตฯ หมดแล้ว แล้วตอนชาร์จไฟ ก็จะขึ้นปริมาณแบตฯ ควบคู่ไปกับแบตฯ ของ iPhone เองด้วยเช่นกัน

มันน่าเอาไปสอนการออกแบบ product กับการออกแบบ user interface และ usability design จริงๆ ให้ตายเถอะ

ปล. สุดท้ายนะ ผมลืมหูฟังน้อยลง เพราะว่าถอดมันออกมาด้วยความรำคาญน้อยลง

Goodbye, D70

หลังจากที่อยู่ด้วยกันมาร่วมสองปี ก็คงต้องถึงเวลาอำลากันแล้วสินะ D70 และเลนส์ 18-70mm ตัวเก่ง (ที่รับช่วงต่อมาจากคุณวีร์ หรือ Vman ในเว็บนี้ มาอีกที)

ขอบคุณที่ให้ผมได้เรียนรู้เรื่องการถ่ายรูป ขอบคุณที่สอนอะไรหลายๆ อย่างให้ ถ้าไม่มีนาย วันนี้ก็คงยังใช้กล้องคอมแพคไปเรื่อยๆ และถ้าใช้กล้องรุ่นใหม่ๆ (อย่าง D80, D300) เลย ก็คงไม่ได้เรียนรู้อะไรขนาดนี้

ว่ากันตามเว็บบอร์ดหลายที่ ว่าตั้ง D70 เป็น ไปใช้กล้องตัวไหนถ่ายก็สวยทั้งนั้น ไม่ใช่อะไรที่ผมได้ยินมาเกินเลยแม้แต่อย่างเดียว ได้เรียนรู้อะไรเยอะแยะมากมาย ที่คิดว่าถ้าเริ่มด้วย D80 เลยคงจะได้เรียนรู้น้อยกว่านี้เยอะมากๆ จริงๆ

หวังว่าคงจะมีความสุขกับเพื่อน (เจ้าของ) ใหม่นะ และหวังว่าคงจะสอนเพื่อนใหม่ให้เรียนรู้เรื่องการถ่ายรูปทั้งหลายแหล่ ได้อย่างที่เคยสอนผม (แต่ว่าเจ้าเพื่อนใหม่ของนายคงต้องหาแรงบันดาลใจและนางแบบส่วนตัวก่อนหรือเปล่าหว่า?)

ประมวลรูปใน rawitat.multiply.com ที่ใช้ D70 + Nikkor AF-S 18-70mm F3.5-4.5G ED-IF Kit lens

  1. น้องเกดที่พระราชวังสนามจันทร์ (3/25/51)
  2. น้องเกดที่รอบสระแก้ว ม.ศิลปากร (3/27/51)
  3. น้องเกดที่ลุมพินีเพลส สะพานควาย (3/28/51)
  4. ญี่ปุ่น #1: Osaka, Nara, Kyoto (4/3/51)
  5. ญี่ปุ่น #2: To Mt. Fuji (4/4/51)
  6. ญี่ปุ่น #3: เล่นหิมะที่ Mt. Fuji (4/4/51)
  7. ญี่ปุ่น #4: Mt. Fuji ตอนเช้า/เย็น (4/4-5/51)
  8. ญี่ปุ่น #5: Owakudani, Hakone (4/5/51)
  9. ญี่ปุ่น #6: ทะเลสาบที่ Hakone (4/5/51)
  10. น้องกิ๊ฟ ระหว่างทริปที่ญี่ปุ่น (4/3-5/51)
  11. น้องเกดที่เกาะลอย, บ้านฉาง, วังมหาราช (4/7/51)

จริงๆ ยังมีอีกหลายอัลบั้มที่ไม่ได้อยู่ในระบบออนไลน์ไหนๆ ทั้งสิ้น (เช่นวันสงกรานต์ งานพืชสวนโลก สุโขทัย อัมพวา ถ่ายเล่นทั่วไปในมหาวิทยาลัย ปางมะผ้า แม่ฮ่องสอน งานรับปริญญา มศก. หัวหิน ฯลฯ) และไม่คิดจะเอาขึ้นด้วย

Goodbye, my D70.

รายการของเล่น (กล้อง/เลนส์)

อืมม มานั่ง List เล่นๆ ดูดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง ..​ เพราะว่าตอนนี้คิดว่ามีที่อยากจะมีครบแล้ว มานั่งดู เยอะเหมือนกันนี่หว่า

กล้อง:

  1. Nikon D300
  2. Nikon D80 (ตอนนี้ให้แฟนใช้เป็นหลักครับ น้องเค้าหัดถ่ายรูปอยู่)
  3. Canon IXUS 850 IS (วางไว้ในรถ หรือว่าใช้เวลาขี้เกียจแบก DSLR)

แฟลช:

  1. Nikon SB-800 Speedlight

Prime Lens: (พักหลังๆ เล่นพวกนี้มากกว่าพวกซูม ดีกว่าเยอะ)

