Review: Die Hard 4.0

ไปๆ มาๆ จะกลายเป็น blog รีวิวหนังไปซะแล้วหรือเปล่าเนี่ย แต่ว่าช่างมันเถอะ ดูๆ สะสมกันไว้นาน ไม่ได้เขียนซะที เอาเป็นว่าไล่ๆ เขียนมันไปให้หมดๆ ก่อนละกันนะ

ภาค 4 (และอาจจะเป็นภาคสุดท้าย?) ของหนัง series เรื่องหนึ่งที่ขาดตอนไปนานเอาการทีเดียว (ภาค 1 เมื่อ 1988, 2 เมื่อ 1990 และ 3 เมื่อ 1995) ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่ได้ดู Die Hard ภาคแรกนะ แต่เค้าว่ากันว่าภาค 2, 3 นี่สู้ภาคแรกไม่ได้ (แต่ว่าก็ไม่ได้ห่วยเท่าไหร่ จาก rating ใน IMDB นะ) เอาเป็นว่าเรื่องนั้นผมไม่พูดถึงละกัน มาดูภาคนี้กันดีกว่า

  • + โทนหนังเปลี่ยนไปจากภาคก่อนๆ นะ คือ threat ของโลกปัจจุบันมันเปลี่ยนไป อะไรๆ เดี๋ยวนี้มันก็ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์หมด อีกอย่างคอมพิวเตอร์มันก็เชื่อมต่อกันหมด ฮาร์ดแวร์กลายเป็นสิ่งที่ irrelevant และ invisible มากขึ้นทุกที เหมือนกับที่ Steve Jobs เคยบอกไว้ว่า “It’s Software, Stupid!” ….. (นึกถึง Terminator 3 หน่อยนะ)
  • + ทีนี้ วายร้ายก็เลยต้องเปลี่ยนไป กลายเป็น Thomas Gabriel (Timothy Olyphant), Hacker อัจฉริยะ (ย้ำ Hacker นะ ไม่ใช่ Cracker ใครสงสัยว่ามันต่างกันยังไง รบกวนหา Hacker Culture, Jargon File หรือว่าอะไรพวกนี้อ่านๆ ดู) ที่กลายมาทำตัวเป็น Cracker ก่อ Cyber-Terrorism เสียเอง แล้วก็ค่อนข้างที่จะ cool เสียด้วย คือเป็นผู้ร้ายที่มีสมองเป็นหลักจริงๆ แต่ว่า “น่าสะพรึงกลัว” เอาเรื่องทีเดียว
  • + ใครเป็นพวก geek น่าจะชอบภาคนี้ได้ไม่ยากนะ เพราะว่ามันมี reference ถึงอะไรๆ ที่ geekๆ เยอะเหมือนกัน แล้วก็พวก geek ในเรื่องนี้มันค่อนข้างที่จะ real พอควร (ไม่เหมือนกับในเรื่อง Antitrust นะ เรื่องนั้นมัน “สะอาด” และ “สำอาง” เกินไป สำหรับพวก geek โดยทั่วไป)
  • + แค่ฉากเข้าไปใน apartment ของ Matt Farrell ก็ได้ใจแล้ว ของเล่น geek เยอะมาก ไม่พอ ยังเอา Justin Long (Mac ใน I’m a Mac and I’m a PC ของ Apple) มาเล่นอีก หมอนี่ใช้ได้ เล่น OK เลย แล้วก็ “Command Center” ขอเจ้าอ้วน Freddy อีก อยากได้หุ่น Boba Fett ตัวโตๆ แบบนั้นบ้าง (จะดีกว่าถ้าเป็น Vader)
  • แต่ว่ามาถึงรายละเอียดเนีี่ย มีอะไรหลายอย่างที่มันไม่น่าให้อภัยนะ (เช่นหมายเลข IP ของเครื่อง อะไรหลายๆ อย่าง) แต่ว่าช่างมันเถอะ คงมี population แค่กระหยิบมือบนโลกที่ดูตรงนั้นรู้เรื่อง แล้วก็พวกรายละเอียดของเครื่องบิน ของ geography อะไรหลายๆ อย่างที่มันไม่ค่อยจะ make sense หรือว่าสมจริงน่ะ (โดยเฉพาะเรื่อง geography เนี่ย เยอะมาก แต่ว่านะ เอาอะไร หนัง ไม่ใช่สารคดี)
  • ตกม้าตายมั้ยเนี่ย ตอน start รถน่ะ ไหนบอกว่า communication network มันล่มหมดไง แล้วติดต่อ telecom ผ่านระบบไหนล่ะนั่นน่ะ ไม่พอนะ ไหนบอกว่าเครื่องบินถูก ground หมดไง แล้วตอนที่ไฟดับ ภาพตัดไปที่สนามบิน ไหงมีเครื่องบินขึ้นได้ฟะ เออ ช่างมันเถอะ เอาแค่นี้แหละ ;-)
  • 500 TB เนี่ย ดูเหมือนจะเยอะนะ แต่ว่ามันพอเหรอ(ฟะ) สำหรับข้อมูล financial ทั้งหมดของสหรัฐอเมริกาเนี่ย อีกอย่างนะ มัน download ผ่านอะไรวะ ทำไมมันเร็วจัง :-P
  • = รู้สึกว่าเราจะเริ่มให้ กับอะไรที่มันเป็น error แบบ geekๆ มากไปแฮะ กลับมาที่หนังดีกว่านะ
  • + เรื่องนี้ก็ยังเป็นคนธรรมดา ในสถานการณ์ไม่ธรรมดา เช่นเคย และทั้ง Willis ทั้ง Long ก็เล่นในบทบาทนั้น ให้ความรู้สึกแบบนั้น ได้ดีมากเลยทีเดียว ผมชอบนะตอนที่ทั้งสองคนนั่งคุยกันในรถ เรื่องการเป็น Hero ….​ ชอบตอนที่ Willis (McClane) สรุปว่า “เพราะว่าไม่มีใครคนอื่นทำน่ะสิ” เพราะว่าผมมักจะพูดว่า ที่เราต้องทำอะไรๆ หลายอย่างที่เราทำอยู่ตอนนี้ ไม่ใช่เพราะว่าตัวเองเก่ง หรือว่าเป็นคนดี หรือว่าอะไรทั้งนั้น ตรงข้าม ผมไม่ใช่คนเก่ง ไม่ใช่คนดี ไม่ได้เป็นฮีโร่และไม่ได้อยากเป็นอะไรทั้งนั้น เพียงแต่ว่า “มันไม่มีคนทำน่ะสิ” คนธรรมดาๆ คนหนึ่ง ก็เลยต้องทำอะไรอย่างที่เค้ากำลังทำอยู่ ประโยคนี้ได้ใจมาก
  • = ชอบ Maggie Q แฮะ เรื่องนี้ ปกติเฉยๆ กับเค้านะ หมวยธรรมดาๆ หน้าจืดๆ เฉยๆ เหมือนจะง่วงนอนตลอดเวลา แต่ว่าเรื่องนี้พอมาเล่นบทนี้แล้ว เออ ใช้ได้ นิ่งดี cool ดี
  • เข้าใจว่าเป็นเรื่องการตลาดนะ อยากจะให้หนังมัน rating ความรุนแรงลดลง ทำให้นี่เป็น Die Hard ภาคแรกที่ไม่ได้ rating “R” แต่ว่ามันทำให้ McClane ไม่ได้สบถวาทะเด็ดประจำตัว แต่ว่าที่ผมให้ติดลบ ก็เพราะว่าการใช้ภาษารุนแรง กับความรุนแรงอื่นๆ มันก็ยังคงเต็มในหนัง เลยไม่รู้มันได้ PG-13 ไปได้ไง
  • + ชอบฉากที่เอาคำพูดของประธานาธิบดีสหรัฐฯ มาต่อกันเป็นหนังแฮะ เด็ดดี ยิ่งตอนสุดท้ายเป็น Bush นี่อย่างฮา ขอบอก
  • = แต่ว่าสำหรับคนที่คิดว่าเนื่องจากมันเป็นหนังที่ออกแนว Cyber-Terrorism ที่มี Hackers/Crackers เป็นตัวหลักทั้งสองด้าน แล้วคิดว่าจะมีการใช้สมองหรือว่าหักเหลี่ยมชิงไหวชิงพริบกันนะ บอกได้เลยว่า “ไม่มี” เพราะว่านี่มัน Die Hard ดังนั้นมันจะมีแต่ความดิบ ล้วนๆ
  • + ชอบบทพูดที่ให้ Matt (J. Long) กัดโน่นนี่แฮะ ชอบตอนที่กัดโฆษณา กัดข่าว ว่ามัน entirely manipulated ที่ให้ทุกคน live in fear ฯลฯ อะไรทำนองนั้น เจ็บว่ะ เจ๋งดี เพราะว่าจริงแหละ วันก่อนได้ดูผู้หญิงถึงผู้หญิงแป๊บๆ ก่อนออกจากบ้าน เรื่อง พ.ร.บ. การกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ฟังที่กาละแมพูดแล้ว ยังคิดในใจ (แต่ว่าบ่นออกเสียงให้ตัวเองได้ยิน) ว่า F.U.D อยู่เลย ไม่พอ ยังกัด USA ด้วย เรื่องการกู้ภัยตอนที่พายุเข้า
  • ผิดหวังอย่างรุนแรง ที่ประโยคเด็ดจาก trailer ไม่ได้ถูกพูดในหนังจริง …. ที่ว่า “จะฆ่ามันแล้วช่วยลูก ไม่ก็ช่วยลูกแล้วฆ่ามัน (กู)จะฆ่ามันให้หมด!” เนี่ย เสียดายจริง
  • + ได้คะแนนคืนมาอย่างมหาศาลที่แสดงให้เห็น gap ระหว่าง geek กับ non-geek ได้อย่างชัดเจนแล้วก็มีสไตล์ด้วย ชอบมากตอนที่ Matt เล่นโน่นเล่นนี่ ทำสิ่งที่เหมือนกับเป็น magic กับอุปกรณ์ต่างๆ แล้วก็ตอนที่ Matt คุยกับ Freddy หรือว่าตอนที่พยายามอธิบายเรื่องเทคโนโลยีให้ John เข้าใจ (ตอนที่เชื่อม PDA เข้ากับเครือข่าย SATCOM เก่า) ด้วย
  • = (นอกเรื่องนะ) เพราะว่าเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มันไม่เหมือนกับอุปกรณ์/เทคโนโลยีอื่นๆ ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง คนที่เก่งๆ เนี่ย จะใช้คอมพิวเตอร์ทำอะไรได้มหาศาลเหมือนกับใช้เวทมนต์เลยทีเดียว แต่ว่าเนื่องจากมันกลายมาเป็น commodity มากขึ้นๆ (แทบทุกบ้านเริ่มมีใช้) ทำให้หลายๆ คน (แม้แต่คนที่เรียนสาขา CE/CS/IT โดยตรง) ไม่ได้มีความสนใจหรือว่าความรู้หรือว่าประสบการณ์ที่จะใช้มันทำโน่นทำนี่ได้มากมายเท่าไหร่ ใช้คอมพิวเตอร์เหมือนกับใช้ TV/Video/วิทยุ/Word Processor/etc รวมๆ กันเท่านั้น แล้วไม่พอ คนที่คิดว่าตัวเองรู้โน่นรู้นี่ เข้าใจโน่นนี่ หรือว่าใช้คล่อง มี เยอะมาก แล้วพวกนี้กล่อมยาก อธิบายยาก เหมือนกับสอนหนังสือสังฆราช … พอล่ะ ขี้เกียจบ่นแล้ว ไปอ่านใน Computer Stupidities ดีกว่า มีให้อ่านจุใจ ;-P