  1. Nikkor AF 20mm F2.8 D (เอาไว้ถ่ายเก็บบรรยากาศ กับรูปคู่)
  2. Nikkor AF 35mm F2 D (เพิ่งได้มา ชอบมาก คม หวาน ถ่ายง่าย ใช้สนุก)
  3. Nikkor AF 50mm F1.8 D (ว่าจะขาย … ไปๆ มาๆ ไม่ค่อยได้ใช้)
  4. Nikkor AF 85mm F1.8 D (สวย หวานดี แต่อีกสองเดือนจะขาย สมทบทุนเล่น F1.4)
  5. Nikkor AF 105mm F2 D DC (หามานาน สุดยอดเลย แต่คุมยากหน่อย)

Zoom Lens:

  1. Nikkor AF-S DX 18-135 F3.5-5.6 (มากับ D80 ไม่ชอบที่สุดที่มี ใช้แค่ตอนลอง D80 เก็บเข้าลัง)
  2. Tamron 17-50mm F2.8 Di-II LD (ติดหน้ากล้องวันสิ้นคิด พกเลนส์ได้ตัวเดียว อะไรแบบนั้น)
  3. Sigma 70-300mm F4-5.6 APO DG Macro (คุ้มมาก แต่เสียดายไม่มี OS กับ HSM)
  4. Sigma 10-20mm F4-5.6 DC HSM EX (ยังใช้ไม่คุ้มเท่าไหร่ ยังเรียนรู้ Perspective มันอยู่)
  5. Sigma 50-150 F2.8 APO EX DC HSM (ไปๆ มาๆ ชอบตัวนี้ที่สุดใน Zoom ทั้งหมด เพราะส่วนมากชอบระยะประมาณนี้อยู่แล้ว คม สวย ใช้ได้)

Macro Lens: (ตอนนี้กำลังเริ่มหัดถ่าย — คงต้องซื้อขาตั้งซะที ไม่ไหว)

  1. Sigma 70mm F2.8 EX DG (ดีนะ AF ได้ใกล้มาก แต่ช้าหน่อย)
  2. Nikkor AF-S 105mm F2.8G IF ED VR Micro (ตอนแรกจะไม่เอาล่ะ แต่ว่าตัวนี้ได้มาถูกมากจนแทบอยากกรี๊ด…)

ทุกอย่างเริ่มต้นกับ “อยากจะถ่ายรูปแฟนให้สวยกว่าคนอื่น” (หมายถึง กว่าที่คนอื่นเคยถ่ายน้องเค้ามา) จนกลายมาเป็นสิ่งเสพย์ติด (หมายถึงเสพย์ติดการถ่ายรูป แต่ยังถ่ายรูปแฟนมากกว่ารูปอื่นๆ มาก — มีคน/วัตถุ/สถานที่/แนวทาง 20% เท่านั้น ที่อยู่ในรูป 80% ของเรา .. กฏ 20/80 มันใช้ได้แทบจะเสมอ)

ต้องขอบคุณน้องเกดมากๆ ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมเรียนรู้เรื่องการถ่ายรูป เรื่องเลนส์ และเรื่องกล้อง จริงๆ จังๆ เสียที หลังจากอยากจะถ่ายมานานแล้ว

ไม่ลงทุนสูงไปหน่อยเหรอ? บอกตามตรงครับว่า “สูงมาก” มากๆ เลย และทำเอาเงินที่เก็บๆ ไว้นานร่อยหรอลงไปเยอะมาก แต่ทุกครั้งที่ถ่ายรูปเกดออกมาสวย เจ้าตัวชอบ มีความสุข การลงทุนทุกอย่างมันคืนทุนแบบไม่รู้จะว่ายังไงดี

รอยยิ้มเพียงเล็กน้อยของเค้า ไม่ว่าจะเรื่องไหนก็ตาม มันประมาณค่าออกมาเป็นเงินเป็นทองไม่ได้

อีกอย่าง ของพวกนี้เก็บดีๆ ก็ใช้งานได้นาน ใช้งานได้หลากหลาย ไม่ใช่หรือ ผมว่าสิ่งทีมีค่าที่สุดในชีวิตเราคือ ความทรงจำ และก็คงจะมีเพียงไม่กี่อย่างที่ช่วยเราเก็บความทรงจำเอาไว้ ภาพถ่ายคือหนึ่งในนั้น

ปล. ผมเดาว่าคุณวีร์กับพี่ต้นจะต้องแวะมาแซวใน comment ของ entry นี้แน่นอน (ฮาฮา)

ตาม “ธรรมชาติ” ของ “เครื่องมือ”

“มนุษย์” มีวิวัฒนาการมาร่วมกับ “เครื่องมือ” เสมอ เราสร้างเครื่องมือขึ้นมาตามความต้องการ และสุดท้ายเครื่องมือเหล่านั้นก็กลายมาเป็นตัวกำหนดลักษณะการใช้ชีวิตและการทำงานของเรา เห็น Loop กันไปมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

เหมือนกับคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ โทรศัพท์มือถือ หรือว่าเครื่องมือที่เรียบง่ายกว่านั้นเช่นค้อน ไขควง กรรไกร ช้อนส้อม ฯลฯ