ด้องขออภัยด้วย ที่รีวิวนี้มันออกจะ geek ไปหน่อย ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ แต่ว่าหนังมันไม่ค่อยจะมีอะไรจริง ไปดูเอาสนุก เอามันส์ เอาเรื่อง F.U.D เกี่ยวกับ Cyber-Terrorism ดีกว่า ว่าคนเค้ากลัวอะไรกัน แต่ว่าเรื่องจริงมันไม่เกิดแบบนั้นหรอก ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง แต่ว่าในอนาคต (ที่อาจจะอีกไกล) อาจจะเป็นไปได้ก็ได้นะ ไม่มีใครรู้ แต่ว่านิทานเรื่องนี้สอนให้รู้อะไรไว้อย่างนึงนะ ว่า Centralized Data Storage เนี่ย อาจจะเป็น bad idea กว่าที่หลายๆ คนคิดก็ได้ ทำเป็น Decentralized จะดีกว่านะ ตอนนี้เทคโนโลยีมันเอื้อด้วยแหละ แล้วก็ mindset ของสังคมเริ่มที่จะไปทางนั้นมากขึ้นแล้วด้วย

My Rating: 8.0/10
IMDB Rating: 8.0/10
(34,305 votes)

ป.ล. นี่เป็นครั้งแรกแฮะ ที่ rating ที่ผมให้ กับที่ได้จาก votes ใน IMDB มันตรงกันเป๊ะ (แต่ว่าเมื่อเวลาผ่านไป มีคน vote มากขึ้น อาจจะเปลี่ยนได้นะ)