ผมเพิ่งจะมาสังเกตตัวเองว่าลักษณะการถ่ายรูปเปลี่ยนไป ตั้งแต่เปลี่ยนเลนส์ตัวหลักสำหรับการถ่ายรูปแฟน (ตามไปดูรูปใน rawitat.multiply.com เองเด้อ) จากเลนส์ซูม Tamron 17-50mm F2.8 มาเป็นพวกเลนส์ Portrait โดยเฉพาะมากกว่า ก็คือ Nikkor 85mm F1.8 และ Nikkor 105mm F2 DC (แต่ว่ารูปจากสองตัวนี้บน MTP ยังไม่ค่อยมีนะครับ รอรูปเกาะช้างหมดก่อน)

มุมที่เปลี่ยนไป ตำแหน่งยืนที่ต้องเปลี่ยนไป ทำให้ภาพที่ต้องเก็บ และเก็บได้อย่างธรรมชาติ เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากเมื่อก่อนที่ใช้ 17-50 ส่วนมากก็เก็บภาพบรรยากาศในการไปเที่ยวได้อย่างดี ออกจะแนวๆ ปนๆ Life นิดๆ เป็น

ถ่ายสถานที่ต่างๆ ที่มีนางแบบ (น้องเกด) อยู่เป็นฉากหน้า

เมื่อเปลี่ยนเลนส์ไปใช้ 85mm/105mm แล้วแนวการถ่ายภาพ (และแน่นอนภาพที่ออกมา) จะกลายเป็น

ถ่ายนางแบบ (น้องเกด) โดยมีสถานที่ต่างๆ เป็นฉากหลัง

หรือว่าบางทีก็แทบจะเป็นการ “ถ่ายนางแบบ” ล้วนๆ เพียวๆ เพราะว่าถูกบังคับด้วย “ธรรมชาติของอุปกรณ์”

ดูๆ แล้วอาจจะคิดว่า “เอ๊ะ แล้วมันต่างกันตรงไหน” ต่างกันชัดเจนมากมายครับ ลองคิดเล่นๆ ดูว่ามันต่างกันขนาดไหน เหมือนกับเราบอกว่า” ไปทำงานแล้วได้เที่ยวเป็นของแถม” กับ “ไปเที่ยวแล้วบังเอิญได้งานเป็นของแถม” เลยแหละ

ไว้อัพรูปอัลบั้มใหม่ๆ จาก D300 กับเลนส์พวกนั้นเมื่อไหร่ ก็คงจะเห็นใน MTP ครับ

ว่าด้วยวิชา User Interface

ไม่ได้อัพเดทบ้านนี้ซะนานเลย มัวแต่ไปอัพที่ Multiply กับ Twitter (แต่ว่าอันนั้นสู้ sugree ไม่ได้หรอก) ก็มันไม่มีเรื่องจะเขียนยาวๆ นี่นะ

เปิดเทอม ยุ่งวุ่นวายนิดหน่อย ตรงที่มีเด็กๆ มาถามเยอะแยะ ว่าทำไมผมไม่เปิดวิชา User Interface

อยากจะบอกน้องๆ ว่า นี่เป็นวิชาที่ผมชอบสอนที่สุด และคิดว่าตัวเองสอนได้สนุกที่สุดแล้ว (หมายถึงเทียบกับเฉพาะวิชาที่ตัวเองสอนนะ) และผม “อยากจะเปิดที่สุด” เหมือนกัน แต่อาจจะด้วยเหตุผลหลายๆ อย่างทำให้เทอมนี้ภาควิชามีมติว่าไม่เปิด ซึ่งตัวผมเองไม่ได้มีปัญหาอะไรและรับมติ (เลยไปสอน Software Engineering แทน) ซึ่งวันนั้นที่ภาควิชาประชุมกันนั้น ผมไม่ได้เข้าประชุมเนื่องจากติดการประชุมใหญ่ของศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ (University Business Incubator; UBI) ทุกมหาวิทยาลัยที่โรงแรม Rama Garden เลยไม่รู้ว่าวันนั้นประชุมกันยังไงบ้าง และตัวผมเองไม่มีโอกาสที่จะยืนยันที่จะเปิดวิชานี้ แต่อย่างไรก็ตาม มติคือมติครับ ผมไม่ขัดข้องแต่ประการใด

ที่เขียนนี่ ไม่ได้บ่นอะไรนะครับ กรุณาอย่าเข้าใจผิด แค่อยากจะขี้แจงให้้น้องๆ ที่ถามผมบ่อยๆ ว่าทำไมไม่เปิดทราบเท่านั้น ซึ่งผมก็เลยให้น้องๆ เหล่านั้นลองทำเรื่องถึงภาควิชา ถ้าอยากให้เปิดจริงก็ลองทำเรื่องดู ซึ่งอาจจะไม่ได้เปิดเทอมนี้ แต่ว่าอย่างน้อยก็เป็นน้ำหนักว่าเทอมหน้าให้เปิด ทำนองนั้น

รู้สึกว่าจะมีคนเข้าชื่อกันเยอะพอควร ก็หวังว่าสุดท้ายถ้าเทอมนี้ไม่ทัน เทอมหน้าก็ยังให้เปิดได้ก็แล้วกันนะครับ